วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คำอธิบายบทเทศนาบนภูเขาโดยนักบุญออกัสติน


ครั้งหนึ่งนักบุญออกัสตินสังเกตเห็นว่า “เรื่องราวและความหมายในพระธรรมใหม่ถูกซ่อนไว้ในพระธรรมเก่าและเรื่องราวในพระธรรมเก่าถูกเปิดเผยในพระธรรมใหม่”  ในสมัยแรกที่ท่านยังเชื่อถือในลัทธิมานีเคอยู่นั้น  น.ออกัสตินมีความยากลำบากในการแปลความหมายของพระคัมถีร์ไบเบิล  เมื่อท่านกลับใจแล้ว ท่านจึงเข้าใจว่าสาเหตุแห่งความเย่อหยิ่งในความฉลาดของตนเองนั้นก็มาจากการไม่เข้าใจความหมายของพระคัมภีร์นี่เอง  ดังนั้น หลังจากกลับใจท่านได้เรียนรู้การแปลความหมายและสัญญลักษณ์ต่างๆในพระคัมภีร์จากนักบุญอัมโบรส  ผู้สอนให้ท่านเรียนรู้เรื่องราวฝ่ายจิตที่ไขแสดงในพระคัมภีร์  ดังนั้นท่านจึงยกคำพูดของ น. อัมโบรสมากล่าวว่า “ตัวอักษรทำให้ตาย  แต่จิตวิญญาณให้ชีวิต”

ด้วยเหตุนี้ น.ออกัสตินจึงครุ่นคิดพิจารณาไตร่ตรองเรื่องราวฝ่ายจิตที่มีอยู่ในพระคัมภีร์  ในเวลาต่อมาท่านได้เขียนหนังสือ Commentary on the Sermon on the Mount  (คำอธิบายบทเทศนาบนภูเขา) ในปี 393 ท่านมีความเชี่ยวชาญในการแสวงหาน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าที่ทรงเปิดเผยให้ทราบผ่านทางพระคัมภีร์  ท่านเขียนหนังสือด้วยจิตใจแบบเด็กๆ  มิใช่แบบผู้ทรงภูมิปัญญา  ท่านรู้สึกยำเกรงในพระเป็นเจ้า  ท่านอธิบายอย่างชัดเจนและลึกซึ้งเหมาะสำหรับคนทุกวัย

น.ออกัสติตเริ่มต้นด้วยการยืนยันว่า “ใครก็ตามที่พิจารณาไตร่ตรองบทเทศนาบนภูเขานี้ด้วยความกระหายใคร่รู้และศรัทธา (ตามพระคัมภีร์ น.มัทธิว) – ข้าพเจ้าเชื่อว่าเขาจะได้พบมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบของหลักในการดำเนินชีวิตคริสตชน” ซึ่งประทานมาให้แก่เราโดยพระอาจารย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว คือ พระเยซูคริสตเจ้า  คำเทศนาบนภูเขาบอกถึงหลักสำคัญของความยุติธรรม  ช่วยนำทางเราไปสู่หนทางแคบๆของการเป็นนักบุญ

เป็นการเหมาะสมแล้วที่ น.ออกัสตินจะใช้เวลาส่วนใหญ่ของท่านในการพิจารณาและเขียนคำอธิบายบทเทศนาบนภูเขา หรือ มหาบุญลาภแปดประการ  ในยุคแห่งความมืดมนของยุโรป  มหาบุญลาภนี้ได้ถูกละเลยไปเสียจากผู้นำทางศีลธรรมคาทอลิก  มีการแปลความหมายของมหาบุญลาภอย่างผิดๆ  ในสมัยของเรานี้  มหาบุญลาภถูกแปลความหมายไปในแง่ของการปฏิรูปสังคมให้มีความยุติธรรม เช่น  การยกระดับศักดิ์ศรีของคนยากจนและผู้ถูกเบียดเบียน  การทำให้โลกมีสันติภาพ  แต่ความจริงแล้ว น. ออกัสติน ชี้แนะให้เราสนใจในเรื่องของภายในจิตวิญญาณมากกว่า  ตามที่ Msgr. Ronald Knox  กล่าวไว้ว่า “เราต้องมุ่งแสวงหาสิ่งที่อยู่ในสวรรค์  ไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนโลกนี้”

การอธิบายของ น.ออกัสติน จะช่วยให้เราใส่ใจในความหมายที่สำคัญของมหาบุญลาภ  นั่นคือการประกาศกฏเกณฑ์ทางด้านจิตใจที่สมบูรณ์แบบซึ่งถูกซ่อนไว้ในพระธรรมเก่าและถูกเปิดเผยโดยพระคริสต์ในพระธรรมใหม่  มหาบุญลาภเป็นกลักสำคัญของเทววิทยาทางด้านจิตใจของคาทอลิก  น.โทมัส อไควนัสพูดถึงข้อเขียนของ น.ออกัสตินนี้ว่า “เพื่อที่จะได้พระเป็นเจ้ามาครอบครองซึ่งเป็นความชื่นชมยินดีอันแท้จริงนั้น  เราต้องตระหนักอย่างแน่ชัดว่า สิ่งนั้นจะเป็นไปได้ก็แต่ในนิรันดรภาพเท่านั้น”

น. ออกัสติน อธิบายว่า มหาบุญลาภ 7 ประการแรกเป็น “หลักของคำเทศนาทั้งหมดของพระองค์”  ท่านแยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างมหาบุญลาภ 7 ประการแรก กับมหาบุญลาภประการที่ 8   ท่านกล่าวว่า “มีหลักการเจ็ดอย่างที่ทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ”  มหาบุญลาภ 7 ประการแรกนี้ขึ้นอยู่กับจิตใจอิสระของเราที่จะทำหรือไม่ทำ  มหาบุญลาภประการที่ 8 จะถูกกระทำเมื่อเราได้เลือกกระทำ 7 ประการแรกนั้นก่อน  มหาบุญลาภประการที่ 8 กล่าวว่า “เป็นบุญของผู้ที่ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความยุติธรรม  เหตุว่าพระอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา”  ความเพียรพยายามของเราพร้อมกับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าในการประกอบคุณธรรมที่อยู่ในมหาบุญลาภ 7 ประการแรก  ทำให้เราบรรลุถึงคุณธรรมในมหาบุญลาภประการที่ 8 โดยผ่านทางความทุกข์ยากลำบากของเรา  น.ออกัสตินอธิบายว่า “รางวัลที่ได้รับนั้น  ไม่ได้มาจากความทุกข์ยากลำบาก  แต่มาจากความเพียรอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากนั้นด้วยความยินดีและด้วยความเต็มใจโดยเห็นแก่พระคริสตเจ้า”

น. ออกัสตินแสดงให้เห็นว่าพระคริสต์ทรงเปิดเผยกฏเกณฑ์ที่ถูกซ่อนนี้ในพระธรรมเก่าอย่างไร โดยท่านแสดงให้เห็นความสัมพันธ์กันระหว่ามหาบุญลาภ (คือคุณธรรมและพระพรของพระจิต) ที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวไว้ใน อส.11:2-3 ท่านพูดถึงพระผู้ไถ่ที่กำลังเสด็จมาว่า “พระจิตของพระเจ้าจะสถิตย์อยู่เหนือท่าน  คือจิตแห่งปรีชาญาณและความเข้าใจ , จิตแห่งการสั่งสอนและอำนาจ , จิตแห่งความรอบรู้และความยำเกรงพระเป็นเจ้า”  พระคริสต์เสด็จมาเพื่อทำให้กฏเกณฑ์และคำทำนายนี้สำเร็จสมบูรณ์  ในมหาบุญลาภ 7 ประการแรกพระองค์ทรงแสดงกฏเกณฑ์ที่ถูกซ่อนไว้ในคำพูดของประกาศกอิสยาห์ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับพระพรทั้ง 7 ของพระจิต

ประกาศกอิสยาห์พูดถึงพระลักษณะที่ปรากฏในพระผู้ไถ่ที่กำลังจะเสด็จมา  นั่นคือลักษณะจากระดับสูงสุดคือจิตแห่งปรีชาญาณไล่ลงมาถึงจิตแห่งความยำเกรงพระเป็นเจ้าที่อยู่ระดับต่ำสุด  พระเยซูเจ้าทรงไล่เรียงลำดับคุณธรรมในมนุษย์จากระดับต่ำซึ่งเป็นคุณธรรมภายนอกจิตใจไปสู่คุณธรรมระดับสูงซึ่งเป็นคุณธรรมภายในจิตใจ  พระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยความยำเกรงพระเป็นเจ้าเป็นขั้นตอนแรกไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือปรีชาญาณ  สิ่งเหล่านี้คือคุณธรรมสำหรับผู้ที่มีความเพียรพยายามปีนขึ้นไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์

น. โทมัส อไควนัส ได้ให้นิยามของมหาบุญลาภว่า เป็น “ผลงานอันสมบูรณ์แบบที่มาจากคุณธรรมอันสมบูรณ์โดยอาศัยพระพรของพระจิต”  น.ออกัสตินเรียงลำดับและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคุณธรรมนั้นๆและพระพรฝ่ายจิต

·       ความยากจนในจิตใจสอดคล้องกับความยำเกรงพระเป็นเจ้าซึ่งเป็นการเริ่มต้นของปรีชาญาณ

·       ใจสุภาพอ่อนโยนสอดคล้องกับความศรัทธาและสัตย์ซื่อต่อคำสั่งสอนในพระคัมภีร์และเพียรพยายามประพฤติตาม

·       ความทุกข์ร้อนสอดคล้องกับพระพรแห่งความรอบรู้และการรู้จักแยกแยะความดีและความชั่ว

·       หิวกระหายความยุติธรรมสอดคล้องกับพระพรแห่งการมีใจรักความยุติธรรม

·       ใจเมตตากรุณาสอดคล้องกับพระพรแห่งการสั่งสอนให้คำแนะนำซึ่งทำให้เรายอมให้อภัยผู้อื่นและยอมรับการอภัยจากผู้อื่น

·       ใจบริสุทธิ์สอดคล้องกับพระพรความเข้าใจในสิ่งที่ตาไม่เคยเห็นและหูไม่เคยได้ยิน

·       สร้างสันติสอดคล้องกับพระพรแห่งปรีชาญาณ  น.ออกัสตินอธิบายว่า “ด้วยการสร้างสันติ  สิ่งต่างๆจะเป็นระเบียบเหมาะสม  ไม่ต่อต้านแต่จะยอมรับเหตุผล  สิ่งเหล่านี้จะอยู่ในจิตใจของมนุษย์เพราะจิตใจนั้นยอมเชื่อฟังพระเป็นเจ้า

สิ่งนี้เป็นการชิมลางของชัยชนะของจิตวิญญาณ และ น.ออกัสตินคงรับรู้ในชัยชนะนี้เมื่อท่านพิจารณาไตร่ตรองบทเทศนาบนภูเขา  นักปราชญ์ของพระศาสนจักรท่านนี้แนะนำให้เราใส่ใจในพระวาจาของพระคริสต์  เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ทุกคนที่ได้ยินและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเรา  ก็เปรียบเหมือนคนฉลาดที่สร้างบ้านไว้บนหิน  เมื่อลมพายุพัดมา  บ้านก็ไม่พังทลายลง”  แต่บ้านที่สร้างไว้บนทรายแห่งสิ่งของของโลกนี้  ก็มีหลายวิธีที่มันจะพังทลายลงไป  ดังนั้นจึงมีเพียงวิธีเดียวที่บ้านจะตั้งอยู่ได้  นั่นคือการดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของคริสตชน  หรือ ดำเนินชีวิตตามมหาบุญลาภซึ่งถูกซ่อนไว้ในพระธรรมเก่าและถูกเปิดเผยในพระธรรมใหม่จากบทเทศนาบนภูเขานั่นเอง

หมายเหตุ  - บทความนี้นำมาจาก Crisis Magazine

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น