วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

สาส์นแม่พระแห่งกิเบโฮ

 

ในการประจักษ์ครั้งสำคัญสองแห่งของแม่พระในปีเดียวกัน คือที่กิเบโฮ ในราวันดา และที่เมดจูกอเรจ์ ในยูโกสลาเวีย  พระนางทรงประทานสาส์นสำหรับในยุคสมัยของเรา  จากสถานที่อันห่างไกลนั้น  แม่พระทรงตรัสต่อ “โลกทั้งมวล” ซึ่งเริ่มต้นว่า

ความชื่นชมยินดีที่แท้จริงต้องมาจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้าเท่านั้น

            ความร่ำรวยฝ่ายจิตเป็นความมั่งคั่งที่แท้จริง  ส่วนสิ่งอื่นๆที่โลกถือว่าเป็นความร่ำรวยนั้นเป็นทองคำแห่งความโง่เขลา  นี่คือสาส์นของแม่พระเมื่อประจักษ์ที่กิเบโฮ ในอัฟริกาตะวันออก

            คงสาธยายได้ไม่สิ้นสุดสำหรับยุคสมัยของเราซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งภาพมายาและการหลอกลวง

            ความยากจนหรือ ? ความร่ำรวยหรือ ? ที่กิเบโฮ  การประจักษ์ของแม่พระซึ่งทางพระศาสนจักรรับรองแล้ว เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 1981  กิเบโฮเป็นบริเวณที่ยากจนที่สุดในโลก  ซึ่งถูกเลือกโดยแม่พระ  เป็นเพราะสถานที่นั้นยังมีความบริสุทธิ์อยู่  แม่พระทรงอธิบายว่าเหตุใด ผู้คนจึงให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยในเรื่องของ ความดี  ความรัก  ความเมตตาและเรื่องที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้า  ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเป็นเจ้าบางคนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลของโลก  บางคนได้เป็น ผู้นำ  เป็นนางงาม  เป็นมหาเศรษฐีพันล้าน  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

            แม่พระทรงอธิบายว่า “ไม่มีอุปสรรคใดๆบนถนนที่นำไปสู่ความมืดมิด ไปสู่สถานที่แห่งความชั่วร้ายของปีศาจ”

            คำอธิบายของแม่พระที่อาจทำให้เราไม่เข้าใจ  อย่างเช่น “ผู้ที่ติดตามพระเยซูเจ้าจะได้รับความยากจน  ในขณะที่ผู้ไม่ติดตามพระเยซูเจ้าจะร่ำรวย”  แม่พระทรงอธิบายต่อไปว่า “พวกเขาได้รับรางวัลของเขาในโลกนี้เท่านั้น  แต่วันหนึ่งพวกเขาจะสูญเสียทุกสิ่ง”

            แม่พระทรงเตือนการกระทำของผู้ที่ “ต้องการให้ได้มาซึ่งความสำเร็จโดยอาศัยการคดโกง” ว่า “ผู้ที่เดินไปตามถนนที่นำไปสู่นรกจะเดินไปอย่างสะดวกสบายไม่มีความยากลำบาก  เขาจะได้รับความทุกข์ทรมานเพียงครั้งเดียวสำหรับความชั่วร้ายของเขา  และความทุกข์ทรมานนั้นจะคงอยู่ชั่วนิรันดรไม่มีวันสิ้นสุด”
            แม่พระทรงขอให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า  พระนางตรัสว่า พวกเรา “กำลังถูกสิ่งของของโลกและความปรารถนาในสิ่งของของโลก  หันเหเราออกจากพระเป็นเจ้า”  ถึงแม้ว่า “วันเวลานั้นสั้นนัก”

            “มนุษย์กำลังวิ่งไล่ไขว่คว้าลม” แม่พระทรงเตือนเราหลายครั้งในหลายแห่งที่ทรงประจักษ์ “บางคนไม่เชื่อเรื่องสวรรค์  พวกเขาพูดว่า  สวรรค์อยู่บนโลกนี้เอง  ความยากจนที่แท้จริงก็คือการขาดพระหรรษทานที่นำเราไปสู่พระเป็นเจ้า”

            นี่เป็นเวลาของการสู้รบกับปีศาจ  มีแต่เพียงการสวดภาวนาและการอดอาหารเท่านั้นที่จะสามารถขับไล่ปีศาจได้  แม่พระตรัสว่า “เราจะสามารถพิชิตการโจมตีของซาตานทุกครั้งได้ด้วยการสวดภาวนาและการพลีกรรม” 

            “ผู้ที่หันมาหาพระเป็นเจ้าในชีวิตบนโลกนี้ของเขา  จะสามารถลดระยะเวลาในไฟชำระได้  หรือแม้แต่หลีกเลี่ยงไปต้องไปไฟชำระได้ด้วย”

            “ลูกแต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ลูก  ผู้ที่ไปสู่สวรรค์คือผู้ที่พยายามจนสุดกำลังเพื่อไปให้ถึงที่นั่น”

           แม่พระทรงปลอบบรรเทาใจพระสงฆ์และนักบวชว่า “พวกท่านถูกเรียกร้องให้ยอมรับความยากลำบากมากมาย  (แต่ก็จะได้รับพระหรรษทานที่มากเพียงพอเช่นกัน) ถ้าหากองค์พระบุตรของพระเป็นเจ้ายังได้รับความทุกข์ยากลำบากในโลก  แล้วทำไมพวกท่านจึงพยายามหลีกหนีความยากลำบากเล่า ? อย่าไปวิตกกังวลกับสิ่งที่รบกวนจิตใจทำให้ท่านไม่มีสันติสุขเถิด  ขอให้มีใจยินดีในความยากลำบาก  เป็นบุญของผู้ที่ยอมเป็นผู้ช่วยของแม่ (เป็นเครื่องมือของแม่พระ)  แม่จะให้สวรรค์เป็นรางวัลของพวกเขา  การทดสอบของพวกเขาจะจบสิ้นในวันหนึ่ง”

            “ไม่มีใครที่ไม่มีความทุกข์ยากลำบากในโลก” แม่พระทรงสั่งสอนต่อไป “คนยากจนได้รับความทุกข์ยากลำบากเพราะความยากจนของเขา  คนร่ำรวยได้รับความทุกข์ยากลำบากเพราะความวิตกกังวลซึ่งมาพร้อมกับความร่ำรวยของเขา  มนุษย์ช่างหลอกตัวเองเสียจริง  เรามักคิดว่า  คนๆนั้นช่างร่ำรวยจริงๆ  แต่ –  วิญญาณของเขานั้นว่างเปล่าไร้ค่า”

            แม่พระยังทรงเตือนถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในสถานที่นี้  ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาทางตะวันตกของคิกาลี  อีกไม่นานมันจะเป็นเขตสงครามอันน่าสยดสยอง, เป็นสถานที่ของโรคเอดส์และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์   จะมี“เวลาแห่งการทดสอบ”

ให้เราสวดภาวนาวอนขอพละกำลังและความรู้ที่จะเข้าใจในสาส์นของแม่พระ  ทุกคนต้องการไปสวรรค์ แต่ไม่มีพละกำลังเพียงพอ  แม่พระทรงสอนว่า “แม่จะสอนลูกให้สวดภาวนา  จงสวดภาวนาจากส่วนลึกของจิตใจของลูก”

เราต้องคิดถึงผู้อื่นด้วย  ไม่ว่าเขาจะเป็นคนร่ำรวยหรือยากจน  เป็นคนดีหรือคนชั่ว  แม่พระทรงสอนว่า “จงอดทนต่อทุกคน  เพราะพระเป็นเจ้าทรงอดทนต่อลูก  อย่าทำงานเพียงเพื่อสิ่งของของโลกเท่านั้น  เพราะพวกมันไม่ได้เป็นของของลูก”

  “พวกลูกกำลังเดินทางไปพร้อมกัน  ดังนั้นจงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

            แต่ละวันให้เราทำตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าที่ทรงมีสำหรับท่าน  จงมีความเชื่อในทุกสิ่ง  แม้แต่ความเจ็บป่วยด้วย

            แม่พระทรงสอนว่า “เพราะผู้เจ็บป่วยที่ถูกประกาศว่า “รักษาไม่หาย”  การเยียวยาที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือสันติสุขในวิญญาณ”

            “ไม่มีความร่ำรวยมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ใดๆจะมีค่าเทียบเท่ากับความบริสุทธิ์ของจิตใจ”

            แม่พระตรัสว่า  การทดสอบและความทุกข์ยากลำบากจะช่วยให้เราสวดภาวนาได้ดีขึ้น “จงใช้พละกำลังทั้งหมดของลูกมุ่งไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิต”

            “ลูกต้องรักซึ่งกันและกันและต้องไม่โกรธเคืองใคร  เมล็ดพันธ์เล็กๆของความโกรธเคืองสามารถเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่แห่งความเกลียดชังได้  จงให้อภัยผู้ที่ทำร้ายลูก”

            "ผู้ที่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าฉูดฉาดเพื่อโอ้อวดเอาใจมนุษย์   แต่ไม่ได้ทำสิ่งใดให้เป็นที่สบพระทัยพระเจ้า. แม้เขาจะมีเสื้อผ้าที่สวยงามสวมใส่อยู่  ก็เสมือนเปล่าเปลือยเบื้องพระพักตร์พระเจ้า. ผู้ที่มีความภูมิใจในความงามของตน  ควรมีใจอ่อนน้อมถ่อมตน  เพราะความงามของเขามาจากพระเจ้า "

            “วันหนึ่ง พระเป็นเจ้าจะนำทุกสิ่งของเขากลับคืน”

            “พระเป็นเจ้าทรงนำเรามาอยู่ในโลกนี้เพื่อให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระองค์”

            “ผู้ที่วางใจในแม่จะไม่ขาดสิ่งใด  จงเดินตามถนนเพียงสายเดียว  ไม่ใช่เดินทั้งสองสาย”

            พระเยซูเจ้าก็ทรงประจักษ์ที่กิเบโฮ ใน ราวันดา ด้วย และตรัสว่า “ผู้ที่รู้จักเราและสนทนากับเราในโลกนี้  เราก็จะรู้จักเขาและจะสนทนากับเขาในสวรรค์เช่นเดียวกัน”

            ที่เมดจูกอเรจ์ ในปี 1981 (ปีเดียวกันกับการประจักษ์ที่กิเบโฮ)  ในยุคสมัยที่คอมมิวนิสต์ยังปกครองยูโกสลาเวีย) แม่พระทรงประจักษ์แก่เด็กๆ โดยเริ่มต้นวันที่ 24 มิ.ย. 1981 (แม้ว่าพระศาสนจักรจะยังไม่ได้รับรอง)  แม่พระตรัสว่า “เวลานี้เป็นเวลาที่พิเศษ”  และทรงเตือนว่า “พวกลูกกำลังสร้างโลกที่ปราศจากพระเป็นเจ้า  ด้วยพละกำลังของตนเอง  และนั่นเป็นสาเหตุที่ลูกไม่พอใจและไม่มีความชื่นชมยินดีในจิตใจของลูก”

แม่พระตรัสว่า “แม่ขอให้ลูกพิจารณาไตร่ตรองดูเถิด  พระเป็นเจ้าทรงเลือกพวกลูกแต่ละคน  เพื่อจะใช้พวกลูกในแผนการณ์แห่งความรอดสำหรับมนุษยชาติ  ลูกไม่อาจเข้าใจได้ถึงบทบาทอันสำคัญของลูกในแผนการณ์ของพระเป็นเจ้าได้  เพราะฉะนั้น  ลูกๆที่รักทั้งหลาย  จงสวดภาวนา  เพื่อที่ในการสวดภาวนานี้ลูกจะสามารถเข้าใจได้ว่าแผนการณ์ของพระเป็นเจ้านั้นขึ้นอยู่กับลูกด้วย”

 ในเรื่องที่เกี่ยวกับการสวดภาวนา  แม่พระแห่งกิเบโฮ ตรัสว่า “ลูกต้องเล่าเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับตัวของลูกเองต่อพระเป็นเจ้า  พระองค์ทรงทราบการกระทำทุกอย่างของลูกและความคิดทุกอย่างของลูกด้วย  แต่ลูกต้องเล่าเรื่องของลูกต่อพระองค์  ในเรื่องความทุกข์ทรมานฝ่ายร่างกาย  จิตใจ  และวิญญาณ  จงวอนขออภัยจากพระเป็นเจ้าด้วยส่วนลึกจากจิตใจของลูก  ถ้าลูกมีความจริงใจ  พระองค์จะทรงอภัยแก่ลูก  ด้วยวิธีนี้  ลูกทั้งหลายของแม่  บาปของลูกก็จะไม่ทำให้ลูกถอยหลัง  จงสวดภาวนาต่อพระเป็นเจ้าด้วยสุดจิตใจ  จงอดอาหารเพื่อที่พระองค์จะทรงอวยพรลูก  แล้วลูกก็ต้องวอนขอพระเป็นเจ้าให้อภัยแก่ผู้ที่ทำร้ายลูก  ให้อภัยทุกคนที่ทำให้ลูกลำบากและดูหมิ่นลูกหรือทำให้ลูกบาดเจ็บ   จงวอนขอให้พระเป็นเจ้าอวยพรพวกเขาและช่วยเหลือพวกเขา  การสวดภาวนาของลูกจะไม่มีความหมายถ้ามันไม่ได้ออกมาจากส่วนลึกในจิตใจของลูก  ถ้าลูกไม่มีพละกำลังที่จะสวดภาวนา  จงสวดวอนขอความช่วยเหลือจากแม่  และแม่จะมอบพละกำลังแก่ลูก”

“ผลของการสวดภาวนาคือความรัก 

ผลของความรักคือการให้อภัย 

และผลของการให้อภัยคือสันติสุข” (คุณแม่เทเรซา)

“ผู้หญิงต้องหยุดดูแลร่างกายของตนเองให้เป็นเหมือนกับเครื่องมือของความพึงพอใจเท่านั้น”

“ผู้หญิงจำนวนมากที่แสวงหาความรักและปรารถนาได้รับความรักจากผู้อื่นโดยอาศัยร่างกายของตน  พวกเขาลืมไปว่าความรักที่แท้จริงมาจากพระเป็นเจ้า  แทนที่จะรับใช้พระเป็นเจ้า  พวกเขารับใช้เงินทอง”

“ผู้หญิงต้องใช้ร่างกายของเขาเพื่อเทิดพระเกียรติพระเป็นเจ้า  ไม่ใช่ใช้เพื่อทำให้ผู้ชายลุ่มหลง  ผู้ชายต้องเรียนรู้ที่จะดูแลหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของตนและไม่ปรารถนาแต่เพียงความพึงพอใจทางร่างกายเท่านั้น”

พระเยซูเจ้าตรัสกับผู้ที่ทรงประจักษ์ว่า “จงบอกพวกเขาทุกคนให้สวดภาวนาต่อพระมารดาของเรา  เพื่อให้พระนางช่วยเหลือพวกเขา  การดำเนินชีวิตในหนทางที่ผิดสามารถทำให้อนาคตของพวกเขายากลำบากอย่างสาหัสได้”

ในส่วนเรื่องของอัศจรรย์ แม่พระตรัสว่า

ทำไมลูกจึงวอนขออัศจรรย์? มีอัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวัน  แต่ลูกไม่เชื่อ  จงวอนขอแสงสว่างสำหรับตาที่มืดบอดของลูกจะดีกว่า  จงเรียนรู้ที่จะแปลความหมายของหมายสำคัญ  เพราะหมายสำคัญถูกประทานมาให้แก่ลูกทุกวัน  ความสุขจงมีแด่ผู้ที่เชื่อโดยไม่ต้องรอคอยอัศจรรย์  เพราะผู้ที่รอคอยอัศจรรย์จะยากลำบากที่จะมีความเชื่อ  เมื่ออัศจรรย์ไม่เกิดขึ้น  ความเชื่อของพวกเขาจะสูญสิ้นไป”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น