เซกาตาสชิยา เกิดเดือนกรกฏาคม 1967 เขาไม่มีสูติบัตร พ่อแม่ของเขาก็จำไม่ได้ว่าเขาเกิดวันใดแน่
เขาอาศัยอยู่กับครอบครัวในบ้านพื้นเมืองของราวันดาซึ่งทำด้วยฟาง
ครอบครัวเลี้ยงชีพด้วยการปลูกถั่วในผืนดินของพวกเขา วันหนึ่งขณะที่เซกาตาสชิยาอายุ 14 ปี กำลังเลี้ยงแพะอยู่ เขาได้ยินเสียงอ่อนหวานเรียกชื่อของเขา
เสียงนั้นพูดว่า “เด็กน้อย ถ้าเธอได้รับสาส์นสำหรับโลก เธอจะส่งสาส์นไปให้ทุกคนได้รับรู้ไหม?”
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์จากสวรรค์ที่เซกาตาสชิยาได้เล่าให้ฟัง บางคนบอกว่าพระเยซูเจ้าทรงใช้วิธีการที่แปลกในการเลือกผู้นำสาส์น
เพราะเด็กชายเป็นคนนอกศาสนาซึ่งไม่รู้จักพระเยซูเจ้าว่าเป็นใคร
เขาไม่เคยเข้าโบสถ์และไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ แต่อย่างไรก็ตาม เด็กเลี้ยงแพะผู้นี้ก็ได้กลายเป็นผู้นำสาส์นของพระเยซูคริสต์ เด็กชายเริ่มต้นประกาศสาส์นแห่งการกลับใจเกือบจะทันที
เด็กชายบอกว่า
พระเยซูเจ้าทรงขอให้มนุษยชาติทั้งหมดกลับใจจากบาปของตน และให้ดำรงชีวิตด้วยหัวใจที่ขาวสะอาด เพราะเวลาใกล้จะหมดลงแล้ว
ต่อมาเซกาตาสชิยาได้บ่นต่อพระเยซูเจ้าว่า
ประชาชนจำนวนมากไม่เชื่อในสาส์นที่เขาประกาศไป พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา
ให้บอกกับประชาชนเหล่านั้นว่า
พวกเขาควรกังวลใจเกี่ยวกับความเชื่อของตนและให้ทำตามสิ่งที่พระคัมภีร์สอนด้วยจิตใจทั้งสิ้นของพวกเขา
เด็กชายถามพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับความแตกต่างทางศาสนา พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราจะพบหัวใจของทุกคนที่เชื่อในเราและทำตามพระบัญญัติของเรา
– ไม่ว่าพวกเขาได้อ่านพระคัมภีร์หรือไม่
หรือพวกเขานับถือศาสนาอะไรก็ตาม – มันอยู่ที่ความรักของพวกเขา ไม่ใช่ศาสนาที่พวกเขานับถือ ที่ทำให้พวกเขาเป็นลูกที่แท้จริงของพระเจ้า
....ไม่มีใครถูกบังคับให้เชื่อในพระเจ้า
แต่พระเป็นเจ้าก็ยังคงอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน”
เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เซกาตาสชิยาเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาก็คือเรื่องของ
“วาระสุดท้าย”
เซกาตาสชิยาเล่าว่า วาระสุดท้ายมีสองมุมมองและมีความหมายสองอย่าง - -
สำหรับแต่ละคน
วาระสุดท้ายคือวันตายของเขา
และสำหรับมนุษยชาติทั้งมวล วาระสุดท้าย
คือวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาครั้งที่สอง
ในเวลาสิ้นวันของแต่ละวัน แต่ละคนก็เข้าใกล้เวลาที่พวกเขาจะไปพบกับพระเป็นเจ้า เด็กชายเล่าว่า พระเยซูเจ้าบอกเขาว่า ถ้าบุคคลใดมีพระองค์ในหัวใจของเขา เขาไม่ต้องกลัวเมื่อใกล้วันตายของเขา เพราะพระเยซูเจ้าจะทรงอยู่กับเขา
สำหรับผู้ที่ได้อ่านพระคัมภีร์วิวรณ์แล้ว ก็จะรู้ว่าวาระสุดท้ายจะเต็มไปด้วยความโกลาหลและการประจญทดลอง เซกาตาสชิยาบอกว่า พระเยซูเจ้าทรงบอกให้เขาพูดกับประชาชนว่า “จงอย่ากลัว
แต่ให้มีความเชื่อ
เพราะผู้ที่รักพระเป็นเจ้าและทำความดีจะได้ไปสวรรค์กับเราและจะไม่มีการประจญทดลองอีกเลย แต่รีบเร่งเข้าเถิด เพราะมีเวลาเหลืออยู่น้อยแล้ว”
เด็กชายเล่าว่า
พระเยซูเจ้ายังได้ตรัสอีกว่า “ลูกจะรู้ว่าการกลับมาของเราอยู่ใกล้แล้ว เมื่อลูกเห็นสงครามเกิดขึ้นระหว่างศาสนาที่แตกต่างกัน...สงครามเกิดขึ้นเพราะมีหลายคนบอกว่าพวกเขามีความรัก แต่แท้จริงพวกเขาไม่มีความรักในหัวใจต่อพระเป็นเจ้าหรือต่อเพื่อนมนุษย์เลย....บาปของมนุษย์จะเกิดขึ้นมากมายและยิ่งใหญ่จนทำให้บังเกิดความทุกข์ยากแสนสาหัส....โลกจะจบสิ้นลงโดยไม่มีมนุษย์เหลืออยู่เลย ด้วยความทุกข์ยากทั้งมวลและความสาหัสที่เกิดในวาระสุดท้าย
- ความเศร้าโศกทั้งหลายเหล่านั้นจะนำไปสู่การล่มสลายของโลกอันเนื่องมาจากบาปของมนุษยชาติ”
เซกาตาสชิยาเล่าว่า พระเยซูเจ้าทรงเตือนเขาเกี่ยวกับการหลอกลวงของซาตาน “ในระหว่างเวลาของวาระสุดท้าย
ซาตานจะทำทุกอย่างที่มันสามารถทำได้ในการเบี่ยงเบนมนุษย์ให้ออกนอกทางแห่งความจริงของเราและนำมนุษยชาติให้ออกห่างจากวิถีทางไปสู่สวรรค์
จะมีมนุษย์บางคนที่ทำงานให้กับซาตานในวันเหล่านั้น
เขาจะบอกคนทั้งหลายว่าความแตกต่างระหว่างพระเป็นเจ้าและซาตานนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ
เขาจะบอกว่าพระเป็นเจ้าและซาตานเป็นพี่น้องกัน...จงอย่าไปเชื่อ...จงเชื่อแต่พระวาจาของพระเป็นเจ้าเท่านั้นซึ่งลูกจะพบในพระคัมภีร์....จงอย่าวางใจผู้ใดที่จะมาและบอกว่าเขาคือพระเยซูคริสต์....จงมีความเชื่อในเราผู้เดียว และเรียกหาเราในการสวดภาวนา ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ใด เราจะพบลูกเสมอ”
คำเตือนสุดท้ายก็คือ “ซาตานจะมาสู่ประชาชาติที่ประสบหายนะภัย
ความแห้งแล้ว ความขาดแคลน
มันจะมาพร้อมด้วยอาหารมากมาย
แต่มันต้องการจะได้รับการนมัสการเป็นการตอบแทน....จงอย่ารับของจากมัน อย่ากินอาหารนั้น
(เพราะมันจะเป็นพิษต่อวิญญาณ)....จงสวดภาวนาต่อเราแล้วเราจะคอยประคับประคองลูก”
เรื่องราวที่เล่ามานี้นำมาจากหนังสือชื่อ “The Boy Who Met Jesus” ซึ่งเขียนโดย อิมมาคูลี อิลลีบากิซา Immaculee Ilibagiza(ผู้เขียนหนังสือ “ถ้าเพียงแต่เรารับฟัง” และถูกนำมาทำเป็นสารคดี - ดูได้จากเว็ปบล็อกนี้)
เซกาตาสชิยาถูกฆาตกรรมจนเสียชีวิตในระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ของราวันดา
------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น