วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วันแห่งพระยุติธรรม

สัญญาณของกาลเวลา

พระเยซูเจ้าตรัสแก่ฝูงชนว่า “เมื่อท่านเห็นเมฆก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก  ท่านก็กล่าวได้ทันทีว่าฝนจะตก – และก็เป็นเช่นนั้น  เมื่อลมทิศใต้พัดมา  ท่านก็กล่าวว่าอากาศจะร้อน – และก็เป็นเช่นนั้น  คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย  ท่านรู้จักวินิจฉัยดินฟ้าอากาศ แล้วทำไมไม่วินิจฉัยเวลาปัจจุบันนี้เล่า?” (ลูกา 12 54-56)

ในหนังสือไดอารี่ของ น.โฟสตินาบันทึกพระวาจาของพระเยซูเจ้าไว้ว่า “ก่อนถึงวันแห่งพระยุติธรรม  เรากำลังประทานวันแห่งพระเมตตา” (ไดอารี่ 1588)  เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในพระศาสนจักรว่า  ระยะเวลานี้เรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “วันแห่งพระเมตตา”  หลายคนสรุปว่า  ระยะเวลาแห่งพระเมตตานั้นเริ่มต้นจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 และเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้  แต่ยังไม่รู้ว่าสิ้นสุดเมื่อไร

พระสันตปาปาฟรังซิสตรัสเมื่อ มีนาคม 2014 ว่า พระองค์ทรงเชื่อว่าพวกเรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “ช่วงเวลาแห่งพระเมตตา” ตามที่ น.โฟสตีนา ได้บอกไว้  พระสันตปาปายังทรงบอกว่าระยะเวลาแห่งพระเมตตานี้เริ่มต้นตั้งแต่เวลาที่พระสันตปาปายอห์นปอลที่ 2 ทำพิธีถวายโลกแด่ดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ในปี 1984

 “ข้าพเจ้าแน่ใจเช่นนี้  ไม่ใช่เฉพาะช่วงเวลามหาพรตนี้เท่านั้น  พวกเรากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแห่งพระเมตตามาตั้งแต่สามสิบปีที่ผ่านมาจนมาถึงทุกวันนี้” พระดำรัสของพระสันตปาปาฟรังซิสแก่พระสงฆ์ในกรุงโรมวันที่ 6 มีนาคม 2014

ในปี 1984 พระสันตปาปายอห์นปอลที่2 ทรงทำพีธีถวายโลกแด่ดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ พร้อมกับพระสังฆราชทั่วโลก  และผลพวงของการประกอบพิธีนี้นำไปสู่การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตในปี 1991 ทำให้เกิดระยะเวลาแห่งสันติภาพขึ้นบนโลก

สิ้นสุด “ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเมตตา”

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมานี้เป็นวันสิ้นสุดปีศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเมตตาซึ่งพระสันตปาปาฟรังซิสทรงประกาศให้เริ่มต้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2015  และเป็นไปได้ไหมว่าเรากำลังเข้าสู่ “ปีแห่งพระยุติธรรม?”

บางทีอาจมีบางคนสังเกตุด้วยความประหลาดใจที่มีบางอย่างที่ไม่ค่อยปกติเกิดขึ้นในหลายประเทศ  อาทิเช่น  การเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาที่นายโดนัล ทรัมป์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอย่างคาดไม่ถึง  สงครามในซีเรียและอิรักที่มีการโจมตีเมืองสำคัญอย่างเมืองอเลปโปของซีเรียและเมืองโมซุลของอิรัก มีแผ่นดินไหวในอิตาลี  นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น  จีนเพิ่มกำลังทหารในทะเลจีนใต้  ฯลฯ เป็นต้น

ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ของโลกมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นจิตใจของมนุษย์  เพราะความทุกข์ยากลำบากและหายนะภัยที่เกิดขึ้นมักจะนำมนุษย์กลับไปหาพระเป็นเจ้า  ดังที่เราจะพบในประวัติศาสตร์ของชาติอิสราแอล  ตามบันทึกในพระคัมภีร์พระธรรมเก่าว่า  พระเป็นเจ้าทรงส่ง (หรืออนุญาตให้เกิด) หายนะภัยลงมาสู่ชาวอิสราแอลซึ่งเป็นประชากรที่เลือกสรรของพระองค์  เพื่อทำให้พวกเขาหันกลับมาหาพระองค์หลังจากที่พวกเขาได้หันเหออกไปทางอื่น  และส่วนใหญ่แล้วพระเป็นเจ้าจะทรงส่งประกาศกมาเตือนพวกเขาก่อนและเรียกพวกเขาให้กลับมา  ในประวัติศาสตร์  ชาวอิสราแอลมักจะไม่ฟังคำเตือนของประกาศกเท่าไรนัก  ระยะเวลานั้นเป็น “เวลาแห่งพระเมตตา”ของชาวอิสราแอล และเมื่อสิ้นสุดเวลานั้นก็จะเป็น “เวลาแห่งพระยุติธรรม”


พระเป็นเจ้าทรงมีแผนการ และสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพื่อความดีและความรอดของพวกเรา

ถึงแม้พระเป็นเจ้าจะทรงอนุญาตให้มนุษย์ได้รับความทุกข์ร้อนจากหายนะภัยบ้างในบางเวลา  แต่สิ่งนี้ก็เป็นไปเพื่อความดีและความรอดของมนุษย์เสมอ  ดังนั้นไม่ว่าเราจะต้องประสพกับอะไรก็ตาม  เราต้องไม่สูญเสียความหวัง  เพราะแม้แต่ในพระยุติธรรมของพระเป็นเจ้าก็ยังคงมีความเมตตาและความรักของพระองค์  เพราะพระเป็นเจ้าทรงเป็นความรักและความเมตตานั่นเอง

มีคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งกล่าวว่า“...เวลาจะมาถึงเมื่อพระเมตตาของพระเป็นเจ้าจะสิ้นสุดลง  และแล้วพระยุติธรรมของพระองค์ก็จะได้รับชัยชนะ”  ความเป็นจริงก็คือ  พระเมตตาของพระเป็นเจ้านั้นไม่เคยสิ้นสุดเลย  เพราะพระองค์ทรงเป็นความเมตตาด้วยพระองค์เอง  แต่พระองค์ก็ทรงยุติธรรมด้วย  และพระองค์ทรงรักบรรดาลูกๆของพระองค์ด้วยความรักอันไม่มีที่สิ้นสุด  ดังนั้นเมื่อเราหลงทางและละทิ้งพระเป็นเจ้าไป  ด้วยการไปเคารพบูชารูปเคารพ  ด้วยการทำบาปมากมาย  จนมาถึงจุดที่เราปล่อยมือของเราออกจากพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้าซึ่งคอยปกป้องเรา  กลับไปหลงใหลในความบาปต่างๆนาๆ  ในเวลานั้นแหละที่พระเป็นเจ้าทรงร้องเรียกและเตือนเราให้กลับมาหาพระองค์  ตามที่ นักบุญโฟสตินาได้บันทึกพระวาจาของพระเยซูเจ้าไว้ในสมุดไดอารี่ของเธอ  พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเราว่า “ผู้ที่ปฏิเสธที่จะผ่านเข้าสู่ประตูแห่งพระเมตตาของเรา  เขาจะต้องผ่านเข้าสู่ประตูแห่งพระยุติธรรมของเราแทน”(Diary1146)

ปีค.ศ. 2017 เป็นวาระครบรอบ 100 ปีของการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมา  และครบรอบ 500 ปีของการก่อตั้งนิกายโปรแตสแตนท์

เราเตรียมพร้อมที่จะได้รับการชำระล้างครั้งใหญ่ที่อาจเกิดจากหายนภัยทั่วโลกหรือยัง?  มีแต่เพียงพระเป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ปีค.ศ. 2017 เป็นปีที่มีความสำคัญสองเรื่องในประวัติศาสตร์ของคริสตชน  นั่นคือ  เป็นวาระครบรอบ 100 ปีของการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมา  และครบรอบ 500 ปีของการก่อตั้งนิกายโปรแตสแตนท์  “ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเมตตา”ซึ่งพระสันตปาปาฟรังซิสทรงประกาศไว้ได้สิ้นสุดลงแล้ว  ต่อจากนี้อีกไม่นานเราก็จะรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเพื่อพวกเราบ้าง  ในระหว่างนี้สิ่งที่เราทำได้ก็มีแต่เพียงเฝ้าคอยและสวดภาวนา

“ถึงแม้ประตูศักดิ์สิทธิ์จะปิดแล้ว  แต่ประตูที่แท้จริงแห่งพระเมตตา  ซึ่งก็คือดวงหทัยของพระคริสตเจ้ายังคงเปิดสำหรับเราอยู่เสมอ” พระสันตปาปาฟรังซิสตรัสในมิสซาวันอาทิตย์ของการปิดปีศักดิ์สิทธิ์ – ปีแห่งพระเมตตา – อย่างเป็นทางการ “พระเป็นเจ้าไม่ประสงค์จะจดจำบาปของพวกเรา พระองค์ทรงจดจำแต่พวกเราเท่านั้น  เราแต่ละคน  เราซึ่งเป็นบรรดาบุตรสุดที่รักของพระองค์”


---------------------------------------------------------

“วันนี้เรากำลังส่งเธอ (น. โฟสตินา)ไปยังประชาชนทั่วโลกพร้อมด้วยพระเมตตาของเรา  เราไม่ต้องการลงโทษมนุษยชาติที่กำลังป่วย  แต่เราปรารถนาที่จะเยียวยารักษาพวกเขา  จงเข้ามาหาดวงพระทัยเปี่ยมด้วยความเมตตาของเราเถิด  เราจะใช้การลงโทษก็ต่อเมื่อพวกเขาบังคับให้เราต้องทำเท่านั้น  เรายับยั้งมือของเราที่กำลังถือดาบแห่งพระยุติธรรม  ก่อนวันแห่งพระยุติธรรม  เรากำลังส่งวันแห่งพระเมตตามาให้”
"เราได้ยืดระยะเวลาแห่งพระเมตตาของเราออกไปเพื่อเห็นแก่คนบาป  แต่วิบัติแก่พวกเขาถ้าพวกเขายังไม่ตระหนักถึงวันเวลาแห่งการมาเยี่ยมเยือนของเรา” (ไดอารี่ หน้า 1555 และ 1160)

------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น