วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

ทำงานของพระเจ้า


จากหนังสือของซิสเตอร์เอ็มมานูแอล

...ทันใดนั้น ท่านก็ได้ยินเสียงของพระคริสต์ พระองค์ตรัสถามท่านว่า “ลูกรัก เราอายุเท่าไร?”  คุณพ่อยอห์นตอบว่า “พระเจ้าข้า พระองค์อายุ 33 ปี”

“แล้วท่านล่ะอายุเท่าไร?” พระเยซูถาม

“ผมอายุ 51 ปีครับ” คุณพ่อยอห์นตอบ

พระเยซูตรัสต่อไปว่า “แล้วทำไมลูกจึงไม่เคยเอ่ยขอบคุณเราเลยล่ะ?  เราให้อายุแก่ลูกมากกว่าเราถึง 18 ปีนะ  เพราะเราตายตอนอายุ 33 ปี”

 “ใช่แล้ว  ลูกเสียใจ โปรดให้อภัยแก่ลูกด้วยที่ไม่ได้ยินดีและขอบพระคุณสำหรับ 18 ปีที่พระองค์ประทานให้แก่ลูก”

“ยอห์น ลูกพูดถูกต้องแล้วเกี่ยวกับเรา  แต่ลูกยังไม่รู้จักเราเลย  จงลิ้มชิมเราเถิด” (คุณพ่อยอห์นบอกว่าพระเยซูทรงย้ำที่คำว่า “ลิ้มชิมเรา”)

“พระเจ้าข้า พระองค์ทรงประสงค์อะไรจึงตรัสกับลูกเช่นนี้?”

“ลูกรัก เราไม่ได้เจิมลูกให้เป็นเพียงคนงาน  เราไม่ได้เจิมลูกให้เป็นเพียงผู้อภิบาล  เราเจิมลูกให้เป็นตัวเรา  เป็นตัวเราเอง”

คุณพ่อยอห์นตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “เป็นตัวเรา” พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า

“เมื่อเรากำลังทนทุกข์ทรมานอยู่บนกางเขน เรารู้สึกถูกทอดทิ้ง ถูกปฏิเสธ  ถูกสาปแช่ง ถูกตอกตะปู เรารู้สึกเจ็บปวดสาหัสที่สุดในสภาวะเช่นนั้น  และในเวลานี้ ลูกเข้าใจแล้ว”

...คุณพ่อยอห์นเข้าใจในความจริงที่เกี่ยวกับพวกเราทุกคน  ก่อนหน้านี้ ท่านได้ทำงานหนักเพื่อพระเจ้า  จนทำให้ท่านขาดการสวดภาวนาซึ่งเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณมาก  และโดยผ่านทางผู้พิการ  พระเยซูเจ้าทรงทำให้ท่านเข้าใจว่า พระองค์ทรงมีความคาดหวังจากพระสงฆ์ของพระองค์อย่างไร  พระองค์ประสงค์ให้พวกท่านทำงานของพระเจ้า  มากกว่าทำงานเพื่อพระเจ้า  หมายถึงงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้สำหรับพระสงฆ์เพื่อที่พวกท่านจะตระหนักถึงพระญาณสอดส่องในการที่ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆไว้อย่างเหมาะสม

---------------------

คำวิจารณ์หนังสือของคุณพ่อจาคส์ ฟิลิปเป

“หนังสือเล่มนี้ให้โอกาสแก่เราได้เห็นพระเมตตาต่อการงานต่างๆในชีวิตของเรา พระเมตตามิใช่ความคิดที่เป็นนามธรรม  แต่เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนจำนวนมาก มีหลายบทในหนังสือที่แสดงให้เห็นถึงความรักของพระเป็นเจ้าที่ก่อเกิดในจิตใจของมนุษย์ในเวลาที่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งกำลังสิ้นหวังและได้ทำให้เกิดความหวังในชีวิตขึ้นใหม่  แรงบันดาลใจที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มาจากคำประพันธ์ที่กินใจ  แต่มาจากตัวอย่างชีวิตของคนหลายคน....

 “เรารักอิสรภาพ แต่โลกไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ของพลังแห่งเสรีภาพในการให้อภัย  เราโหยหาเสรีภาพ แต่ไม่ได้ทำอะไรที่จำเป็นเพื่อจะได้มันมา   การจะมีอิสระอย่างแท้จริง เราต้องให้อภัย  ตราบใดที่เรายังไม่ให้อภัยแก่ผู้ที่ทำร้ายเรา  เราจะติดอยู่กับอดีต  เราจะติดอยู่กับศัตรูผู้ที่เราตำหนิและเกลียดชัง ความขื่นขมจะเกาะกุมหัวใจของเราและมันกีดกันอิสรภาพไปจากชีวิตของเรา  การให้อภัยใครสักคนเป็นเรื่องยาก มันอาจดูเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การให้อภัยเป็นพระหรรษทานที่ต้องวอนขอด้วยการสวดภาวนาอย่างถ่อมตน และบางครั้งต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะบรรลุผล  แต่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ผู้ที่ไม่ยอมให้อภัยจะไม่พบกับสันติในจิตใจ  เขาจะมีความทุกข์และบาดแผลจะเจ็บลึกเข้าไปในหัวใจของเขา

-------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น