ยากอบในพระธรรมใหม่มีสองคนคือ
ยากอบ(บุตรเศเบดี) และยากอบ(บุตรอัลเฟอัส)
ยากอบ(บุตรเศเบดี)
ยากอบเป็นชาวเมืองเบธไซดาเช่นเดียวกับเปโตรและอันดรูว์
บิดาชื่อเศเบดีน้องชายชื่อยอห์นมีอาชีพเป็นชาวประมง
ที่เรียกว่ายากอบใหญ่ก็เพื่อแยกแยะจากยากอบเล็กซึ่งเป็นศิษย์อีกองค์หนึ่งของพระเยซูคริสต์เหมือนกันและมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ด้วย
พระเยซูคริสต์ทรงพบยากอบที่ชายทะเลสาบกาลิลีขณะกำลังปะอวนอยู่ พระองค์ทรงเรียกเขา
เขาก็ทิ้งอวนและบิดา ติดดามพระองค์ไปในทันที(มธ.4.21-22)
ยากอบเป็นคนมีนิสัยใจร้อน
เขากับยอห์นน้องชายโกรธชาวสะมาเรียที่ไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์จึงอยากจะขอให้มีไฟตกจากฟ้ามาเผาบ้านเมืองของพวกชาวสะมาเรียให้วายวอด
(ลก.9.54)พระเยซูคริสต์จึงทรงขนานนามของพี่น้องทั้งสองนี้ว่าลูกฟ้าร้อง(มก.3.17)ยากอบยังเป็นคนมีความทะเยอทะยานมากอีกด้วย
เขากับยอห์นน้องชายเข้ามาขอพระเยซูคริสต์โปรดให้ได้นั่งข้างขวาและข้างซ้ายของพระองค์เมื่อพระองค์จะเข้ารับพระสิริมงคลในสวรรค์
ทำให้อัครสาวกอื่นๆรู้สึกไม่พอใจเป็นอันมาก(มก.10.35-41)
อย่างไรก็ดี
ยากอบก็เป็นศิษย์ที่พระเยซูคริสต์ทรงรักเป็นพิเศษพร้อมกับเปโตรและยอห์นน้องชายทั้งสามจะติดสอยห้อยตามพระองค์ไปในโอกาสพิเศษๆ
เช่น เมื่อพระองค์ทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์บนภูเขาทาบอร์(มธ.17.1-18) เมื่อพระองค์เสด็จไปปลุกบุตรสาวของไยรัสหัวหน้าศาลาธรรมให้กลับคืนชีพขึ้นมาใหม่(มก.5.37)
และเมื่อพระองค์ทรงความทุกข์อย่างสาหัสในสวนมะกอก(มก.14.33)
ตามคำเล่าลือและประจักษ์พยานของนักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า
ยากอบได้แยกย้ายจากอัครสาวกอื่นๆเดินทางไปประกาศพระศาสนาจนถึงประเทศสเปญ
จึงเกิดมีสักการสถานหลายแห่งถวายเป็นเกียรติแด่ท่านที่นั้น
หนังสือกิจการอัครสาวกกล่าวว่า
ยากอบถูกกษัตริย์เฮร็อด อากริบปา สั่งประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะในราวปี ค.ศ. 44
(กจ.12.2) เล่ากันว่าขณะที่ท่านเดินทางไปสู่ที่ประหารนั้นก็ได้เทศนาทำให้ผู้ร่วมทางคนหนึ่งกลับใจ
ศพของท่านถูกย้ายจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองคอมโปสเตลลา ประเทศสเปญ เพราะปรากฏว่ามีการขุดพบหลุมศพของท่านที่นั่น
ยากอบ(บุตรอัลเฟอัส)
ยากอบผู้นี้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเยซูคริสต์(มธ.13.55) แม่ชื่อมารีซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระนางมารีพระมารดาของพระเยซูคริสต์(มก.15.40)บิดาชื่อเคลโอฟัส หรืออัลเฟอัส(ยน.19.25)มีน้องชายชื่อทัดเดอัส หรือยูดา ทั้งสองเป็นศิษย์ของพระเยซูคริสต์ มีชื่ออยู่ในบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสอง
บทบาทของยากอบ(เล็ก)ปรากฎเด่นชัดในหนังสือกิจการอัครสาวก
เมื่อท่านลุกขึ้นพูดในที่ประชุมที่กรุงเยรูซาเล็ม
เพื่อเสริมคำตัดสินของเปโตรเรื่องคริสตชนต่างชาติไม่ต้องเข้าสุหนัด คือ
ให้งดกินอาหารที่เป็นมลทินเพราะถวายแด่เทพเจ้า งดการทำผิดประเวณี
จดกินเนื้อที่ถูกฆ่าโดยการรัดคอตาย
งดกินเลือดสัตว์(กจ.15.13-21)ซึ่งที่ประชุมก็ยอมรับด้วยดี ส่อแสดงว่าท่านเป็นใหญ่
คือเป็นสังฆราชของกรุงเยรูซาเล็ม เปโตรเองเมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาช่วยให้พ้นจากคุกก็ยังสั่งให้พวกพ้องแจ้งเรื่องนี้ไปให้ยากอบ(เล็ก)ทราบก่อนที่จะหลบไปที่อื่น(กจ.12.17)
และแม้กระทั่งเปาโลเมื่อเดินทางไปเทศนารอบแรกเสร็จก็ย้อนกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อเข้าพบยากอบ(เล็ก)
และรายงานสิ่งต่างๆที่ได้กระทำให้ทราบ(กจ.21.17)
ผลงานชิ้นสำคัญที่ยากอบ(เล็ก)ฝากไว้ก็คือจดหมายที่ท่านเขียนถึงชาวอิสราแอลทั้งสิบสองตระกูลที่กระจัดกระจายกันอยู่ในที่ต่างๆ
ให้คำสอนที่เป็นสากล เหมาะสำหรับทุกคน จดหมายฉบับนี้จึงนิยมเรียกกันว่า “จดหมายสากล”
ที่สำคัญที่สุดก็คือ
จดหมายฉบับนี้ท่านได้ให้หลักฐานสำคัญถึงศีลเจิมคนไข้ซึ่งเป็นหนึ่งในศีลศักดิ์สิทธิ์
7 ประการ(ยก.5.14)
ตามคำเล่าขานกล่าวว่า
ยากอบ(เล็ก)นี้มีลักษณะเหมือนยอห์น บัปติสต์มาก นับตั้งแต่เกิดจากครรภ์มารดา
คือชอบบำเพ็ญตบะ ถือศีลเคร่งครัด ไม่ดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมาใดๆ
ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ตัดผม ลักษณะอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านเป็นคนเที่ยงตรง ยุติธรรม
ผู้คนจึงขนานนามท่านว่า “ยากอบผู้ยุติธรรม”
ยากอบ(เล็ก)
พำนักอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม คือเป็นสังฆราชของกรุงเยรูซาเล็มมาโดยตลอด
จนกระทั่งถูกมหาปุโรหิต ฮานันที่2 สั่งประหารชีวิตในปี ค.ศ.62
โดยผลักให้ตกลงมาจากยอดพระวิหาร แล้วรุมขว้างหินและทุบตีจนถึงแก่ความตาย
ท่านยากอบได้ดูแลบรรดาคริสตชนในกรุงเยรูซาเล็มโดยเฉพาะอย่างยิ่งดูแลบรรดาคนยากจนเป็นพิเศษ
ในบทจดหมายของนักบุญยากอบ(เล็ก) ได้ยกย่องคนยากจนและตำหนิคนร่ำรวยที่ไม่ช่วยเหลือผู้อื่นแต่กลับดูถูกและข่มเหงคนยากจน
ดังที่ท่านได้เขียนไว้ว่า
ยก 1:2-4 ความทุกข์ยากเป็นสิทธิพิเศษ
(2) พี่น้องทั้งหลาย จงคิดว่าเป็นที่น่ายินดีเมื่อประสบความยากลำบากต่าง ๆ
(3) เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าการที่ความเชื่อของท่านถูกทดสอบก่อให้เกิดความพากเพียร
(4) จงพากเพียรให้ถึงที่สุด เพื่อท่านจะได้เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ไม่มีที่ตำหนิ และไม่มีสิ่งใดบกพร่อง
(2) พี่น้องทั้งหลาย จงคิดว่าเป็นที่น่ายินดีเมื่อประสบความยากลำบากต่าง ๆ
(3) เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าการที่ความเชื่อของท่านถูกทดสอบก่อให้เกิดความพากเพียร
(4) จงพากเพียรให้ถึงที่สุด เพื่อท่านจะได้เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ไม่มีที่ตำหนิ และไม่มีสิ่งใดบกพร่อง
ยก 1:9-11 ชะตากรรมของคนมั่งมี
(9) พี่น้องผู้ต่ำต้อยจงภูมิใจในตำแหน่งสูงของตน
(10) ส่วนคนมั่งมีก็จงภูมิใจในสภาพต่ำต้อยของตน เพราะเขาจะต้องล่วงพ้นไปดุจดอกหญ้า
(11) เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแดดร้อนระอุแล้ว หญ้าก็เหี่ยวแห้งไป ดอกหญ้าจะร่วงโรยและความงดงามจะสูญไป คนมั่งมีจะร่วงโรยไปขณะที่กำลังทำธุรกิจของตนเช่นเดียวกัน
(9) พี่น้องผู้ต่ำต้อยจงภูมิใจในตำแหน่งสูงของตน
(10) ส่วนคนมั่งมีก็จงภูมิใจในสภาพต่ำต้อยของตน เพราะเขาจะต้องล่วงพ้นไปดุจดอกหญ้า
(11) เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแดดร้อนระอุแล้ว หญ้าก็เหี่ยวแห้งไป ดอกหญ้าจะร่วงโรยและความงดงามจะสูญไป คนมั่งมีจะร่วงโรยไปขณะที่กำลังทำธุรกิจของตนเช่นเดียวกัน
ยก 5:1-6
(1) ผู้มั่งมีทั้งหลาย จงร้องไห้คร่ำครวญเพราะความทุกข์ยากกำลังจะมาถึงท่านแล้ว
(2) ทรัพย์สมบัติของท่านเสื่อมสลาย เสื้อผ้าก็ถูกมอดกัดกินหมดแล้ว
(3) เงินทองของท่านก็เป็นสนิม และสนิมนั้นจะเป็นพยานปรักปรำท่าน มันจะกัดกินเนื้อของท่านประดุจไฟซึ่งท่านสะสมไว้สำหรับวันสุดท้าย
(4) ท่านคดโกงไม่จ่ายค่าจ้างให้กรรมกรที่เก็บเกี่ยวในทุ่งนาของท่าน ค่าจ้างนี้กำลังร้อง และเสียงร้องของคนเก็บเกี่ยวไปถึงพระกรรณของพระเจ้าจอมโยธาแล้ว
(5) ท่านมีชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยในโลกนี้ และกินเลี้ยงอย่างสนุกสนาน ท่านบำรุงจิตใจของท่านไว้รอวันประหาร
(6) ท่านตัดสินลงโทษและฆ่าผู้ชอบธรรม เขาก็มิได้ขัดขืนท่าน
(1) ผู้มั่งมีทั้งหลาย จงร้องไห้คร่ำครวญเพราะความทุกข์ยากกำลังจะมาถึงท่านแล้ว
(2) ทรัพย์สมบัติของท่านเสื่อมสลาย เสื้อผ้าก็ถูกมอดกัดกินหมดแล้ว
(3) เงินทองของท่านก็เป็นสนิม และสนิมนั้นจะเป็นพยานปรักปรำท่าน มันจะกัดกินเนื้อของท่านประดุจไฟซึ่งท่านสะสมไว้สำหรับวันสุดท้าย
(4) ท่านคดโกงไม่จ่ายค่าจ้างให้กรรมกรที่เก็บเกี่ยวในทุ่งนาของท่าน ค่าจ้างนี้กำลังร้อง และเสียงร้องของคนเก็บเกี่ยวไปถึงพระกรรณของพระเจ้าจอมโยธาแล้ว
(5) ท่านมีชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยในโลกนี้ และกินเลี้ยงอย่างสนุกสนาน ท่านบำรุงจิตใจของท่านไว้รอวันประหาร
(6) ท่านตัดสินลงโทษและฆ่าผู้ชอบธรรม เขาก็มิได้ขัดขืนท่าน
ยก 2:1-13 การให้เกียรติคนยากจน
(1) พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้ความเชื่อของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ มีความลำเอียงปนอยู่ด้วย
(2) สมมุติว่า ใครคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและเสื้อผ้าหรูหราเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และขณะเดียวกันมีคนจนอีกคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามา
(3) ท่านเข้าไปต้อนรับคนแต่งตัวหรูหราและบอกเขาว่า “เชิญนั่งตามสบายที่นี่เถิด” ส่วนคนจนนั้นท่านบอกเขาว่า “จงยืนที่นั่น” หรือ “จงนั่งข้าง ๆ ที่วางเท้าของฉันซิ”
(4) ท่านก็เป็นผู้เลือกชั้นวรรณะ และตัดสินโดยมาตรการเลวร้ายมิใช่หรือ
(5) พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกผู้ที่โลกตัดสินว่ายากจนเพื่อให้เขามั่งมีในความเชื่อ และเป็นทายาทรับมรดกพระอาณาจักรซึ่งทรงสัญญาไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ
(6) แต่ท่านกลับดูหมิ่นคนยากจน มิใช่คนร่ำรวยหรือที่กดขี่ข่มเหงท่าน
(7) มิใช่พวกเขาหรือที่ฉุดลากท่านไปขึ้นศาล มิใช่พวกเขาหรือที่กล่าวร้ายต่อพระนามประเสริฐซึ่งบันดาลให้ท่านเป็นของพระเจ้า
(8) ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติสำคัญที่สุดดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของท่านเหมือนรักตนเอง” ท่านก็ทำดีแล้ว
(9) แต่ถ้าท่านลำเอียง ท่านย่อมทำบาป และถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษว่าเป็นผู้ละเมิด
(10) ผู้ที่ละเมิดธรรมบัญญัติแม้เพียงข้อเดียว ทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติข้ออื่นทั้งหมด ย่อมผิดต่อธรรมบัญญัติทั้งมวล
(11) พระองค์ผู้ตรัสว่า “อย่าล่วงประเวณี” ยังตรัสอีกว่า “อย่าฆ่าคน” ดังนั้น ถ้าท่านไม่ล่วงประเวณี แต่ฆ่าคน ท่านก็เป็นผู้ละเมิดธรรมบัญญัติ
(12) จงพูดและกระทำอย่างผู้ที่จะถูกพิพากษาด้วยธรรมบัญญัติแห่งอิสรภาพเถิด
(13) ผู้ใดที่ไม่แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ จะถูกพิพากษาโดยปราศจากความเมตตากรุณาเช่นเดียวกัน ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณาจะไม่เกรงกลัวการพิพากษา
(1) พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้ความเชื่อของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ มีความลำเอียงปนอยู่ด้วย
(2) สมมุติว่า ใครคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและเสื้อผ้าหรูหราเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และขณะเดียวกันมีคนจนอีกคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามา
(3) ท่านเข้าไปต้อนรับคนแต่งตัวหรูหราและบอกเขาว่า “เชิญนั่งตามสบายที่นี่เถิด” ส่วนคนจนนั้นท่านบอกเขาว่า “จงยืนที่นั่น” หรือ “จงนั่งข้าง ๆ ที่วางเท้าของฉันซิ”
(4) ท่านก็เป็นผู้เลือกชั้นวรรณะ และตัดสินโดยมาตรการเลวร้ายมิใช่หรือ
(5) พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกผู้ที่โลกตัดสินว่ายากจนเพื่อให้เขามั่งมีในความเชื่อ และเป็นทายาทรับมรดกพระอาณาจักรซึ่งทรงสัญญาไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ
(6) แต่ท่านกลับดูหมิ่นคนยากจน มิใช่คนร่ำรวยหรือที่กดขี่ข่มเหงท่าน
(7) มิใช่พวกเขาหรือที่ฉุดลากท่านไปขึ้นศาล มิใช่พวกเขาหรือที่กล่าวร้ายต่อพระนามประเสริฐซึ่งบันดาลให้ท่านเป็นของพระเจ้า
(8) ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติสำคัญที่สุดดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของท่านเหมือนรักตนเอง” ท่านก็ทำดีแล้ว
(9) แต่ถ้าท่านลำเอียง ท่านย่อมทำบาป และถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษว่าเป็นผู้ละเมิด
(10) ผู้ที่ละเมิดธรรมบัญญัติแม้เพียงข้อเดียว ทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติข้ออื่นทั้งหมด ย่อมผิดต่อธรรมบัญญัติทั้งมวล
(11) พระองค์ผู้ตรัสว่า “อย่าล่วงประเวณี” ยังตรัสอีกว่า “อย่าฆ่าคน” ดังนั้น ถ้าท่านไม่ล่วงประเวณี แต่ฆ่าคน ท่านก็เป็นผู้ละเมิดธรรมบัญญัติ
(12) จงพูดและกระทำอย่างผู้ที่จะถูกพิพากษาด้วยธรรมบัญญัติแห่งอิสรภาพเถิด
(13) ผู้ใดที่ไม่แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ จะถูกพิพากษาโดยปราศจากความเมตตากรุณาเช่นเดียวกัน ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณาจะไม่เกรงกลัวการพิพากษา
**************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น