ในพระวรสารนักบุญมัทธิว (13:24-43)
พระเยซูเจ้าทรงอธิบายถึงอาณาจักรสวรรค์
โดยทรงใช้คำอุปมาง่ายๆเพื่อที่ประชาชนธรรมดาสามัญจะสามารถเข้าใจได้
พระองค์ทรงใช้คำอุปมาสามครั้งสามแบบเพื่ออธิบายว่าอาณาจักรสวรรค์มีลักษณะเป็นเช่นไร
เราต้องตั้งใจฟังสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสให้ดี แต่ในเบื้องต้นเราต้องทำความเข้าใจเสียก่อนในคำว่า
“อาณาจักรสวรรค์”
คำว่า “อาณาจักรสวรรค์” และ “อาณาจักรของพระเจ้า”
ปรากฏอยู่หลายครั้งในพระคัมภีร์
และทั้งสองคำนี้มีความหมายอย่างเดียวกันและหมายถึงสิ่งเดียวกัน นักบุญมัทธิวใช้คำว่า “อาณาจักรสวรรค์”
ตลอดเวลาในหนังสือของท่าน ส่วนนักบุญมาร์โก และนักบุญลูกา ใช้คำว่า “อาณาจักรของพระเจ้า”
แต่ทั้งสองคำก็หมายถึงสิ่งเดียวกัน
คำทั้งสองดังกล่าวนี้หมายถึงรางวัลนิรันดรที่รอคอยพวกเราแต่ละคนและรอคอยผู้ซื่อสัตย์ต่อความเชื่อทุกคนหลังจากเราได้จบชีวิตบนโลกนี้แล้ว แต่คำว่า “อาณาจักรสวรรค์”มีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่า
“อาณาจักรสวรรค์” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะเป็นจุดศูนย์กลางในพระวาจาสั่งสอนของพระคริสตเจ้า คำนี้ปรากฏมากกว่า 100
ครั้งในพระคัมภีร์พระธรรมใหม่ คำอธิบายก็คือ
อาณาจักรสวรรค์เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ภายในใจและอยู่ท่ามกลางประชากรของพระเจ้า เราจะพบคำอธิบายของคำนี้ในพระคัมภีร์ดังนี้
-
อาณาจักรสวรรค์เป็นอาณาจักรที่สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยความเข้าใจเท่านั้น
-
เราจะสามารถเข้าใจได้ต่อเมื่อเรายอมรับพระวาจาของพระเยซูเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ
-
การเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์เป็นการเกิดใหม่ฝ่ายจิตวิญญาณ
-
ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ทางจิตวิญญาณคือผู้ที่อุทิศตนในการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
-
เพราะฉะนั้นอาณาจักรนี้ไม่ได้หมายถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
แต่หมายถึงพื้นที่การปกครองของพระเจ้าในจิตใจของมนุษย์ทั้งหลาย
ประชากรที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์จะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้สำหรับสากลจักรวาล
พวกเขาถูกเรียกให้มาดำเนินชีวิตตามพระฉบับแบบของพระคริสต์และมีความคิดแบบเดียวกับพระคริสต์
นี่เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด
เพราะพระเยซูเจ้าตรัสหลายครั้งว่าสิ่งนี้เป็นพระประสงค์ของพระบิดาและของพระองค์ด้วยสำหรับโลก
นั่นคือให้มนุษย์ทั้งปวงดำรงชีวิตเป็นพี่น้องกัน ในฐานะเป็นบุตรชายและบุตรสาวของพระเจ้า
เพราะฉะนั้นการกระทำและความคิดของเราต้องสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า โดยการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้านี้ จึงจะทำให้เราได้รับความสุขที่แท้จริงอย่างเต็มเปี่ยมในชีวิตบนโลกนี้ได้
เมื่อมีความเข้าใจเรื่องอาณาจักรสวรรค์ตามที่กล่าวมาแล้ว
ให้กลับไปดูคำอธิบายที่พระเยซูเจ้าทรงให้ไว้ในพระวรสาร คำอธิบายแรกกล่าวว่า
อาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนชายผู้หนึ่งที่ออกไปหว่านข้าวสาลีในนา แต่ศัตรูได้มาหว่านข้าวละมานทับลงไปในนา
พระเยซูเจ้าทรงอธิบายว่าข้าวสาลีหมายถึงบรรดาบุตรทั้งหลายของพระเจ้า
ส่วนข้าวละมานหมายถึงบรรดาบุตรแห่งความชั่วร้ายหรือลูกของมารปีศาจ
ดังนั้นเราจะต้องทำอย่างไรในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า?
เราต้องแยกตัวออกมาจากผู้ที่ทำความชั่วหรือ? พระวรสารบอกว่าไม่ใช่เช่นนั้น นิทานเปรียบเทียบนี้บอกว่าเรายังคงต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางข้าวละมานและต้องบังเกิดผลดี
ผู้ที่จะพิพากษาครั้งสุดท้ายคือเจ้าของนาเท่านั้น ส่วนระยะเวลานี้ ข้าวสาลี
หรือก็คือพวกเราซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า ต้องเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตร่วมกับข้าวละมานด้วยความอดทนและต้องบังเกิดผลโดยต้องไม่ไปตัดสินคนอื่นๆที่อยู่รอบข้างเราไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลีหรือข้าวละมานก็ตาม
นิทานเปรียบเทียบเรื่องที่สอง
เกี่ยวกับเมล็ดมัสตาดที่เป็นเพียงเมล็ดเล็กๆในบรรดาเมล็ดผักทั้งหลาย พวกเราซึ่งมีเพียงจำนวนเล็กน้อยในตอนเริ่มต้น
จะขยายเติบโตมากขึ้นจนใหญ่กว่าผักอื่นๆ
โปรดสังเกตว่าไม่มีคำอธิบายเหตุผลว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
การเจริญเติบโตใหญ่ขึ้นเป็นไปอย่างอัศจรรย์และลึกลับและรากของมันหยั่งลึกลงไปในแผ่นดินโลก
อาณาจักรสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่เรายังคงยึดติดกับสิ่งของของโลกตามประสบการณ์ที่เรามี
อัศจรรย์ของพระเจ้าอันลึกลับตามน้ำพระทัยของพระองค์จะทำให้เราบังเกิดผลโดยไม่ใช่มาจากความ
สามารถของเราเอง สิ่งที่ท้าทายพวกเราก็คือให้มองดูสิ่งเหนือธรรมชาติในเหตุการณ์ปกติให้ออก
เราอาจเป็นผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์ แต่พระเจ้าทรงทำให้มันเจริญเติบโต นั่นคือ
ให้เราดำเนินชีวิตในสถานที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้
ให้เราทำดีที่สุดตามน้ำพระทัยของพระบิดาสวรรค์ของเรา
เชื่อและไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งที่เหลือเอง
นิทานเปรียบเทียบเรื่องที่สามเกี่ยวกับเชื้อยีสต์ที่ทำให้ขนมปังฟูขึ้น
เป็นสิ่งน่าประทับใจมากที่คุณสมบัติทางเคมีของเชื้อยีสต์มีพลังอำนาจมากเช่นนี้
นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อาจสามารถอธิบายขบวนการที่เกิดขึ้นได้
แต่พวกเขาไม่อาจหาคำตอบได้ว่าทำไมมันจึงทำงานในลักษณะแบบนี้
นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายกฎทางฟิสิกส์ได้
แต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นผู้กำหนดกฏเหล่านั้นขึ้นมา
เมื่อเชื้อยีสต์ถูกผสมลงในแป้ง
แป้งทั้งหมดก็ได้รับผลจากการกระทำของยีสต์ ในอาณาจักรสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน
พระจิตของพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ในบรรดาบุตรทั้งหลายของพระเจ้า
และเมื่อพวกเขาอยู่ในโลก ก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่อทุกๆสิ่งและทุกๆคน
สิ่งต่างๆได้รับผลกระทบจาการปรากฏอยู่ของพวกเขา
ขบวนการที่เกิดขึ้นเช่นนี้เป็นสิ่งลึกลับ พระจิตของพระเจ้าทรงมีพลานุภาพในโลก
เรารู้ว่าความรักของพระเจ้าต่อพวกเรานั้นยิ่งใหญ่ไม่สามารถประมาณวัดได้
ไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายได้ และพวกเราถูกเรียกให้มารับความรักนี้
แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังต้องขยายกระจายความรักนี้ไปยังคนอื่นๆด้วย
แม้แต่คนที่ไม่สมควรได้รับความรักนี้ เราอาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงคนต่ำต้อย
มีจำนวนน้อย หรือไม่มีความสำคัญ แต่เราต้องมีความเชื่อมั่นว่า
ไม่ว่าเราจะต่ำต้อยไม่มีความสำคัญสักเพียงใด แต่มันจะเหมือนกับเมล็ดมัสตาดหรือเชื้อยีสต์ จะบังเกิดผลลัพท์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ผลลัพท์นั้นจะเกิดแก่โลกทั้งโลก
----------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น