วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ขุมทรัพย์พระปรีชาญาณ และความรู้ทั้งปวง


พระหฤทัยพระเยซู ขุมทรัพย์พระปรีชาญาณ และความรู้ทั้งปวง

          ในบทเร้าวิงวอนฉบับนี้ รวมทั้งในฉบับที่ใช้คำว่า ความเข้าใจ แทนคำว่า ความรู้ ได้แยกความแตกต่างระหว่างความฉลาดสุขุม และความรู้ หรือความเข้าใจ ในที่นี้เราจะไม่กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างความรู้ และความเข้าใจ และขอยืนยันว่าความรู้ หรือความเข้าใจ แม้ว่าจะเป็นคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ต่างจากความฉลาดสุขุม พระคัมภีร์ถือว่าสองคุณลักษณะนี้แตกต่างกัน ในทำนองเดียวกัน พระพรของพระจิตก็ถือว่า ปรีชาญาณ และความเข้าใจเป็นพระพรต่างกัน แต่เมื่อต้องระบุความแตกต่าง เรามักจะทำไม่ได้

          คนทั่วไปมักคิดว่าปรีชาญาณเกี่ยวข้องกับวัยชรา และผมหงอก แต่คนทุกวัฒนธรรมทั้งแก่ และเด็กย่อมแสวงหาปรีชาญาณ ในยุคโบราณ ชนชาติต่าง ๆ มักยกย่องเชิดชู บุคคลที่ฉลาดสุขุม ปรีชาญาณยังเกี่ยวข้องกับความสุขุมรอบคอบด้วย ในอิสราเอล ถ้าไม่นับโมเสส และโยเซฟ ดูเหมือนจะไม่มีใครที่แสดงปรีชาญาณมากนัก แต่แล้วปรีชาญาณก็ปรากฏขึ้นในตัวกษัตริย์ซาโลมอน หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่1 วาดภาพไว้อย่างงดงาม กล่าวคือ พระเจ้าประทานความเข้าใจแก่ซาโลมอน เพื่อให้แยกแยะระหว่างความดี และความชั่ว ระหว่างสิ่งถูก และสิ่งผิด จากนั้น ราวกับจะทดสอบพระพรนี้ สตรีสองคนมาหาพระองค์ แต่ละคนอ้างตัวว่าเป็นมารดาของเด็กคนเดียวกันที่ยังมีชีวิต และไม่ยอมรับเป็นมารดาของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว เมื่อซาโลมอน พิพากษา ชาวอิสราเอล ทุกคนตื่นตะลึง เพราะเล็งเห็นว่าปรีชาญาณของพระเจ้าประทับอยู่ในพระองค์ เพื่อให้ความยุติธรรม

          พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ถือว่าปรีชาญาณมาจากพระเจ้า และแสดงนัยถึงหัวใจที่สามารถพิเคราะห์แยกแยะความดีจากความชั่วได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นความช่วยเหลือ และคำแนะนำในการดำรงชีวิตแต่ละวันของเรา คนฉลาดคือผู้เชี่ยวชาญในศิลปะของการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขเขารู้ว่ามีอะไรในหัวใจมนุษย์เขาอธิบายหลักจริยธรรมทั้งหมดของบัญญัติ 10 ประการได้ (พจนานุกรมเทววิทยาพระคัมภีร์ หน้า 658) ชาวอิสราเอล เชื่อว่าปรีชาญาณของมนุษย์ได้มาจากพระเจ้า ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เราถือว่าปรีชาญาณคือขุมทรัพย์ที่เหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง (ปรีชาญาณ 7:7-14)

          สำหรับความเป็นจริงของพระเจ้า ปรีชาญาณดำรงอยู่ตลอดนิรันดร และเกิดจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าสูงสุด เมื่อแสดงตัวในรูปของบุคคล ปรีชาญาณ (คำว่า SOPHIA และ SAPIENTIA ในภาษากรีก และละติน เป็นคำเพศหญิง) คือพระสิริรุ่งโรจน์ของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ เป็นภาพสะท้อนของแสงสว่างนิรันดร เป็นกระจกเงาสะท้อนกิจกรรมของพระเจ้า และเป็นภาพลักษณ์ของความเลิศล้ำของพระองค์ ปรีชาญาณประทับอยู่ในสวรรค์ ร่วมบัลลังก์กับพระเจ้า และดำรงชีวิตอย่างใกล้ชิดกับพระองค์

          พันธสัญญาใหม่ระบุว่าปรีชาญาณคือพระคริสตเจ้า พระบุตร และพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ประทานกฎแห่งชีวิต ซึ่งมากกว่าข้อกำหนดในบัญญัติ 10 ประการ เราคือหนทาง ความจริง และชีวิต คือคำอ้างของพระองค์ จากพระวาจาอันไพเราะของพระองค์ในพระวรสารนักบุญยอห์น (โดยเฉพาะข้อ 4:14, 6:35, 7:37) เราสามารถเข้าใจบุคลิกภาพอันลึกลับของพระองค์ได้มากขึ้น พระศาสนจักรของอัครสาวกถือว่าพระองค์ไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดปรีชาญาณ แต่ทรงเป็นองค์ปรีชาญาณเอง นับแต่นิรันดรกาล พระองค์คือพระวจนาตถ์ผู้ทรงซ่อนพระองค์ในพระเจ้า และทรงถูกเผยแสดงต่อชาวโลกเมื่อ พระวาจาทรงรับเอาธรรมชาติมนุษย์

          สำหรับคำที่สองคือ ความรู้ เรารับทราบจากผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์ว่า ชาวอิสราเอล ถือว่าความรู้มีความหมายมากกว่าความเข้าใจ ความรู้ (คำภาษาฮีบรู คือ yd) สำหรับชาวเซไมต์ เป็นมากกว่ากระบวนการอันลึกลับของความเข้าใจ เพราะหมายถึงความสัมพันธ์ของการมีตัวตน เราจะเห็นความแตกต่างของสองคำนี้ถ้ามองจากมุมมองของพระเจ้า ทั้งสองเป็นกระบวนการรับรู้ และสติปัญญา หรือความคิด คือสมรรถภาพที่ต้องใช้ในกระบวนการนี้ แม้ความรู้ของพระเจ้าจะไร้ขอบเขต และพระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง แต่เราคงไม่คิดว่าในองค์พระเจ้ามีกระบวนการของความเข้าใจ


          โทมัส อากวีนัส บอกเราว่า ปรีชาญาณหมายถึงการรู้ทุกสิ่งที่อยู่ในพระเจ้า ในขณะที่ความรู้หมายถึงการรู้ทุกสิ่งที่อยู่ในสิ่งสร้าง ในความหมายทางเทววิทยา ปรีชาญาณไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพียงความเข้าใจ แต่รวมถึงน้ำใจ (will) ซึ่งควบคุมกิจการของตนภายใต้การชี้นำของความเข้าใจ ในความหมายทางปรัชญา และมนุษย์ เราแยกแยะระหว่างปรีชาญาณ และความรู้ ผู้มีความรู้คือผู้ที่คงแก่เรียน และมีความรู้เพื่อใช้นำทางชีวิตของตน และของผู้อื่น

          บทเร้าวิงวอนข้อนี้ และอีกสองข้อต่อจากนี้ เสนอเหตุผลว่าเหตุใดพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าจึงควรเป็นราชา และศูนย์กลางของดวงใจทั้งหลาย ขุมแห่งพระปรีชาญาณ และความรู้ในพระหฤทัยพระเยซู ก่อนอื่น หมายความถึงความสมบูรณ์พร้อมของพระวจนาตถ์ซึ่งถ่ายทอดให้แก่ธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้า ดังเหตุผลที่ระบุไว้ในบทเร้าวิงวอนข้อต่อไป คือเพื่อความครบบริบูรณ์แห่งพระเทวภาพในพระคริสตเจ้า ความหมายต่อไปคือความสมบูรณ์พร้อมของสิ่งสร้าง ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติมนุษย์ของพระวจนาตถ์ คำว่า ทั้งปวงที่ใช้ในบทเร้าวิงวอนข้อนี้ทำให้สรุปได้ว่า ความสมบูรณ์พร้อมของพระเจ้า และขุมทรัพย์ต่าง ๆ ในองค์พระเยซูเจ้าเกิดขึ้นเนื่องจากพระเทวภาพ

          ถ้าเราจะถามต่อไปว่าเราจะพบปรีชาญาณและความรู้ของสิ่งสร้างใดบ้างในวิญญาณมนุษย์ของพระคริสตเจ้า เราควรตอบว่าปรีชาญาณและความรู้เหล่านี้เป็นประเภทที่สมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากพระองค์ทรงร่วมสภาวะกับพระเจ้า พระเยซูเจ้าจึงทรงเห็นพระเจ้าในสวรรค์(beatific vision) ในธรรมชาติมนุษย์ของพระองค์ และดังนั้น ปรีชาญาณ และความรู้ของพระองค์จึงเหนือกว่าของสิ่งสร้างใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์ หรือมนุษย์ผู้ได้รับเลือกสรร และนี่คือความคิดเห็นของโทมัส อากวีนัส เอง

          สำหรับความรู้ที่เกิดจากการทดลองนั้น พระองค์ย่อมเรียนรู้เหมือนมนุษย์ทั่วไป ภาษาละติน เรียกจิตใจของทารกเกิดใหม่ว่า tabula rasa หรือกระดานชนวนที่สะอาด ไม่มีสิ่งใดจารึกไว้เลย นักจิตวิทยาบอกเราว่าไม่มีสิ่งใดในจิตใจมนุษย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นผ่านประสาทสัมผัส เราสัมผัสวัตถุต่าง ๆ ผ่านประสาทสัมผัส เรารู้จักความหนาว และความอบอุ่น รู้ว่าอะไรแข็งหรืออ่อนนุ่ม ขรุขระหรือเรียบ ขาวหรือมีสี หวานหรือเปรี้ยว เป็นต้น ทารกน้อยแห่งเบ็ธเลเฮ็ม ก็เรียนรู้ด้วยวิธีนี้ ด้วยเหตุนี้ นักบุญลูกา จึงกล่าวถึงพระองค์ว่า พระเยซูเจ้าทรงเจริญขึ้นทั้งในพระปรีชาญาณ และพระชนมายุ (ลก 2:52) คงน่าสนใจไม่น้อยถ้าจะศึกษาว่าพระปรีชาญาณ และความรู้ ในชีวิตของพระเยซูเจ้า แสดงให้ประจักษ์ทีละน้อยอย่างไร แม้เมื่อทรงอายุเพียง 12 ปี เมื่อพระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางนักปราชญ์ในพระวิหาร พวกเขาประหลาดใจในปรีชาญาณ และคำตอบของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ทรงอ่านม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ ในศาลาธรรมที่นาซาเร็ธ ทุกคนประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัส เขากล่าวกันว่า นี่เป็นลูกของโยเซฟ มิใช่หรือ’” (ลก 4:22) พวกเขายิ่งประหลาดใจเมื่อได้เห็นอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำรอบทะเลสาปกาลิลี และกล่าวว่า คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยิน และคนใบ้กลับพูดได้ (มก 7:37)

          ในยุคของเรา เมื่อพิจารณาระบบศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูเจ้าได้ประทานแก่พระศาสนจักร และโครงสร้างอันน่าทึ่งของพระศาสนจักร เราเองก็อาจโห่ร้องด้วยความพิศวงเช่นเดียวกับชาวอิสราเอล ว่า โฮซานนาแด่บุตรดาวิด โฮซานนา แด่พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามของพระเจ้า

          ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นักบุญทั้งหลายเรียนรู้ปรีชาญาณสวรรค์จากต้นธารแห่งปรีชาญาณ และความรู้นี้ นักบุญทั้งหลายได้เรียนรู้คุณค่าที่นำทางท่านไปสู่จุดหมายในสวรรค์ ดังนั้น เราจึงไปหาพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงเป็น หนทาง ความจริง และชีวิต เพื่อเรียนรู้ปรีชาญาณของบรรดานักบุญของพระเจ้า ปรีชาญาณแท้สอนเรา (1) ให้แสวงหาพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และความรอดของวิญญาณของเราก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด (2) ให้เลือกเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำเราไปสู่จุดหมายนี้ และตัดทุกสิ่งออกไปจากชีวิตของเรา ที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางความก้าวหน้านี้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดึงดูดใจเพียงไรก็ตาม (3) ให้ใช้เครื่องมือนี้ด้วยความแข็งขัน พากเพียร และตั้งใจจริง

*******************

Cr.Baanjomyut.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น