วันสมโภชปัสกา ปีB
วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2018
โดยพระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย
ธาตุวิสัย
พี่น้องที่รัก
วันอาทิตย์ปัสกาทำให้เราเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ
ที่เกิดขึ้นกับพระเยซูเจ้าในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจนและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
แสดงให้เราเห็นว่าอันที่จริงแล้วสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ใช่การประหารชีวิต
แต่เป็นการยอมสละชีวิตตนเองเพื่อมิตรสหาย ไม่ใช่เป็นความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะ
ไม่ใช่เป็นจุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้าไม่ใช่การประหารชีวิต
เพราะไม่มีผู้ใดบนโลกนี้ที่สามารถเอาชีวิตไปจากพระองค์ได้
แต่เป็นพระองค์เองที่ทรงยอมรับความตายด้วยใจอิสระและนบนอบเชื่อฟังเพื่อให้พระประสงค์ของพระบิดาเจ้าสวรรค์สำเร็จไป
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ
พระองค์ทรงยอมถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าเพื่อความรอดพ้นของมวลมนุษย์
ดังนั้น การสิ้นพระชนม์ของพระองค์จึงไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่เหนือบาปและความตาย
ซึ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของมนุษยชาติ
การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ไม่ใช่จุดจบหรือจุดหมายปลายทางสุดท้าย
แต่เป็นเพียงทางผ่านเข้าสู่ชีวิตที่สูงส่งและยิ่งใหญ่กว่า
เป็นชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น
พระเยซูเจ้าทรงยอมสิ้นพระชนม์และจากโลกนี้ไปล่วงหน้าเราเพื่อแสดงให้เห็นว่าความตายเป็นเพียงทางผ่านเพื่อเข้าสู่การกลับคืนชีพ
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ของเรา ชีวิตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้และเรียกเราแต่ละคนให้เข้าไปรับตั้งแต่วันที่เราได้รับศีลล้างบาป
เมื่อพูดถึงวันฉลองสำคัญของพระศาสนจักร
เราส่วนใหญ่มักจะนึกถึงวันคริสต์มาสและวันปัสกา
เพราะดูเหมือนว่าสองวันนี้จะมีความหมายสำหรับเรามากกว่าวันอื่นๆ อันที่จริง
สองวันนี้มีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน
ในวันคริสต์มาสเราฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตมนุษย์ของพระองค์บนโลกนี้
แม้ว่าพระองค์ได้ทรงดำรงชีวิตอยู่ในครรภ์ของพระนางมารีย์ถึงเก้าเดือนก่อนหน้านี้ก็ตาม
ในการบังเกิดครั้งนั้น พระองค์เสด็จมาหาเรา ทรงเป็นมนุษย์เหมือนเราทุกอย่าง ยกเว้นบาป
ในวันปัสกาเราฉลองการเริ่มต้นเช่นกัน แต่เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ครบบริบูรณ์กว่า
เพราะพระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายเพียงเพื่อดำเนินชีวิตที่พระองค์เคยมีเป็นเวลาสามสิบสามปีบนโลกนี้เท่านั้น
แต่เพื่อเข้าสู่ชีวิตที่เปี่ยมด้วยพระสิริรุ่งโรจน์และความสุขสมบูรณ์ โดยปล่อยความทุกข์ทรมาน
ความยากลำบาก และน้ำตาซึ่งเป็นชะตากรรมของมนุษย์ไว้เบื้องหลัง ในแง่หนึ่ง
ในวันปัสกาพระเยซูเจ้าทรงจากเราไปและปล่อยเราไว้เบื้องหลัง แต่พระองค์ทรงปรารถนาดึงเรามาหาพระองค์เพื่อว่าเราจะมีส่วนร่วมในชีวิตที่เปี่ยมด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ตลอดไป
แน่นอน
วันคริสต์มาสเป็นวันที่ชื่นชมยินดีและน่าดึงดูดใจสำหรับเรามากกว่าวันปัสกา
เพราะมีการประดับตกแต่งมากมาย มีบทเพลงเพราะๆ ที่แต่งขึ้นสำหรับเทศกาลนี้โดยตรง
มีการส่งบัตรอวยพรและมอบของขวัญให้แก่กันและกัน คริสต์มาสเป็นวันฉลองของครอบครัวที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของการให้และการแบ่งปัน
วันปัสกาแทบจะไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับวันคริสต์มาส มีเพียง “ไข่ปัสกา”
เท่านั้นที่พอจะเป็นเครื่องหมายภายนอกและเรียบง่ายของวันฉลองดังกล่าว ทำไมไข่จึงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งเดียวของวันปัสกา?
โดยต้นกำเนิดแล้ว
ในพระศาสนจักรสมัยเริ่มแรกซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การจำศีลอดอาหารระหว่างเทศกาลมหาพรตมีความเคร่งครัดมาก
ไข่ถือว่าเป็นหนึ่งในบรรดาอาหารหลายอย่างที่ต้องห้ามด้วย คริสตชนในสมัยนั้นจึงไม่ยอมนำไข่มาปรุงเป็นอาหารในระหว่างเทศกาลนี้
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปรกติที่ในวันปัสกาพวกเขาจะเริ่มรับประทานไข่อย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่พวกเขาไม่ได้ลิ้มรสเลยตลอดระยะเวลาสี่สิบวันที่ผ่านมา
นอกจากไข่จะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของพระศาสนจักรของเราแล้ว
มันยังเป็นสัญลักษณ์ที่อธิบายความหมายของวันปัสกาได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งสำหรับพระเยซูเจ้าเองและเราแต่ละคนซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์
ดังที่เราทราบกันดี ภายในไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว ชีวิตใหม่จะเริ่มก่อตัวและเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อถึงเวลาที่ไข่จะฟักออกมาเป็นตัว ลูกไก่จะเริ่มเจาะเปลือกไข่ออกมาเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยอิสรภาพ
เหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงออกจากพระคูหาเพื่อเข้าสู่ชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คริสตชนสมัยเริ่มแรกนำเอาไข่มาเป็นสัญลักษณ์ของวันปัสกา
เพราะไข่ชวนให้คิดถึงพระคูหาที่ฝังพระศพของพระเยซูเจ้า ลูกไก่ที่เจาะเปลือกไข่ออกมาชวนให้คิดถึงพระเยซูเจ้าที่ออกมาจากพระคูหาในเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ปัสกาด้วยพลานุภาพแห่งการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์
พี่น้องที่รัก
ชีวิตของเราบนโลกนี้เป็นชีวิตที่มีขอบเขตจำกัด เหมือนกับชีวิตของลูกไก่ในเวลาที่ยังอยู่ภายในเปลือกไข่
แต่เราหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะเจาะเปลือกไข่แห่งชีวิตนี้ออกมาเพื่อดำเนินชีวิตอย่างอิสระพร้อมกับพระเยซูเจ้าในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
สีที่สว่างสุกใสและหลายหลากที่เราใช้วาดลงบนไข่ปัสกาเป็นเครื่องหมายแห่งความยินดีของเราในการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าและของเราแต่ละคนที่จะมาถึงในอนาคต
วันปัสกาเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่น่าสะเทือนใจของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นความชื่นชมยินดี
แสดงให้เห็นว่าจริงๆ
แล้วพระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลที่จะนำเราไปสู่ความสุขแห่งชีวิตนิรันดรในเมืองสวรรค์ อย่างไรก็ตาม
สัจธรรมประการหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ
ไม่มีวันปัสกาที่ปราศจากวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (No Easter
Without Good Friday)
ถ้าไม่มีพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า จะไม่มีการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์
เช่นเดียวกันสำหรับเราแต่ละคน ไม่มีความรอดพ้นที่ปราศจากกางเขน
เพราะความรอดพ้นของเรามาจากกางเขนที่ตรึงพระเยซูเจ้า ดังนั้น
เพื่อเราจะสามารถร่วมส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ในเมืองสวรรค์
เราต้องพร้อมที่จะร่วมส่วนในพระทรมานของพระองค์บนโลกนี้เช่นกัน ขอพระเยซูเจ้า
ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ เป็นความหวังและกำลังใจสำหรับเราแต่ละคน “สุขสันต์วันปัสกา”
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน
**************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น