“ท้องฟ้าดูมืดมน
ทึมทึบ และหมองเศร้า – ดวงจันทร์เป็นสีแดง มีจุดต่างๆ ดูน่ากลัวนัก
เพราะวันนี้องค์พระผู้สร้างจะทรงสิ้นพระชนม์แล้ว”
“ปีศาจนับพันนับหมื่น แต่ละตัวมีภาระยุ่งเหยิงไปหมด มันพยายามล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาปต่างๆ ดูราวกับว่าประตูนรกถูกเปิดออก และซาตานดิ้นรนสุดฤทธิ์ของมันเพื่อที่จะเพิ่มน้ำหนักของบาปที่ลูกแกะของพระเจ้าต้องทรงทนรับไว้บนบ่าของพระองค์ ทูตสวรรค์พากันสะเทือนใจและเต็มเปี่ยมด้วยความทุกข์โศกเศร้าระคนกับความยินดี ทุกองค์ปรารถนาจะหมอบกราบเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อวิงวอนพระองค์ให้ทรงอนุญาตพวกท่านลงไปช่วยองค์พระคริสตเยซู ในเวลาเดียวกันพวกท่านก็เต็มไปด้วยความพิศวง ในพระยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์และพระเมตตาอันเปี่ยมล้นของพระเจ้าอันเป็นนิรันดรในสวรรค์ และบัดนี้สิ่งเหล่านี้กำลังจะสำเร็จบริบูรณ์แล้ว”
“เราจำต้องโบยบินไปหาพระเยซูเจ้า และเข้าไปมีส่วนร่วมกับความรู้สึกที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวจากการถูกทอดทิ้งของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่จนมิอาจพรรณาได้ซึ่งพระองค์ทรงทนรับไว้ขณะที่อยู่บนกางเขน”
“อย่างไรก็ดี มีหลายคนได้กลับใจ ซึ่งมีบรรดาทหารของสมณะรวมอยู่ด้วย คือทหารที่ได้รับคำสั่งให้ไปจับกุมพระองค์ที่สวนมะกอก พวกเขาชะงักถอยหลังและล้มลงกับพื้น ด้วยพระวาจาขององค์พระผู้ไถ่ พระองค์ถามพวกเขาว่า “พวกท่านมาหาใคร” พวกเขาตอบว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ” และพระองค์ตอบว่า “เป็นเราเอง” แล้วพวกเขาก็ล้มลง ”
“ปีศาจนับพันนับหมื่น แต่ละตัวมีภาระยุ่งเหยิงไปหมด มันพยายามล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาปต่างๆ ดูราวกับว่าประตูนรกถูกเปิดออก และซาตานดิ้นรนสุดฤทธิ์ของมันเพื่อที่จะเพิ่มน้ำหนักของบาปที่ลูกแกะของพระเจ้าต้องทรงทนรับไว้บนบ่าของพระองค์ ทูตสวรรค์พากันสะเทือนใจและเต็มเปี่ยมด้วยความทุกข์โศกเศร้าระคนกับความยินดี ทุกองค์ปรารถนาจะหมอบกราบเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อวิงวอนพระองค์ให้ทรงอนุญาตพวกท่านลงไปช่วยองค์พระคริสตเยซู ในเวลาเดียวกันพวกท่านก็เต็มไปด้วยความพิศวง ในพระยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์และพระเมตตาอันเปี่ยมล้นของพระเจ้าอันเป็นนิรันดรในสวรรค์ และบัดนี้สิ่งเหล่านี้กำลังจะสำเร็จบริบูรณ์แล้ว”
“เราจำต้องโบยบินไปหาพระเยซูเจ้า และเข้าไปมีส่วนร่วมกับความรู้สึกที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวจากการถูกทอดทิ้งของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่จนมิอาจพรรณาได้ซึ่งพระองค์ทรงทนรับไว้ขณะที่อยู่บนกางเขน”
“อย่างไรก็ดี มีหลายคนได้กลับใจ ซึ่งมีบรรดาทหารของสมณะรวมอยู่ด้วย คือทหารที่ได้รับคำสั่งให้ไปจับกุมพระองค์ที่สวนมะกอก พวกเขาชะงักถอยหลังและล้มลงกับพื้น ด้วยพระวาจาขององค์พระผู้ไถ่ พระองค์ถามพวกเขาว่า “พวกท่านมาหาใคร” พวกเขาตอบว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ” และพระองค์ตอบว่า “เป็นเราเอง” แล้วพวกเขาก็ล้มลง ”
“ฉันได้เห็นในจิตใจของทหารที่ช่วยแก้มัดพระเยซูเจ้า
และอีกคนหนึ่งที่นำน้ำมาให้พระองค์ดื่ม ในทันทีทันใดแสงแห่งพระหรรษทานก็ส่องสว่างในจิตใจของทหารทั้งสองคนทำให้พวกเขากลับใจก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงสิ้นพระชนม์
ในเวลานั้นพวกเขาก็เข้าร่วมเป็นศิษย์ของพระองค์”
“เมื่อฉันเพ่งพินิจพระองค์บนไม้กางเขน เส้นผมของพระองค์เกือบจะฉีกขาดออก มีเลือดแห่งกรังเป็นสีดำติดอยู่แทน พระกายของพระองค์เต็มไปด้วยบาดแผล และแขนดูเหมือนจะเลื่อนไปจากตำแหน่ง”
“ระหว่างที่ทรงถูกตรึงกางเขน พระเยซูเจ้า พระเจ้าของเรามิได้หยุดสวดภาวนาเลย ทรงสวดภาวนาจากบทสดุดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งจะทรงส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด พระองค์ทรงสวดภาวนาเช่นนี้ในเวลาที่ทรงแบกกางเขนด้วย และทรงสวดภาวนาจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ฉันได้ยินพระองค์ทรงเอ่ยซ้ำในคำพยากรณ์จากพระคัมภีร์ และฉันก็ได้พูดตามพระองค์ ฉันเคยเขียนบันทึกประโยคเหล่านี้ไว้บ่อยๆเมื่อตอนที่อ่านบนสดุดี”
“แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอธีบายถึงความโหดร้ายของบรรดาทหารโรมันที่กระทำต่อพระองค์ พวกเขาเป็นเหมือนสัตว์ร้ายในคราบของมนุษย์ พระองค์ทรงทนทุกข์จากความกระหาย อันเนื่องมาจากบาดแผลมากมายที่พวกเขากระทำต่อพระองค์ ทำให้ร่างกายทุกส่วนของพระองค์สั่นสะท้าน เนื้อหนังของพระองค์ถูกทึ้งออกมาเป็นชิ้นๆ ลิ้นของพระองค์หดเกร็ง พระองค์ได้รับพลังมาบ้างจากการดื่มพระโลหิตของพระองค์เองซึ่งหลั่งลงมาจากพระเศียรและไหลมาที่ริมฝีปากของพระองค์”
“เมื่อฉันเพ่งพินิจพระองค์บนไม้กางเขน เส้นผมของพระองค์เกือบจะฉีกขาดออก มีเลือดแห่งกรังเป็นสีดำติดอยู่แทน พระกายของพระองค์เต็มไปด้วยบาดแผล และแขนดูเหมือนจะเลื่อนไปจากตำแหน่ง”
“ระหว่างที่ทรงถูกตรึงกางเขน พระเยซูเจ้า พระเจ้าของเรามิได้หยุดสวดภาวนาเลย ทรงสวดภาวนาจากบทสดุดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งจะทรงส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด พระองค์ทรงสวดภาวนาเช่นนี้ในเวลาที่ทรงแบกกางเขนด้วย และทรงสวดภาวนาจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ฉันได้ยินพระองค์ทรงเอ่ยซ้ำในคำพยากรณ์จากพระคัมภีร์ และฉันก็ได้พูดตามพระองค์ ฉันเคยเขียนบันทึกประโยคเหล่านี้ไว้บ่อยๆเมื่อตอนที่อ่านบนสดุดี”
“แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอธีบายถึงความโหดร้ายของบรรดาทหารโรมันที่กระทำต่อพระองค์ พวกเขาเป็นเหมือนสัตว์ร้ายในคราบของมนุษย์ พระองค์ทรงทนทุกข์จากความกระหาย อันเนื่องมาจากบาดแผลมากมายที่พวกเขากระทำต่อพระองค์ ทำให้ร่างกายทุกส่วนของพระองค์สั่นสะท้าน เนื้อหนังของพระองค์ถูกทึ้งออกมาเป็นชิ้นๆ ลิ้นของพระองค์หดเกร็ง พระองค์ได้รับพลังมาบ้างจากการดื่มพระโลหิตของพระองค์เองซึ่งหลั่งลงมาจากพระเศียรและไหลมาที่ริมฝีปากของพระองค์”
****************
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
ระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า
ตามธรรมเนียมเก่าแก่ที่สุด วันนี้และวันพรุ่งนี้ พระศาสนจักรไม่ประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ใดๆเลย และถือว่าเป็นวันบังคับให้ทุกคนทำการจำศีลอดอาหาร วันนี้แท่นบูชาต้องไม่มีของวางอยู่ คือ ไม่มีกางเขน ไม่มีเชิงเทียน และไม่มีผ้าปู
ในตอนบ่ายวันนี้ คือ ราวบ่ายสามโมง (เว้นแต่จะเลือกเวลาบ่ายกว่านั้นเนื่องจากเหตุผลด้านอภิบาลสัตบุรุษ)มีการประกอบพิธีระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า ซึ่งมีสามภาคคือ ภาควจนพิธีกรรม ภาคนมัสการกางเขน และภาครับศีลมหาสนิท
วันนี้มีการแจกศีลมหาสนิทแก่สัตบุรุษเฉพาะในระหว่างพิธีระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้าเท่านั้น แต่พระสงฆ์จะส่งศีลให้คนไข้ได้ไม่ว่าเวลาใด
พระสงฆ์สวมอาภรณ์สีแดง เหมือนกับสำหรับประกอบพิธีบูชามิสซาฯ เดินไปยังแท่นบูชา เมื่อแสดงความเคารพแล้ว ก็หมอบราบลง หรือถ้าเห็นสมควรจะคุกเข่าก็ได้ แล้วทุกคนภาวนาเงียบๆครู่หนึ่ง ครั้นแล้ว พระสงฆ์กับผู้ช่วยเดินไปยังที่นั่ง หันหน้ามาทางสัตบุรุษ พนมมือ สวดภาวนาตามพิธีที่กำหนดไว้ต่อไป
ระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า
ตามธรรมเนียมเก่าแก่ที่สุด วันนี้และวันพรุ่งนี้ พระศาสนจักรไม่ประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ใดๆเลย และถือว่าเป็นวันบังคับให้ทุกคนทำการจำศีลอดอาหาร วันนี้แท่นบูชาต้องไม่มีของวางอยู่ คือ ไม่มีกางเขน ไม่มีเชิงเทียน และไม่มีผ้าปู
ในตอนบ่ายวันนี้ คือ ราวบ่ายสามโมง (เว้นแต่จะเลือกเวลาบ่ายกว่านั้นเนื่องจากเหตุผลด้านอภิบาลสัตบุรุษ)มีการประกอบพิธีระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า ซึ่งมีสามภาคคือ ภาควจนพิธีกรรม ภาคนมัสการกางเขน และภาครับศีลมหาสนิท
วันนี้มีการแจกศีลมหาสนิทแก่สัตบุรุษเฉพาะในระหว่างพิธีระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้าเท่านั้น แต่พระสงฆ์จะส่งศีลให้คนไข้ได้ไม่ว่าเวลาใด
พระสงฆ์สวมอาภรณ์สีแดง เหมือนกับสำหรับประกอบพิธีบูชามิสซาฯ เดินไปยังแท่นบูชา เมื่อแสดงความเคารพแล้ว ก็หมอบราบลง หรือถ้าเห็นสมควรจะคุกเข่าก็ได้ แล้วทุกคนภาวนาเงียบๆครู่หนึ่ง ครั้นแล้ว พระสงฆ์กับผู้ช่วยเดินไปยังที่นั่ง หันหน้ามาทางสัตบุรุษ พนมมือ สวดภาวนาตามพิธีที่กำหนดไว้ต่อไป
ภาควจนพิธีกรรม
พิธีกรรมในวันนี้เราจะได้รับฟังบทอ่านจากพระคัมภีร์ 3 บทด้วยกัน ประกอบด้วยบทอ่านที่ หนึ่งจากพันธสัญญาเดิมอิสยาห์ 52:13-53:12 ซึ่งเป็นเรื่องที่กล่าวถึงผู้รับใช้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน และยอมตาย ยอมถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบาป ยอมรับแบกบาปของคนทั้งหลาย และอ้อนวอนแทนคนบาป ซึ่งเป็นการบ่งบอกล่วงหน้าถึงองค์พระเยซูเจ้านั้นเอง บทอ่านที่สองเป็นบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวฮิบรู 4:14-16, 5:7-9 ซึ่งพูดถึงพระเยซูคริสต์ทรงเป็นมหาปุโรหิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากบาป บทอ่านที่สามเป็นบทอ่านจากพระวรสารของนักบุญยอห์น 18:1-9:42 เป็นเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์พระทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าทั้งแต่ตอนถูกจับกุมจนการนำพระศพของพระองค์ไปฝังในคูหา
จากนั้นเป็นบทภาวนาเพื่อมวลชนที่ค่อนข้างจะมากกว่าบทภาวนาเพื่อมวลชนปรกติที่เราภาวนากันในวันอาทิตย์ สำหรับจุดประสงค์ที่เราภาวนาในโอกาสนี้มี 10 เจตนาด้วยกัน เช่น เพื่อขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองพระศาสนจักรคาทอลิกให้มีความสงบสุขและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อพระสันตะปาปา เพื่อพระสังฆราช เพื่อพระสงฆ์นักบวช เพื่อผู้ที่เตรียมตัวรับศีลล้างบาป เพื่อเอกภาพของบรรดาคริสตชนนิกายต่างๆ เพื่อผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพื่อผู้ปกครองประเทศ เพื่อผู้ที่มีความเดือดร้อนต่างๆ เป็นต้น
ภาคนมัสการกางเขน
ภาคนี้เป็นการแสดงกางเขนต่อหน้าสัตบุรุษอย่างสง่า พระสงฆ์ถือไม้กางเขนที่มีผ้าคลุมไว้พร้อมกับผู้ช่วยพิธีกรรมสมองคนถือเทียนที่จุดแล้วมายังพระแท่น พระสงฆ์ยืนหน้าพระแท่น เปิดผ้าคลุมตอนบนออกเล็กน้อย ชูกางเขนขึ้นร้องเพลงว่า “นี่คือไม้กางเขนที่พระผู้ไถ่โลกได้ตรึงแขวนอยู่” สัตบุรุษหรือนักขับร้องร้องรับว่า “เชิญมากราบนมัสการร่วมกันเถิด” จากนั้นพระสงฆ์เปิดผ้าคลุมเป็นครั้งที่สองโดยเปิดผ้าคลุมจากแขนขวา ชูขึ้นแล้วขับร้องเหมือนครั้งแรก จากนั้นพระสงฆ์เปิดผ้าคลุมด้านแขนซ้าย และทำเช่นเดียวกับสองครั้งแรก เมื่อขับร้อง “เชิญมากราบฯ”จบทุกครั้งให้สัตบุรุษคุกเข่ากราบลง นมัสการพระเจ้าเงียบๆครู่หนึ่ง จากนั้นพระสงฆ์นำกางเขนไปวางไว้ตรงกลางพร้อมกับเชิงเทียนเพื่อให้สัตบุรุษเข้ามาแสดงความเคารพกางเขนเป็นรายบุคคลหรือเป็นหมู่คณะ
กางเขนที่นำมาให้แสดงความเคารพนั้นให้มีแต่กางเขนเดียว ถ้ามีคนจำนวนมากให้พระสงฆ์ชูกางเขนไว้เพื่อให้สัตบุรุษนมัสการอย่างเงียบๆ เมื่อแสดงความเคารพหมดแล้วให้นำกางเขนไปตั้งไว้ในที่ที่เคยตั้งบนพระแท่น ให้ตั้งเชิงเทียบที่จุดข้างพระแท่นหรือใกล้กางเขน
พิธีกรรมในวันนี้เราจะได้รับฟังบทอ่านจากพระคัมภีร์ 3 บทด้วยกัน ประกอบด้วยบทอ่านที่ หนึ่งจากพันธสัญญาเดิมอิสยาห์ 52:13-53:12 ซึ่งเป็นเรื่องที่กล่าวถึงผู้รับใช้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน และยอมตาย ยอมถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบาป ยอมรับแบกบาปของคนทั้งหลาย และอ้อนวอนแทนคนบาป ซึ่งเป็นการบ่งบอกล่วงหน้าถึงองค์พระเยซูเจ้านั้นเอง บทอ่านที่สองเป็นบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวฮิบรู 4:14-16, 5:7-9 ซึ่งพูดถึงพระเยซูคริสต์ทรงเป็นมหาปุโรหิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากบาป บทอ่านที่สามเป็นบทอ่านจากพระวรสารของนักบุญยอห์น 18:1-9:42 เป็นเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์พระทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าทั้งแต่ตอนถูกจับกุมจนการนำพระศพของพระองค์ไปฝังในคูหา
จากนั้นเป็นบทภาวนาเพื่อมวลชนที่ค่อนข้างจะมากกว่าบทภาวนาเพื่อมวลชนปรกติที่เราภาวนากันในวันอาทิตย์ สำหรับจุดประสงค์ที่เราภาวนาในโอกาสนี้มี 10 เจตนาด้วยกัน เช่น เพื่อขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองพระศาสนจักรคาทอลิกให้มีความสงบสุขและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อพระสันตะปาปา เพื่อพระสังฆราช เพื่อพระสงฆ์นักบวช เพื่อผู้ที่เตรียมตัวรับศีลล้างบาป เพื่อเอกภาพของบรรดาคริสตชนนิกายต่างๆ เพื่อผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพื่อผู้ปกครองประเทศ เพื่อผู้ที่มีความเดือดร้อนต่างๆ เป็นต้น
ภาคนมัสการกางเขน
ภาคนี้เป็นการแสดงกางเขนต่อหน้าสัตบุรุษอย่างสง่า พระสงฆ์ถือไม้กางเขนที่มีผ้าคลุมไว้พร้อมกับผู้ช่วยพิธีกรรมสมองคนถือเทียนที่จุดแล้วมายังพระแท่น พระสงฆ์ยืนหน้าพระแท่น เปิดผ้าคลุมตอนบนออกเล็กน้อย ชูกางเขนขึ้นร้องเพลงว่า “นี่คือไม้กางเขนที่พระผู้ไถ่โลกได้ตรึงแขวนอยู่” สัตบุรุษหรือนักขับร้องร้องรับว่า “เชิญมากราบนมัสการร่วมกันเถิด” จากนั้นพระสงฆ์เปิดผ้าคลุมเป็นครั้งที่สองโดยเปิดผ้าคลุมจากแขนขวา ชูขึ้นแล้วขับร้องเหมือนครั้งแรก จากนั้นพระสงฆ์เปิดผ้าคลุมด้านแขนซ้าย และทำเช่นเดียวกับสองครั้งแรก เมื่อขับร้อง “เชิญมากราบฯ”จบทุกครั้งให้สัตบุรุษคุกเข่ากราบลง นมัสการพระเจ้าเงียบๆครู่หนึ่ง จากนั้นพระสงฆ์นำกางเขนไปวางไว้ตรงกลางพร้อมกับเชิงเทียนเพื่อให้สัตบุรุษเข้ามาแสดงความเคารพกางเขนเป็นรายบุคคลหรือเป็นหมู่คณะ
กางเขนที่นำมาให้แสดงความเคารพนั้นให้มีแต่กางเขนเดียว ถ้ามีคนจำนวนมากให้พระสงฆ์ชูกางเขนไว้เพื่อให้สัตบุรุษนมัสการอย่างเงียบๆ เมื่อแสดงความเคารพหมดแล้วให้นำกางเขนไปตั้งไว้ในที่ที่เคยตั้งบนพระแท่น ให้ตั้งเชิงเทียบที่จุดข้างพระแท่นหรือใกล้กางเขน
ภาครับศีลมหาสนิท
เมื่อทุกคนได้แสดงความเคารพต่อกางเขนแล้ว พระสงฆ์จะนำศีลมหาสนิทจากที่ที่ได้นำไปรักษาไว้มายังพระแท่น เริ่มภาครับศีลฯด้วยการสวดบทข้าแต่พระบิดาฯ บทลูกแกะพระเจ้า แล้วนั้นเชิญสวดสัตบุรุษเข้ามารับศีลมหาสนิทพร้อมกัน เมื่อทุกคนรับศีลมหาสนิทเสร็จแล้วพระสงฆ์จะภาวนาและการปกมืออวยพรสัตบุรุษทุกคน จากนั้นให้ทุกคนเดินออกจากวัดอย่างเงียบๆ ให้เอาทุกสิ่งทุกอย่างออกจากแท่น คงเหลือแต่แท่นบูชาว่างเปล่า เป็นอันเสร็จพิธีในวันนี้
เมื่อทุกคนได้แสดงความเคารพต่อกางเขนแล้ว พระสงฆ์จะนำศีลมหาสนิทจากที่ที่ได้นำไปรักษาไว้มายังพระแท่น เริ่มภาครับศีลฯด้วยการสวดบทข้าแต่พระบิดาฯ บทลูกแกะพระเจ้า แล้วนั้นเชิญสวดสัตบุรุษเข้ามารับศีลมหาสนิทพร้อมกัน เมื่อทุกคนรับศีลมหาสนิทเสร็จแล้วพระสงฆ์จะภาวนาและการปกมืออวยพรสัตบุรุษทุกคน จากนั้นให้ทุกคนเดินออกจากวัดอย่างเงียบๆ ให้เอาทุกสิ่งทุกอย่างออกจากแท่น คงเหลือแต่แท่นบูชาว่างเปล่า เป็นอันเสร็จพิธีในวันนี้
*******************
ที่มา - www.kamsondeedee.com/main/2008-11-13-03-19-31-99/82-11/476-138
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น