วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ปีศาจเตรียมที่ไว้ให้ฉันในนรก

นักบุญเทเรซาแห่งพระเยซูเจ้า ยังเป็นที่รู้จักในนามของ นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา
ท่านอาศัยอยู่ในสเปนระหว่างศตวรรษที่ 16  ท่านดำเนินชีวิตเป็นซิสเตอร์คาร์เมไลท์ 
ถึงแม้ท่านจะอยู่ในยุคสมัยที่ห่างไกลจากพวกเราซึ่งอยู่ในวัฒนธรรมที่ทันสมัย 
แต่คำพูดของท่านก็ยังมีอิทธิพลต่อยุคปัจจุบันนี้ที่กำลังย่างเข้าสู่สหัสวรรษที่สาม

น.เทเรซา แห่งอาวิลา - นิมิตของนรก
“เป็นเวลานานหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงประทานหลายสิ่งตามที่ดิฉันวอนขอดังที่ดิฉันได้กล่าวไปแล้ว วันหนึ่งขณะที่ดิฉันกำลังสวดภาวนาอยู่ ทันใดนั้นดิฉันก็พบว่าตัวเองไปอยู่ในนรก โดยไม่รู้ว่าไปด้วยวิธีใด ดิฉันเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้ดิฉันเห็น สถานที่ซึ่งปีศาจได้เตรียมไว้ให้ดิฉัน และดิฉันสมควรไปอยู่ที่นั่นเพราะบาปของดิฉัน ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่ดิฉันกลับรู้สึกเหมือนระยะเวลายาวนานเป็นปีๆ ดิฉันไม่อาจลืมประสบการณ์นี้ได้เลย
 
ทางเข้าสู่นรก สำหรับดิฉันมันดูคล้ายกับตรอกแคบๆที่ยาวไกลมาก มันเหมือนเตาไฟ เพดานต่ำ มืดและเป็นที่คุมขัง พื้นดินดูเหมือนน้ำโคลนสกปรกมีกลิ่นเหม็นมากเหมือนเป็นศูนย์รวมของสิ่งน่ารังเกียจทั้งหมด ปลายสุดของตรอกนี้มีช่องที่คล้ายกับตู้ มันเป็นโพรงที่เจาะลึกเข้าไปในผนังกำแพง และดิฉันพบว่าตัวเองถูกจับฝังไว้ในโพรงนั้น สิ่งที่ดิฉันเห็นนี้ยังนับว่าเบากว่าความรู้สึกที่เกิดจากการอยู่ในนรกมากนัก สิ่งที่ดิฉันเล่ามานี้ไม่ได้เกินความจริงเลย
 
“สำหรับความรู้สึกที่ดิฉันรับรู้ในทันทีนั้น ดิฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายอย่างไร มันอธิบายได้ยากมาก ดิฉันรู้สึกถึงไฟในวิญญาณของดิฉันแต่เป็นอย่างไรนั้นดิฉันก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน ความทุกข์ทรมานฝ่ายกายมันมากมายมหาศาลจนทนไม่ไหว ดิฉันไม่เคยได้รับความทุกข์ทรมานมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิตเลย ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหล่านี้เกิดขึ้นจากเจ้าซาตาน สิ่งเหล่านี้ยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่ดิฉันรับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่รู้ว่าความทุกข์ทรมานเหล่านี้ไม่มีวันจบสิ้นสำหรับผู้ที่อยู่ที่นั่น
 
“ความทุกข์ทรมานที่ดิฉันเห็นนี้เทียบไม่ได้กับความทุกข์ระทมในจิตวิญญาณของดิฉัน มันเป็นความรู้สึกของการกดขี่ข่มเหงและความเจ็บปวดเฉียบพลันพร้อมด้วยความสิ้นหวังและความโหดร้ายของการลงโทษ ซึ่งฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร ถ้าดิฉันบอกว่าวิญญาณถูกฉีกทึ้งดึงออกจากร่างกายอย่างต่อเนื่องก็ยังนับว่าเล็กน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับการที่ชีวิตถูกทำลายจนย่อยยับด้วยฝีมือของบุคคลอื่น 
 
แต่ที่นี่ เป็นวิญญาณเองที่ฉีกทึ้งตัวเองจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดิฉันไม่สามารถอธิบายถึงไฟที่อยู่ภายในหรือความสิ้นหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดทั้งหมด ดิฉันมองไม่เห็นว่าใครที่กำลังทรมานดิฉันอยู่ แต่ดิฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองอยู่บนไฟ และถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นั่นเป็นสิ่งที่ดิฉันรับรู้ และดิฉันกระทำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ไฟภายในและความสิ้นหวังนี้เป็นความทุกข์ทรมานที่ยิ่งใหญ่กว่าความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดทั้งหมด
 
“ดิฉันถูกทิ้งไว้ในสถานที่น่ากลัว ไม่มีความหวังใดๆเลยที่จะช่วยปลอบประโลมใจ ดิฉันไม่สามารถนั่งหรือนอนได้ มันไม่มีที่ว่าง ดิฉันถูกฝังอยู่ในโพรงของกำแพง และกำแพงนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนักเมื่อเห็นมัน มันโอบล้อมดิฉันไว้ทุกทิศทาง ดิฉันหายใจไม่ออก ที่นี่ไม่มีแสงสว่าง ทั้งหมดดำมืดหนาทึบ ดิฉันไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ถึงแม้จะไม่มีแสงสว่าง แต่ก็สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดได้
 
“ในเวลานั้นเอง พระเยซูเจ้าไม่ทรงให้ดิฉันเห็นนรกมากไปกว่านี้ ต่อมาดิฉันได้เห็นนิมิตอีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวมาก ดิฉันได้เห็นการลงโทษสำหรับบาปแต่ละชนิด การลงโทษเหล่านั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่เพราะดิฉันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของมัน ความกลัวของดิฉันจึงไม่มากมายนัก ในนิมิตครั้งแรก พระเยซูเจ้าทรงอนุญาตให้ดิฉันรู้สึกถึงความทรมานและความเจ็บปวดของวิญญาณอย่างที่เป็นจริง เหมือนกับว่าดิฉันได้รับความทุกข์ทรมานจากมันทางร่างกาย ดิฉันไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร แต่มันทำให้ดิฉันเข้าใจถึงพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ทรงให้ดิฉันเห็นด้วยสายตาของดิฉันเอง สถานที่ซึ่งพระเมตตารักของพระองค์ทรงช่วยดิฉันไว้ให้รอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ดิฉันเคยได้ยินคนพูดถึงความทุกข์ทรมานเหล่านี้ ทำให้ดิฉันครุ่นคิดถึงความทุกข์ทรมานในนรก แต่ไม่บ่อยนัก เพราะวิญญาณของดิฉันจะไม่ก้าวหน้าขึ้นโดยความกลัว ดิฉันเคยอ่านเรื่องความทรมานแบบต่างๆและวิธีที่ปีศาจฉีกเนื้อหนังด้วยคีมปากกาที่เป็นไฟร้อนแดง แต่ความรู้เหล่านั้นเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ดิฉันได้เห็น มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะสิ่งหนึ่งเป็นของจริง และอีกสิ่งหนึ่งเป็นเพียงคำบรรยาย ไฟของโลกขณะที่เรามีชีวิตนั้นเทียบไม่ได้เลยกับไฟที่อยู่ที่นี่
 
“ดิฉันหวาดกลัวเป็นอย่างมากในนิมิตที่ได้เห็น ความน่าสะพรึงกลัวของมันยังรู้สึกได้ในเวลาที่ดิฉันเขียนอยู่นี้ ถึงแม้ว่ามันจะล่วงเลยมานานถึงหกปีแล้วก็ตาม ร่างกายของดิฉันสั่นสะท้านด้วยความกลัวในตอนนี้เมื่อดิฉันคิดถึงมัน ความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดที่ดิฉันได้รับรู้ในนรก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความทุกข์ทรมานในโลกนี้ก็เป็นแต่ความว่างเปล่า และเราก็บ่นว่าโดยไร้เหตุผล ดิฉันคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า นิมิตของดิฉันเป็นพระเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าที่ทรงประทานแก่ดิฉัน และมันส่งผลต่อหน้าที่การปฏิบัติรับใช้ของดิฉัน เพราะมันทำลายความกลัวต่อความยากลำบากและความขัดแย้งต่างๆของโลกในจิตใจของดิฉัน มันทำให้ดิฉันมีพละกำลังเพียงพอที่จะอดทนต่อสิ่งเหล่านั้น ดิฉันขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยดิฉันให้รอดพ้นจากความน่าสะพรึงกลัวและความเจ็บปวดอันไม่มีที่สิ้นสุด
 
“ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาจนถึงเวลานี้ ทุกสิ่งดูเหมือนจะไม่ยากเย็นสำหรับดิฉันที่จะทนรับเมื่อเปรียบเทียบกับความทุกข์ทรมานเฉียบพลันที่ดิฉันประสบในนรก ดิฉันเต็มไปด้วยความกลัวเมื่อเห็นมัน ดิฉันไม่กลัวอีกต่อไปเมื่ออ่านหนังสือที่บรรยายเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานในนรก ดิฉันไม่เชื่อถือการบรรยายในหนังสือเพราะ ดิฉันได้ไปอยู่ที่ไหนหรือ? และดิฉันควรจะพอใจในสิ่งที่เตือนดิฉันให้ระลึกถึงสถานที่อันน่ากลัวนั้นหรือ? โอ พระเจ้าของลูก ลูกสรรเสริญพระองค์ตลอดไป โอ ความรักของพระองค์ต่อดิฉันช่างยิ่งใหญ่และมากมายยิ่งกว่าความรักของดิฉันที่มีต่อพระองค์ โอ พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงช่วยลูกให้พ้นจากคุกที่น่ากลัวนั้นมากมายบ่อยครั้งยิ่งนัก และดิฉันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อน้ำพระทัยของพระองค์ได้หรือ
 
“ภาพนิมิตทำให้จิตใจของดิฉันทุกข์ทรมานมาก มันเป็นภาพของวิญญาณจำนวนมากที่สูญเสียไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือบรรดาลูเทอรัน เพราะพวกเขาเคยเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรโดยศีลล้างบาป นิมิตนี้ยังทำให้ดิฉันบังเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะช่วยวิญญาณให้รอด ดิฉันเต็มใจยอมรับความตาย ถ้าหากจะสามารถช่วยเหลือแม้แต่เพียงวิญญาณเดียวให้รอดพ้นจากความทุกข์ทรมานเหล่านั้นได้ ถ้าแม้นในโลกนี้เราเห็นบุคคลที่เรารักได้รับความยากลำบากหรือความเจ็บปวด เป็นธรรมชาติของเราที่จะรู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนไปกับเขาด้วย และถ้าความเจ็บปวดและความทุกข์นั้นรุนแรงมาก เราก็จะรู้สึกทุกข์ร้อนมากตามไปด้วย และจะเป็นเช่นไรเล่า สำหรับความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดที่หนักยิ่งกว่าความทุกข์ทรมานทั้งปวง  ที่วิญญาณต้องได้รับตลอดไปชั่วนิรันดร? คงไม่มีหัวใจของใครที่จะสามารถทนนิ่งเฉยไม่ใยดีต่อความทุกข์อันยิ่งใหญ่นี้ได้ ในโลกนี้เรายังรู้ว่าสักวันหนึ่งความทุกข์ทั้งหมดจะสิ้นสุดลงเมื่อเราเสียชีวิตไป แต่ความทุกข์ทรมานในนรกไม่มีวันสิ้นสุดเลย แล้วเราจะนิ่งเฉยได้อย่างไรเมื่อเห็นซาตานนำวิญญาณจำนวนมากไปกับมันทุกวัน?
 
“เรื่องนี้ทำให้ดิฉันมีความปรารถนาอย่างมากที่จะช่วยเหลือวิญญาณ ดิฉันจะไม่พักผ่อนโดยไม่ได้ทำอะไรเท่าที่สามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือวิญญาณ ขอให้พระเยซูเจ้าโปรดประทานพระหรรษทานแก่เราเพื่อให้กระทำสิ่งนี้ด้วยเถิด”

                      นักบุญเทเรซาแห่งอาวิลา เป็นอาจารย์ของการสวดภาวนา เป็นนักปราชญ์ของพระศาสนจักร
**********************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น