วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กระแสเรียกของข้าพเจ้า

 

              เราแต่ละคน อาจไม่เคยรู้ ว่าเราได้รับพระคุณความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าโดยผ่านการสวดภาวนาของบุคคลที่เราไม่รู้จักเลย และเราเป็นหนี้บุญคุณของเขาเหล่านั้น. ตัวอย่างในเรื่องนี้คือเรื่องราวของพระสังฆราชคีทเลอร์( Bishop Ketteler ) แห่งพระศาสนจักรเยอรมันนีในศตวรรษที่ 19 ท่านเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมคาทอลิก และท่านเป็นหนี้บุญคุณนักบวชหญิงธรรมดาผู้หนึ่งซึ่งต่ำต้อยที่สุดและยากจนที่สุดในคอนแวนต์ของเธอ.
 
ปี 1896,พระสังฆราชคีทเลอร์ซึ่งอยู่ในสังฆมณฑล Mainz ได้ไปเยี่ยมเพื่อนพระสังฆราชอีกสังฆมณฑลหนึ่งตามคำเชิญ. ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน. เพื่อนพระสังฆราชก็ได้ขอให้ท่านคีทเลอร์เล่าเรื่องเกี่ยวกับกระแสเรียกการเป็นสงฆ์ของท่าน. ท่านคีทเลอร์เริ่มต้นเล่าว่า "ผมต้องขอบพระคุณพระเป็นเจ้าสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ,ผมประสพความสำเร็จได้ด้วยพระคุณความช่วยเหลือของพระองค์ โดยอาศัยการสวดภาวนาและการพลีกรรมเสียสละของบางคนซึ่งผมไม่รู้จัก. ผมบอกได้แต่เพียงว่า ผมรู้ว่ามีใครบางคนที่ได้อุทิศชีวิตของเขาต่อพระเป็นเจ้าเพื่อช่วยเหลือผม. และด้วยการเสียสละนี้แหละที่ทำให้ผมได้เป็นพระสงฆ์"
 
"แรกเริ่มเดิมที, ผมไม่มีแผนการที่จะเป็นพระสงฆ์เลย. เมื่อผมสำเร็จปริญญาด้านกฎหมายมาหมาดๆและตั้งใจที่จะแสวงหาที่ใดที่หนึ่งในโลกเพื่อเริ่มต้นทำงานเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงและความร่ำรวย. แต่แล้วก็มีเหตุการณ์พิเศษสุดเกิดขึ้นกับผมที่ทำให้ชีวิตของผมหักเหจากความตั้งใจเดิมมาสู่เส้นทางที่แตกต่างออกไป"
"ตอนเย็นวันหนึ่ง, ผมอยู่เพียงลำพังในห้องส่วนตัวของผม. ผมกำลังครุ่นคิดถึงแผนการในการหาชื่อเสียงและโชคลาภ. เหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถอธิบายได้. ตอนนั้นผมกำลังหลับหรือตื่นอยู่? ผมได้เห็นจริงๆหรือเป็นเพียงความฝัน? ผมไม่รู้. แต่มันได้เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงชีวิตของผม. ผมเห็นพระเยซูเจ้าอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงประทับยืนอยู่ในระดับที่สูงเหนือผมท่ามกลางกลุ่มเมฆที่ส่องแสงเจิดจรัส. พระองค์ทรงแสดงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์แก่ผม. มีนางชีผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าเบื้องพระพักตร์ เธอยกแขนในท่ากำลังสวดภาวนา. จากพระโอษฐ์ของพระองค์ผมได้ยินพระดำรัสว่า "เธอได้สวดภาวนาวิงวอนไม่หยุดหย่อนเพื่อท่าน"
 
"ผมมองเห็นนางชีผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ลักษณะของเธอเป็นที่ประทับใจผมจนทำให้ผมสามารถจดจำได้จนทุกวันนี้. เธอดูเหมือนจะเป็นเพียงซิสเตอร์ธรรมดาคนหนึ่ง. เสื้อผ้าของเธอดูหยาบและไม่สดใส. มือของเธอแดงและหยาบกร้านจากการทำงาน. ไม่ว่ามันจะเป็นความฝันหรือไม่ก็ตาม. มันเป็นเรื่องพิเศษสุด. มันสะเทือนถึงก้นบึ้งจิตใจของผม ตั้งแต่เวลานั้นเอง ผมตัดสินใจที่จะอุทิศชีวิตของผมรับใช้พระเป็นเจ้าโดยการเป็นพระสงฆ์"
 
"ผมได้เข้าโบสถ์เพื่อฟื้นฟูจิตใจและผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างแก่พระสงฆ์ผู้ฟังสารภาพบาปของผม. เมื่ออายุได้ 30 ปี ผมก็เข้าศึกษาเทววิทยา. เรื่องราวต่อจากนั้นคุณก็คงทราบอยู่แล้ว. ดังนั้นถ้าคุณคิดว่าผมได้ทำสิ่งใดที่น่าชื่นชมสรรเสริญ, คุณก็คงรู้แล้วว่าเป็นใครที่ควรได้รับคำสรรเสริญนั้น - ซิสเตอร์ผู้นั้นซึ่งได้สวดภาวนาเพื่อผมนั้นแหละ. เธอเองอาจไม่รู้จักผมด้วยซ้ำไป ผมเชื่อเช่นนั้น. ผมได้รับการสวดภาวนาอุทิศให้และยังคงได้รับต่อไปอย่างลับๆ และถ้าปราศจากคำภาวนาเหล่านี้ผมจะไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่พระเป็นเจ้าทรงมีต่อผม"
 
เพื่อนพระสังฆราชรู้สึกประทับใจต่อเรื่องนี้มาก ท่านถามท่านคีทเลอร์ "คุณพอจะเดาได้ไหมจากภาพนิมิตนั้นว่า ซิสเตอร์คนนั้นน่าจะอยู่คณะไหนหรือมีอะไรบ่งบอกบ้าง?"
 
"ไม่มีเลย, ผมได้แต่วอนขอพระเป็นเจ้าให้ทรงอวยพรและตอบแทนเธอเป็นร้อยเท่าพันทวี, ถ้าเธอยังอยู่บนโลกนี้, ในสิ่งที่เธอได้ทำเพื่อผม"
 
ซิสเตอร์ในโรงเลี้ยงสัตว์
 
วันต่อมา ตอนเช้ารุ่งท่านคีทเลอร์ได้ไปเยี่ยมคอนแวนต์ของนักบวชหญิงแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวเมืองและได้ประกอบพิธีมิสซาในโบสถ์น้อยของอาราม. ท่านได้แจกแผ่นศีลให้แก่ซิสเตอร์ทุกคน เมื่อมาถึงแถวสุดท้าย,ทันใดสายตาของท่านก็จับจ้องอยู่ที่ซิสเตอร์คนหนึ่งที่อยู่ในแถว. สีหน้าของท่านซีดเผือด,ท่านตะลึงและยีนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง. เมื่อรู้สึกตัวท่านก็ส่งศีลให้แก่ซิสเตอร์ผู้นั้นซึ่งกำลังคุกเข่าโดยไม่รู้ถึงสิ่งที่เป็นไปกับพระสังฆราชเลย. ท่านได้ทำพิธีต่อไปจนเสร็จ.
 
พระสังฆราชซึ่งเป็นผู้เชิญท่านเมื่อวันก่อนได้มาที่คอนแวนต์เพื่อร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วย. เมื่อรับประทานเสร็จเรียบร้อย,ท่านคีทเลอร์ได้ขอร้องคุณแม่อธิการให้นำซิสเตอร์ทุกคนในคณะมาแนะนำให้ท่านรู้จัก. คุณแม่อธิการได้เรียกซิสเตอร์ทุกคนมาที่ห้อง. แล้วพระสังฆราชทั้งสองก็ออกไปพบพวกเขา. ท่านคีทเลอร์ทักทายกับทุกคนแต่ดูเหมือนท่านจะไม่พบบุคคลที่ท่านกำลังหาอยู่.
 
ท่านกระซิบถามคุณแม่อธิการ "ซิสเตอร์ทั้งหมดมาอยู่ที่นี่แล้วหรือครับ?"
 
คุณแม่มองดูกลุ่มของซิสเตอร์อย่างพิจารณาแล้วตอบว่า "พระคุณเจ้า, ดิฉันได้เรียกทุกคนให้มาที่นี่แล้ว. แต่ยังมีอยู่อีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้มาค่ะ"
 
"ทำไมเธอถึงไม่มาล่ะ?"
 
"เธอทำงานอยู่ในโรงเลี้ยงสัตว์ค่ะ" คุณแม่ตอบ "และเพราะความตั้งใจอันน่าสรรเสริญของเธอ ในเวลาที่เธอทำงานเธอจะลืมเรื่องอื่นๆไปเลยละค่ะ"
 
"ผมอยากจะเห็นซิสเตอร์คนนั้นครับคุณแม่อธิการ" ท่านสังฆราชขอร้อง
 
ต่อมาไม่นาน,ซิสเตอร์ที่ถูกกล่าวถึงก็เหยียบย่างเข้ามาในห้อง. ใบหน้าของท่านสังฆราชคีทเลอร์ซีดเผือดไปอีกครั้ง. และหลังจากที่ท่านพูดจากับซิสเตอร์ทั้งหมดเล็กน้อย,ท่านก็ขออนุญาตให้ท่านอยู่กับซิสเตอร์ที่เพิ่งเข้ามาแต่เพียงลำพัง.
 
"ซิสเตอร์รู้จักพ่อไหม?" ท่านคีทเลอร์สอบถาม
 
"ดิฉันไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลยค่ะ, พระคุณเจ้า" ซิสเตอร์ผู้นั้นตอบ
 
"แล้วซิสเตอร์เคยสวดภาวนาเพื่อพ่อหรือถวายกิจการงานที่ดีของซิสเตอร์เพื่อพ่อบ้างไหม?"
 
"ดิฉันนึกไม่ออกว่าเคยรู้จักพระคุณเจ้าหรือได้ยินเรื่องของท่านมาก่อนเลยค่ะ"
 
ท่านสังฆราชนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วถามว่า "ซิสเตอร์มีความศรัทธาอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า?"
 
"ดิฉันมีความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าค่ะ" ซิสเตอร์ตอบ
 
"เป็นเช่นนั้นหรือ, ดูเหมือนซิสเตอร์จะได้รับงานหนักที่สุดในคอนแวนต์แห่งนี้นะ ?"
 
"โอ ไม่หรอกค่ะ, พระคุณเจ้า" ซิสเตอร์แย้ง, "แต่ดิฉันพูดโกหกไม่ได้, มันเป็นงานที่ไม่ค่อยน่าพอใจนักสำหรับดิฉันค่ะ"
 
"แล้วซิสเตอร์ทำอย่างไรเมื่อถูกประจญจากการทำงานเหล่านี้?"
 
"สิ่งเหล่านี้มีคุณค่าเป็นอย่างมากสำหรับดิฉัน, ดิฉันพยายามเผชิญหน้ากับมันด้วยความยินดีและกระตือรีอร้นเพื่อความรักต่อพระเป็นเจ้า และดิฉันจะมอบถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระเป็นเจ้าสำหรับวิญญาณผู้ใดผู้หนึ่งบนโลกนี้. ซึ่งพระองค์จะทรงเลือกเพื่อประทานพระเมตตาของพระองค์. ดิฉันมอบทุกสิ่งให้ขึ้นต่อพระองค์และไม่ต้องการที่จะรู้ว่าพระองค์ทรงทำอะไร. ดิฉันยังมอบถวายการเฝ้าศีลมหาสนิททุกเย็นตอน 20.00 - 21.00 เพื่อความตั้งใจนี้ด้วยค่ะ" ซิสเตอร์อธิบาย
 
"ซิสเตอร์ได้ความคิดการมอบกิจการดีแก่ผู้ที่ซิสเตอร์ไม่รู้จักมาจากใครหรือ?"
 
"ดิฉันเรียนรู้เรื่องนี้ในตอนที่ยังไม่ได้บวชจากคุณครูที่โรงเรียนค่ะ" ซิสเตอร์ตอบ. "และจากคุณพ่อเจ้าอาวาสด้วย. ท่านได้สอนดิฉํนในการสวดภาวนาและมอบกิจการดีของเราแก่ญาติพี่น้อง. และนอกเหนือจากนั้น, คุณพ่อเจ้าอาวาสยังสอนว่าเราควรสวดภาวนาให้มากสำหรับผู้ที่อยู่ในอันตรายที่จะสูญเสียไป. เพราะมีเพียงพระเป็นเจ้าเท่านั้นที่ทราบว่าใครบ้างที่ต้องการคำภาวนา. เป็นการดีที่เราจะมอบถวายกิจการดีของเราต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าและไว้วางใจในพระปรีชาญาณและพระสรรพานุภาพของพระองค์. สิ่งเหล่านี้แหละค่ะทิ่ดิฉันกระทำ" ซิสเตอร์เล่าต่อ "และดิฉันเชื่อเสมอว่าพระเป็นเจ้าจะทรงพบวิญญาณที่เหมาะสม"
 
วันเกิดและวันแห่งการกลับใจ
 
"ซิสเตอร์อายุเท่าไรแล้ว?" ท่านคีทเลอร์สอบถาม
 
"33 ปีค่ะ, พระคุณเจ้า"
 
ท่านสังฆราชชะงักชั่วครู่. แล้วถามว่า "แล้วซิสเตอร์เกิดเมื่อไร?" ซิสเตอร์บอกวันเกิดของเธอ. ท่านสังฆราชมีใบหน้าแสดงความประหลาดใจ. วันเกิดของเธอตรงกับวันที่ท่านกลับใจ ! ท่านเพ่งมองเธอและถาม "ซิสเตอร์ไม่อยากรู้หรือว่าคำภาวนาและการเสียสละต่างๆนั้นจะประสพความสำเร็จหรือไม่?"
 
"ไม่หรอกค่ะ, พระคุณเจ้า"
 
"ซิสเตอร์ไม่ต้องการรู้หรอกหรือ?"
 
"พระเป็นเจ้าทรงทราบดีค่ะเมื่อมีสิ่งดีเกิดขึ้น และนั่นก็เพียงพอแล้ว" เป็นคำตอบซึ่อๆ
 
จิตใจของพระสังฆราชหวั่นไหวด้วยความสะเทือนใจ. ท่านกล่าวกับซิสเตอร์ต่อไปว่า "ดังนั้นขอให้ลูกทำงานนี้ต่อไปเถิดในพระนามของพระเป็นเจ้าของเรา" ท่านพูด. ในทันที,ซิสเตอร์คุกเข่าลงและขอให้ท่านอวยพรให้. ความรู้สึกประทับใจ,สะเทือนใจประดังในจิตใจของพระสังฆราช, ท่านยกมือขึ้นอย่างช้าๆและกล่าวอวยพรด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ. "ด้วยอำนาจในตำแหน่งพระสังฆราชของเรา, เราขออวยพรลูก. เราอวยพรมือของลูกและการงานทั้งหลายจากมือของลูก เราอวยพรการสวดภาวนาและการอุทิศตนของลูก, ความเสียสละและความเชื่อฟังของลูก. เราขออวยพรเป็นพิเศษสำหรับชั่วโมงสุดท้ายแห่งชีวิตของลูกและขอพระเป็นเจ้าโปรดช่วยเหลือลูกด้วยความบรรเทาทุกประการของพระองค์"
 
"อาแมน" ซิสเตอร์ตอบรับอย่างสงบ, แล้วลุกขึ้นยืนคำนับและเดินจากไป
 
บทเรียนสำหรับชีวิต
 
พระสังฆราชคีทเลอร์สะเทือนใจมาก. ท่านเดินไปที่หน้าต่าง,มองออกไปข้างนอกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์นี้. เวลาผ่านไป,ท่านไปกล่าวอำลาคุณแม่อธิการและกลับไปยังสำนักพระสังฆราชของเพื่อนของท่าน. ท่านได้เปิดเผยความในใจแก่สหายพระสังฆราชว่า "เวลานี้ ผมได้พบกับผู้ที่ผมต้องขอบคุณเขาแล้วสำหรับกระแสเรียกของผม. เขาคือซิสเตอร์ที่ต่ำต้อยที่สุด,ยากจนที่สุดในคอนแวนท์นั้น. ผมไม่สามารถขอบพระคุณพระเป็นเจ้าได้อย่างสาสมสำหรับพระเมตตาของพระองค์ เพราะซิสเตอร์ผุ้นี้ได้สวดภาวนาสำหรับผมนานเกือบ 20 ปี. ในวันที่เธอได้เห็นแสงสว่างของโลกเป็นครั้งแรก. พระเป็นเจ้าก็ทรงรับคำภาวนาของเธอแล้วเป็นการล่วงหน้าเพื่อทำให้ผมกลับใจ"
 
"เรื่องนี้ให้บทเรียนและเตือนใจผม! ควรหรือที่ผมจะภูมิใจอย่างไร้สาระกับความสำเร็จมากมายหรือกิจการดีทั้งหลายแหล่. อย่างไรก็ตาม,ผมก็มั่นใจและบรรเทาใจในความจริงอันหนึ่ง - ผมต้องขอบคุณคำภาวนาและการพลีกรรมของผู้รับใช้ที่ยากจนที่ทำงานในคอกสัตว์ของคอนแวนท์นั้น. และเมื่อใดก็ตามที่ผมเห็นสิ่งใดที่ดูต่ำต้อยและมีคุณค่าเพียงเล็กน้อยในสายตาของผม. ผมจะระลึกถึงความจริงนี้ - สิ่งที่ผู้รับใช้ที่ต่ำต้อยกระทำด้วยความถ่อมตนและเชื่อฟังพระเป็นเจ้า โดยเสียสละและเอาชนะใจตนเอง. สิ่งนั้นมีคุณค่ายิ่งนักเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้าของเรา กิจการดีของเธอนี่แหละที่ได้ทำให้เกิดพระสังฆราชองค์หนึ่ง ขึ้นในพระศาสนจักร"

*******************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น