วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

กระแสเรียก- จากไม่มีความเชื่อมาเป็นแม่ชี


คำแปล
ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าพระเจ้าจะทรงเรียกฉันให้มาสู่ชีวิตนักบวช
ฉันไม่รู้จักใครที่เคยถูกเรียกให้มาเป็นนักบวชมาก่อน
ฉันไม่ได้ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาในความเชื่อคาทอลิกหรือความเชื่อใดๆ
ฉันเติบโตโดยไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร
ด้วยเหตุนี้ชีวิตของฉันจึงยากลำบาก
แต่แล้วชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไปเมื่อฉันอยู่ชั้นปีที่สองในไฮสคูล
ทุกๆวันในขณะที่เรียนในชั้นปีที่หนึ่งและชั้นปีที่สอง ฉันจะไปที่ห้องสมุดเพื่อศึกษาค้นคว้า
ทุกๆวัน ในเวลาพักกลางวันฉันจะไปที่ห้องสมุด
แต่ในวันที่ 20 เมษายน 1999 ขณะที่ฉันกำลังนั่งในห้องเรียนศิลปะก่อนถึงเวลาพักกลางวัน
ในทันทีทันใด ฉันก็เกิดความรู้สึกว่ามีบางสิ่งกระตุ้นให้ออกไปจากโรงเรียน
ในหัวของฉันมีแต่ความคิดซ้ำๆว่า ฉันต้องไม่อยู่ที่นี่
ไม่มีทางที่ใครจะรั้งให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อไปได้
ฉันรู้สึกถูกกระตุ้นให้ออกไปจากโรงเรียน
ในที่สุดฉันก็วิ่งไปหาเพื่อนของฉัน รีเบกกา ที่ยืนอยู่หน้าห้องสมุด และฉันบอกเธอให้ออกไปจากโรงเรียนพร้อมกับฉัน
เธอพยายามพูดชวนให้ฉันอยู่และศึกษาต่อเพื่อเตรียมการสอบที่จะมาถึง
แต่ฉันก็พูดชวนเธอให้ออกไปจากโรงเรียนด้วยกัน
ดังนั้น เราทั้งสองจึงออกไปจากโรงเรียน เรานั่งไปในรถของฉัน
และขณะที่ฉันกำลังขับรถออกจากโรงเรียน ฉันมองไปที่กระจกมองหลัง
ฉันเห็นคนนับร้อยคนในโรงเรียนกำลังวิ่งหนีออกจากโรงเรียน
ในไม่ช้า ฉันก็รู้ว่าเกิดการยิงในโรงเรียนของฉัน โรงเรียนโคลัมบายน์
เด็กชายสองคนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉันใช้ปืนกราดยิงนักเรียน และได้ฆ่านักเรียนไป 12 คน ครู 1 คน มีคนบาดเจ็บ 23 คนก่อนที่พวกเขาจะใช้ปืนยิงตัวตาย
และฉันมารู้ว่า การยิงส่วนใหญ่เกิดในห้องสมุด ที่ซึ่งฉันจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นทุกวัน ยกเว้นวันนั้น
ฉันสงสัยว่าอะไรที่กระตุ้นให้ฉันออกจากโรงเรียนในวันนั้น
ฉันจะไปที่ห้องสมุดเสมอ แต่ทำไมถึงเป็นวันนั้น?
แล้วฉันก็นึกถึงคำพูดของบางคนที่บอกฉันว่า พระเจ้าต้องมีแผนการณ์สำหรับชีวิตของคุณ
ฉันจึงตระหนักว่า พระเจ้ามีอยู่จริง
ฉันตระหนักว่า พระองค์ทรงมีแผนการณ์ แต่ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าคือใคร?
ไม่เคยมีใครที่บอกให้ฉันรู้ว่า พวกเรามีพระเจ้าผู้ทรงความรักยิ่งใหญ่
ดังนั้น ฉันจึงรู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันที่โรงเรียน และฉันก็ต้องการคำตอบ
ต่อมาฉันได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของเด็กหญิงกลุ่มหนึ่ง และเราก็มีงานปาร์ตี้ด้วยกัน
เราเริ่มดื่ม (สุรา) และฉันก็คิดว่า ถ้าเพียงแต่ฉันมีความสัมพันธุ์กับพวกเขา ฉันก็จะมีความสุข
แต่ทุกสิ่งที่ฉันพยายามเติมเต็มชีวิตของฉัน มันให้แต่ความว่างเปล่า และฉันมีแต่ความต้องการเพิ่มขึ้นทุกที
หลังจากเหตุการณ์นั้น ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ในปีสุดท้ายของการเรียน ฉันก็ถึงจุดแตกหัก
ชีวิตทั้งหมดของฉันแตกสลาย สิ่งต่างๆดูยากลำบากทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียน
ฉันรู้สึกสูญเสียความหวังทั้งหมดและตกอยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก
อย่างไรก็ดี ในท่ามกลางสภาพเช่นนั้น ก็มีเพื่อนคนหนึ่งชวนฉันให้ไปโบสถ์คาทอลิก
ขณะที่เดินเข้าไปในโบสถ์ ฉันได้พบกับแม่ชีสาวท่านหนึ่ง
ท่านดูผ่องใส มีชีวิตชีวา จนฉันพูดได้ว่าท่านมีบางอย่างในชีวิตที่ฉันไม่มี
ท่านพาฉันไปดื่มกาแฟที่ข้างนอกและพูดกับฉันเกี่ยวกับพระเจ้าและบอกว่าพระองค์ทรงรักฉันมาก
ฉันเริ่มตระหนักว่า ชีวิตของฉันทั้งหมดคือความปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้าและความรักของพระองค์
และพระองค์เท่านั้นที่จะเติมเต็มชีวิตของฉันได้
ฉันคิดว่า นักบุญออกัสตินพูดได้ถูกต้องที่สุด เมื่อท่านกล่าวว่า
หัวใจของเราจะไม่มีวันสงบสุข จนกว่าเราจะได้พักอยู่ในพระเจ้า
ในที่สุด ฉันก็ปรารถนาที่จะมอบชีวิตของฉันให้กับพระคริสต์
ฉันได้ไปพบกับพระสงฆ์อีกท่านหนึ่งและบอกกับท่านถึงความปรารถนาของฉัน
ท่านได้แนะนำให้ฉันไปที่มหาวิทยาลัยฟรังซิสกันแห่งสติวเบนวิลล์ ที่ซึ่งฉันจะได้เข้ามาอยู่ในความเชื่อคาทอลิก
ดังนั้นที่นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นคาทอลิกของฉัน ฉันได้รับศีลล้างบาป รับศีลกำลัง และรับศีลมหาสนิทครั้งแรก ฉันไม่เคยได้รับประสบการณ์ที่มีความสุขและสันติเช่นนี้มาก่อนเลย
บัดนี้ฉันได้พบบ้านแล้วและฉันตื่นเต้นกับชีวิตใหม่นี้มากที่พระเจ้าทรงเรียกฉัน
มีเรื่องหนึ่งที่ให้แรงบันดาลใจแก่ฉันมากก็คือ มีบางคนในโรงเรียนของฉันที่ถูกเรียกให้มาเชื่อในพระเจ้าก่อนที่ชีวิตของเขาจะจบสิ้นลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องราวของ ราเชล จอย สก๊อต
ราเชล รู้จักเด็กชายสองคนที่กราดปืนยิงนักเรียนเป็นอย่างดี และเธอก็ถูกยิงด้วย
เด็กชายที่ยิงถามเธอว่า เธอยังเชื่อในพระเจ้าไหม? และเธอตอบว่า “ใช่ ฉันเชื่อ”
แล้วเด็กชายคนนั้นก็กราดยิงเธอต่อไป และพูดว่า “ถ้างั้นก็ไปอยู่กับพระองค์เถอะ”
ฉันรู้สึกประหลาดใจมากว่า เด็กหญิงอายุ 17 ปีจากโรงเรียนของฉันช่างมีความเชื่อมั่นคงยิ่งนัก
เธอเต็มใจที่จะตอบว่า “ใช่” และตายเพื่อพระคริสต์
ฉันคิดว่า ฉันยังไม่มีความเชื่อเช่นนี้เลย ถ้าเป็นฉันอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ฉันคงตอบในสิ่งที่เป็นความต้องการของเขา
และพระเจ้าคงจะทรงทราบดี ฉันจึงได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้
เพื่อที่ฉันจะได้เป็นเหมือนเด็กหญิงคนนั้นที่ตอบ “ใช่” และตายเพื่อพระคริสต์
ฉันสามารถตอบ “ใช่” และมีชีวิตเพื่อพระองค์
เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ฉันที่จะตอบรับ “ได้ค่ะ” ต่อพระเจ้าสำหรับแผนการณ์ของพระองค์
และเมื่อฉันตอบรับต่อพระองค์ ฉันรู้สึกประหลาดใจมากถึงวิธีที่พระองค์ทรงนำทางฉัน
ในฤดูร้อนปี 2008 ฉันมีประสบการณ์ของการเรียกให้มามีชีวิตนักบวช
ฉันได้ไปร่วมพิธีมิสซาที่อาสนวิหารนักบุญเปาโล ที่มินิโซต้า ฉันสวดภาวนาว่า พระเจ้าข้า โปรดช่วยลูกให้ร่วมพิธีมิสซาในแบบที่ลูกไม่เคยประสบมาก่อน
และตลอดพิธีมิสซา เหมือนกับพระเจ้าทรงมาอยู่ในวิญญาณของฉันอย่างเปี่ยมล้นด้วยพระหรรษทานของพระองค์ ในตอนหนึ่งฉันเงยหน้ามองขึ้นไป เหมือนกับพระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อหน้าฉัน เพื่อที่ฉันจะรักพระองค์ด้วยหัวใจทั้งหมด และเพื่อช่วยผู้อื่นให้มีประสบการณ์ความรักของพระองค์
ในเวลานั้นเอง ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป
ฉันปรารถนาแต่จะมีชีวิตนักบวช ฉันใช้เวลาในการพิจารณาไตร่ตรองว่าพระเจ้าทรงเรียกให้ฉันไปที่ไหน และฉันรู้สึกว่าพระองค์ประสงค์ให้ฉันอยู่ในคณะฟรังซิสกัน คาริสมาติก คอนเทมพลาทิฟและเป็นมิชชันนารี
ฉันรู้สึกว่า พระเจ้าทรงเรียกฉันให้เป็นศิษย์ของพระเยซูคริสตเจ้า
และดังนั้น ฉันจึงมาอยู่ในคณะนี้และฉันมีสันติสุขมาก ฉันรู้สึกว่าได้มาอยู่บ้านและฉันรู้สึกพอใจมากที่พระเจ้าทรงเรียกฉัน ทำให้ฉันตอบสนองพระหรรษทานของพระองค์
ฉันจึงขอบอกกับคุณว่า จงอย่ากลัวที่จะเปิดใจของคุณให้กับแผนการณ์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของคุณ
ฉันชอบบทสดุดีที่ 37: 4 มาก ที่บอกว่า “จงชื่นชมยินดีในพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงประทานแก่ท่านในสิ่งที่ท่านปรารถนา”
พระเจ้าทรงมีแผนการอันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของเรา แต่ เราต้องตอบรับพระองค์และพยายามค้นหาด้วยสิ้นสุดหัวใจถึงแผนการณ์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา


*************************************************

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น