วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567

ชีวิตเหนือธรรมชาติของทูตสวรรค์

 
 
“หากเหล่าทูตสวรรค์สามารถอิจฉาได้ พวกเขาจะอิจฉาเราในสองสิ่ง สิ่งแรกคือการที่เราสามารถรับศีลมหาสนิท และอีกสิ่งคือการที่เราสามารถทนทุกข์ได้” 
- นักบุญมาเรีย โฟสตินา โควาสกา
 

ผลงาน Summa theologiae, De substantiis separatis ของนักบุญโทมัส อไควนัสและผลงานอื่นๆ เจาะลึกคำถามมากมายเกี่ยวกับชีวิตของทูตสวรรค์, การรับรู้, การเลือก ฯลฯ ซึ่งเป็นคำถามที่พวกเราส่วนใหญ่ไม่คิดจะถาม
 
ตามความคิดของนักบุญโทมัส อไควนัส,ท่านทำให้ผู้อ่านได้รู้ว่าชีวิตเหนือธรรมชาติของทูตสวรรค์อาจเป็นเช่นไร เช่น การรับรู้โดยสัญชาตญาณในทันที, การเคลื่อนที่ในระยะไกลได้ในทันที เป็นต้น
 
ดูเหมือนว่าทูตสวรรค์มีธรรมชาติที่เหนือกว่ามนุษย์อย่างแน่นอน พวกเขาครอบครองสวรรค์โดยไม่ต้องผ่านความยากลำบากเหมือนที่มนุษย์จะต้องเผชิญ และพวกเราหลายคนก็อยากจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ แต่สำหรับในตอนนี้,เราเริ่มไม่แน่ใจนัก
 
นักบุญโฟสตินา,ในการเปิดเผยจากพระเยซูเจ้า,เธอบอกกับเราว่าถ้าทูตสวรรค์สามารถอิจฉาได้ พวกเขาจะอิจฉามนุษย์ที่สามารถทนทุกข์ได้ นักบุญมารีย์ มักดาลา เดอ ปัสซีก็ได้รู้จากพระเจ้า,พระบิดาว่าด้วยการทนทุกข์,มนุษย์สามารถบรรลุถึงความรู้ความเข้าใจในแก่นแท้ของความศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ได้มากกว่าทูตสวรรค์ที่ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อดำรงตนให้อยู่ในพระหรรษทาน บุญราศีไดนา เบเลนเจอร์(Blessed Dina Belanger)ยังกล่าวอีกว่า เหล่าทูตสวรรค์,หากพวกเขาสามารถปรารถนาสิ่งใดเป็นพิเศษได้, ก็จะปรารถนาที่จะทนทุกข์
 
ปราศจากร่างกาย, ทูตสวรรค์จะรับรู้เกี่ยวกับความทุกข์ได้อย่างไร? โดยเฉพาะเรื่องความทุกข์ในระดับต่างๆที่เรายกให้เป็นระดับ 1-10 ล่ะ? หรือความเจ็บปวด,การกรีดร้องที่เรายกให้เป็นระดับ 11 ขึ้นไป?
 
แน่นอน,เรารู้ว่าบรรดาทูตสวรรค์ที่ตกต่ำลงสู่บาปต้องทนทุกข์ทรมานมาก ในพระวรสาร,พระเยซูทรงขับไล่ปีศาจออกจากคนที่มันสิง,มีปีศาจที่ดุร้ายหลายตน พวกปีศาจอ้อนวอนพระเยซูไม่ให้โยนพวกมันลงสู่ “ขุมลึกของนรก” แต่ขอให้ส่งพวกมันเข้าไปสิงในฝูงสุกรแทน (มธ. 8:32, มก. 5:12, ลก. 8:32) บางทีความทุกข์ทรมานที่พวกปีศาจพยายามหลีกเลี่ยงอาจใหญ่และหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าความทุกข์ทางกายของมนุษย์ด้วยซ้ำ
 
ในการตัดสินใจเลือกครั้งแรกของทูตสวรรค์หลังจากการเนรมิตสร้างของพระเจ้า, เหล่าทูตสวรรค์ดูเหมือนจะไม่เคยมีประสบการณ์แห่งความทุกข์ทรมานมาก่อน ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับอาดัมและเอวาผู้บริสุทธิ์และไม่เคยมีประสบการณ์แห่งความชั่วร้าย พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับการเลือกและรับส่วนจาก “ต้นไม้แห่งความรู้ดีและรู้ชั่ว”
 
แต่ลองคิดดูสิว่า,มัน “ง่าย” สักเพียงใด (ในความคิดของเรา) ที่เหล่าทูตสวรรค์จะได้รับความรอด เข้าสู่ความสุขชั่วนิรันดร์ – มีสติปัญญาที่บริสุทธิ์, ไม่มีความทุกข์, ไม่มีความสงสัยเกี่ยวกับการดำรงอยู่และความดีของพระเจ้า ไม่มีอิทธิพลที่เลวทรามจากทูตสวรรค์ที่ไม่ดี
 
สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการตัดสินใจเลือกอย่างง่ายๆ – (อาจมีความกระตือรือร้นสักหน่อย หรือมีการใช้เหตุผลอย่างใจเย็น) - พวกเขาไม่ต้องเดินทางผ่านการประจญล่อลวงอย่างยากลำบาก ไม่มีความท้อถอยจากผลของการเลือกที่ผิด ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อแก้ไขปรับปรุงตนเอง ไม่มีขึ้นๆ ลงๆเหมือนกับมนุษย์
 
ในทางกลับกัน มนุษย์จำนวนมากรู้สึกถึงความไม่แน่ใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะได้รับความรอดหรือไม่ พร้อมด้วยความเป็นไปได้ที่มีอยู่ตลอดเวลาว่าในนาทีสุดท้ายเขาอาจจะทำบาปหนัก และถูกเรียกไปสู่การพิพากษารับโทษชั่วนิรันดร์ในขณะนั้น
 
เป็นการยากที่จะเข้าใจว่าทำไม,ด้วยข้อได้เปรียบทั้งหมดนี้, ทูตสวรรค์บางองค์ - (ตามธรรมประเพณีบอกว่ามีจำนวนหนึ่งในสามของทูตสวรรค์ทั้งหมด )- จึงล้มลงและกลายเป็นผู้ถูกจำจองของนรก นักบุญออกัสตินคิดว่าเป็นเพราะความเย่อหยิ่ง, ซึ่งเป็นสิ่งล่อลวงทูตสวรรค์เหล่านั้นที่มีแรงดึงดูดและพลังสูงกว่าการมี "ความสวยงามตามธรรมชาติ" ของพวกเขา ปิตาจารย์บางคนบอกว่าเป็นเพราะพระเจ้าทรงเปิดเผยความลึกลับของการจุติเป็นมนุษย์ขององค์พระบุตรแก่พวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะยอมรับด้วยสิ้นสุดจิตใจ และทูตสวรรค์ซึ่งขณะนั้นยังเป็นวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมากไม่สามารถยอมรับการอยู่ใต้บังคับบัญชาของพระเจ้า-มนุษย์ของโลกในอนาคตได้
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง,ทูตสวรรค์ที่มีตำแหน่งสูงสุดในสวรรค์,ลูซีเฟอร์,ซึ่งต่อมากลายเป็นซาตาน,ทูตสวรรค์ผู้ได้รับการประสาทพรอย่างสูงสุด และการที่พระเจ้ายืนกรานว่าเขาจะต้องเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของพระบุตรของพระองค์ ซึ่งดูเหมือนซาตานจะคิดว่าตัวมันมีความเท่าเทียมกับพระบุตร,แต่ไม่ได้เหนือกว่า นักบุญโทมัส อไควนัส คิดว่าไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดเกี่ยวกับการล่มสลายของทูตสวรรค์ที่ไม่ดีเหล่านั้น เนื่องจากวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มีความอยากที่ไม่ดี และไม่สามารถถูกล่อลวงด้วยจินตนาการหรือนิสัย ฯลฯ ในความสามารถทางสติปัญญาของพวกเขา
 
อย่างไรก็ตาม, นักบุญโทมัส ชี้ให้เห็นถึงสภาพเริ่มต้นของเหล่าทูตสวรรค์ (Summa theologiae, I, q. 62, a. 1, c.) พระเจ้าทรงเสนอแก่พวกเขาที่จะยกระดับตนเองขึ้นสู่สภาวะที่สูงกว่าความสมบูรณ์แบบตามธรรมชาติที่พวกเขาเป็นอยู่ในขณะนั้น,โดยอาศัยพระหรรษทานพิเศษของพระองค์ จึงพอสันนิษฐานได้ว่าการที่ต้องรับใช้มนุษย์-พระเจ้านี้จะเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับทูตสวรรค์จำนวนมาก (โดยความคิดที่ว่าแทนที่จะมีธรรมชาติสูงขึ้น,กลับต่ำลงกว่าเดิม) เพราะความภูมิใจในพลังอำนาจและความสวยงามของตนเอง และพวกเขาไม่เต็มใจที่จะถูกยกขึ้นสู่สถานะ "พระหรรษทาน" ที่สูงขึ้นซึ่งพวกเขายังไม่รู้จัก
 
ไม่ว่าในกรณีใด, บาปของทูตสวรรค์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คล้ายกับบาปของมนุษย์ นั่นคือการเลือกตนเองมากกว่าเลือกพระเจ้า
 
ดังนั้น,เรายังอยากที่จะเป็นทูตสวรรค์อยู่อีกไหม? ในช่วงเวลาที่เราอ่อนแอ, เราอาจรู้สึกได้ถึงการเผชิญหน้ากับตัวเลือกแรก,ระหว่างเลือกตนเองหรือเลือกพระเจ้า  เราก็คงจะเลือกความดีอันไม่มีขอบเขตมากกว่า และนั่นก็จะเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอีกต่อไป เพียงแค่ยอมรับการเลือกนี้ในครั้งแรกและจะเป็นเช่นเดียวกันในครั้งต่อๆไป
 
ในทางกลับกัน,เมื่อเราพิจารณาถึงการเลือกและการตกต่ำล้มลงของเราเอง และเมื่อพิจารณาว่าการล้มลงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเพิกถอนได้สำหรับเหล่าทูตสวรรค์ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับเรา เรายังได้รับโอกาสที่จะกลับใจได้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นคงทำให้เราถอนหายใจโล่งอก มนุษยชาติมีความหวัง,และสามารถเดินหน้าต่อไป
 
ในท้ายที่สุด, ให้เราพิจารณาเรื่องที่สำคัญที่สุดและเป็นความจริงที่ว่า พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะเป็นทูตสวรรค์ แต่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่ภายใต้ความทุกข์ยากลำบากและทรงยอมรับความทรมานในเนื้อหนังของมนุษย์ เพื่อแสดงถึงความรักของพระองค์ต่อพระบิดาและต่อมนุษยชาติ และทรงแสดงให้เหล่าทูตสวรรค์และมนุษย์เห็นถึงพระเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์
 


Excerpt From : Catholic Thing https://www.thecatholicthing.org/2013/01/19/rather-be-an-angel/
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น