วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ดร.กลอเรีย โปโล (ตอนที่4)


ซาตานและกลยุทธ์ของมัน
คนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า คงจะจำได้ว่า  ในตอนที่ทหารเฆี่ยนตีพระเยซูเจ้าอยู่  มีปีศาจพร้อมกับเด็กเล็กๆคนหนึ่ง (ซึ่งเป็นปีศาจเหมือนกัน) กำลังมองดูพระเยซูเจ้าและยิ้ม   รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นเด็กแล้ว  แต่โตและฉลาดมาก  ชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ด้วย  มันได้ทำให้คนจำนวนมากเป็นทาสของมันโดยทำให้พวกเขาพึงพอใจในเรื่องเนื้อหนัง  โดยอาศัยเวทย์มนตร์, ความผิดพลาดทางเทววิทยา  อย่างเช่นการที่มีบางคนยืนยันว่าปีศาจไม่มีอยู่จริง  คิดดูสิว่ามันฉลาดแค่ไหน  มันปฏิเสธแม้แต่ตัวมันเองได้  มันทำให้เราเชื่อว่าไม่มีปีศาจ  เพื่อที่จะไม่มีสิ่งใดมารบกวนแผนการของมัน  ถูกต้อง  มันชี้แนะบางคนให้เชื่อว่าพวกมันไม่มีอยู่  และจะได้นำความพินาศมาสู่พวกเรา  มันหาวิธีทำให้เราสับสนแม้แต่คนที่เชื่อในพระเป็นเจ้าก็ด้วย  ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อมีการประจักษ์ที่แท้จริง  มันทำให้เราเชื่อว่าการประจักษ์นั้นเป็นเรื่องไม่จริง  มันหลอกลวงคนนับพันด้วยวิธีการต่างๆหลายวิธี  โดยใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของแต่ละคน  คาทอลิกหลายคน  ถึงแม้จะมีความเชื่อและปฏิบัติตามความเชื่อ  บางคนไปร่วมพิธีมิสซาและยังไปทำพิธีกรรมบางอย่างที่อาศัยเวทมนตร์ด้วย  เพราะถูกทำให้เชื่อว่าการกระทำเช่นนั้นไม่มีอะไรเสียหาย  เราสามารถไปสวรรค์ได้เพราะเราไม่ได้ทำเวทมนตร์เพื่อทำร้ายใคร  ปีศาจชี้แนะและนำทางเราด้วยยุทธวิธีที่มันตระเตรียมมาเป็นอย่างดีแล้ว  เมื่อมันสอนให้เราทำบางสิ่งที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม (อย่างเช่น  เครื่องรางของขลัง ทำเสน่ห์ การดูดวง ฯลฯ)  เท่ากับปีศาจมันได้ตีตราประทับของมันไว้บนตัวเราแล้ว  เมื่อเราไปหาคนทรงเจ้าหรือหมอดูหรืออะไรที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ  สถานที่นั้นคือสถานที่ที่ปีศาจมันตีตราของมันประทับบนตัวเรา
ฉันเองเคยไปสถานที่แบบนี้  ฉันไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่พาฉันไปพบกับคนทรงเพื่อให้ทำนายโชคชะตาของฉัน  และที่นั่นฉันถูกตีตราเครื่องหมายของปีศาจ  ปีศาจตนหนึ่งได้ตีตราบนตัวของฉัน  ตั้งแต่วันนั้น  ฉันรู้สึกถูกรบกวน  ฝันร้าย  ใจสับสนวุ่นวาย  วิตกกังวล  หวาดกลัว  และยังคิดที่จะฆ่าตัวตายด้วย  ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีความปรารถนาเช่นนั้น  ฉันร้องไห้  ไม่มีความสุข  และไม่รู้สึกมีสันติสุขอีกต่อไป  ฉันสวดภาวนา  แต่รู้สึกว่าพระเป็นเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากฉัน  ฉันไม่รู้สึกว่าอยู่ใกล้พระองค์อีกเลย  และนั่นทำให้ฉันเปิดประตูให้กับปีศาจร้าย  และมันได้เข้ามาทำลายชีวิตของฉัน

การโกหกและการสารภาพบาปไม่ดีเป็นครั้งแรก
ในตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก  ฉันเรียนรู้มาอย่างผิดๆว่า  ถ้าหากจะไม่ให้แม่ทำโทษฉันต้องโกหกท่าน  ดังนั้นฉันจึงเริ่มต้นพูดโกหก และพูดโกหกมากขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้บาปของฉันมากขึ้น  ยกตัวอย่างเช่น  คุณแม่ของฉันเคารพนับถือพระเยซูเจ้ามาก  สำหรับท่าน  พระนามของพระองค์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด  ฉันจึงมีความคิดว่านี่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของฉัน  ฉันเคยพูดกับแม่ว่า “คุณแม่  โดยพระนามของพระคริสต์  หนูสาบานว่าจะไม่ทำสิ่งนี้อีก”  ทำให้ฉันไม่ต้องถูกแม่ทำโทษ  ด้วยความอ่อนแอ  ความดื้อดึงและความชั่วในตัวของฉัน  ฉันได้ทำความผิดและทำบาปมากขึ้นทุกที....ฉันเรียนรู้ว่าไม่นานคำพูดเหล่านี้ก็จะหายไปกับสายลม  แต่เมื่อคุณแม่ยืนยันอย่างแข็งขัน  ฉันก็พูดว่า “คุณแม่  ขอให้ฟ้าผ่าหนู  ถ้าหนูพูดโกหก”  คำพูดนี้ฉันเคยพูดหลายครั้ง....เวลาผ่านไป  แล้วฟ้าก็ผ่าฉันจริงๆ การที่ฉันอยู่ที่นี่ได้  ก็เป็นเพราะพระเมตตาของพระเป็นเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น
วันหนึ่ง  เอสเตลล่า  เพื่อนสาวของฉันพูดกับฉันว่า “ดูสิ  ตอนนี้เธออายุ 13 ปีแล้ว  และเธอยังไม่เสียพรหมจรรย์เลยหรือ?”  ฉันจ้องดูเธอด้วยความตกใจ  เธอพูดอย่างนี้ได้อย่างไร?...เธอหมายความว่าอย่างไร?
คุณแม่เคยสั่งสอนฉันเสมอเกี่ยวกับความสำคัญของพรหมจรรย์  ท่านบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับแหวนแต่งงานกับพระเยซูเจ้า  แต่เพื่อนหญิงของฉันบอกฉันว่า “แม่ของฉันได้พาฉันไปพบสูตินารีแพทย์  เมื่อฉันเริ่มมีประจำเดือน  และแพทย์ให้ฉันกินยาคุม” ในตอนนั้นฉันไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้  เธอจึงอธิบายให้ฟังว่ายาคุมกำเนิดมีไว้เพื่อควบคุมไม่ให้มีการตั้งครรภ์  เธอยังเปิดเผยเรื่องที่ผู้หญิงไม่ควรทำให้ฉันรู้ด้วย(การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัย)....เธอยังพูดกับฉันว่า “เธอนี่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย”  และบอกว่าจะแนะนำสถานที่บางแห่งให้ฉันเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้
พวกเขาพาฉันไปโรงภาพยนตร์ซึ่งอยู่กลางเมืองเพื่อดูภาพยนตร์ลามก  คิดดูเถิดช่างน่ากลัวอะไรเช่นนั้น? เด็กหญิงอายุเพียง 13 ปี  คิดดูสิว่าเมื่อดูภาพยนตร์เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร?  ฉันเกือบตายด้วยความตกใจ  รู้สึกเหมือนอยู่ในนรก  ฉันอยากจะวิ่งหนีออกไปให้เร็วที่สุดจากที่นั่น...แต่ฉันไม่ได้ทำ  เพราะความอับอายต่อหน้าเพื่อนผู้หญิง...แต่ฉันอยากออกไปจากที่นั่นมาก  ฉันตกใจกลัวมาก
ในวันเดียวกันนั้น  ฉันไปโบสถ์พร้อมกับคุณแม่  ฉันต้องการไปสารภาพบาป  ฉันสารภาพบาปทั่วไป  เช่น ไม่ได้ทำหน้าที่ที่บ้าน  ที่โรงเรียน ฉันไม่ได้เชื่อฟัง....ซึ่งเป็นบาปที่ฉันทำอยู่เสมอ  ฉันสารภาพบาปกับพระสงฆ์องค์เดิม  ซึ่งท่านจะรู้บาปของฉันอยู่บ้างแล้ว  แต่ในวันนั้นฉันได้สารภาพว่าฉันได้ไปดูภาพยนตร์และไม่ได้บอกกับคุณแม่  พระสงฆ์ประหลาดใจมาก  ท่านพูดเกือบจะตะโกนว่า “ไม่ได้บอกใครนะ?  หนูไปที่ไหน?”  ด้วยความเศร้าฉันมองดูคุณแม่ซึ่งยังคงสงบเงียบบริเวณที่ท่านนั่งอยู่...โชคดีที่ท่านไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใด  ฉันคิดว่าถ้าหากท่านเห็นละก้อ...ฉันจึงลุกออกจากที่สารภาพบาป  รู้สึกโกรธเคืองพระสงฆ์  แต่ฉันไม่ได้บอกท่านว่าได้ไปดูภาพยนตร์ประเภทใด  เพียงแต่บอกว่าแอบไปดูภาพยนตร์เท่านั้น  พระสงฆ์จะต้องตำหนิฉันมากแน่นอน ถ้าหากฉันบอกท่านว่าฉันไปดูภาพยนตร์อะไรมา
นี่เป็นการเริ่มต้นของเล่ห์กลปีศาจซาตาน  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ฉันเริ่มสารภาพบาปอย่างไม่ดี  ฉันเลือกว่าจะสารภาพอะไร “จะสารภาพบาปนี้  แต่ไม่สารภาพอันนี้  บาปนี้ฉันจะบอกพระสงฆ์  ส่วนบาปนี้จะไม่บอก”....การสารภาพบาปอย่างไม่ดีของฉันเริ่มต้นขึ้น  และฉันก็ไปรับศีลมหาสนิททั้งๆที่รู้ว่าไม่ได้สารภาพบาปอย่างครบถ้วน  ฉันรับพระองค์อย่างไม่สมควร  และพระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นความน่ากลัวของการตกต่ำของวิญญาณของฉัน  มันเป็นกระบวนการของความตายฝ่ายวิญญาณ....ซึ่งท้ายที่สุด  ฉันมาถึงจุดที่ตัวเองไม่มีความเชื่อเลย  ไม่เชื่อว่ามีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายใดๆ  พระองค์ทรงแสดงให้ฉันเห็นว่า  ในขณะที่ฉันเป็นเด็กๆฉันถูกจูงมือเดินไปพร้อมกับพระองค์  ฉันมีสายสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับพระองค์  และแล้วบาปค่อยๆเปลี่ยนฉันทีละน้อย  ขณะที่เวลาค่อยๆผ่านไป  แล้วมือของฉันก็หลุดออกจากพระหัตถ์ของพระองค์  ต่อมาพระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่า  “ผู้ใดที่กินและดื่มพระกายและพระโลหิตของพระองค์อย่างไม่เหมาะสม  ก็เท่ากับกินและดื่มคำสาปแช่งของตัวของเขาเอง”  ฉันได้กินและดื่มคำสาปแช่งตัวของฉันเอง  ฉันได้เห็นในหนังสือแห่งชีวิตว่า  ปีศาจมันได้ทำอย่างไรในการแยกฉันออกจากพระเยซูเจ้า  เพราะเมื่อฉันมีอายุ 12 ปี ฉันยังคงมีความเชื่อในพระเป็นเจ้า  ฉันยังคงไปเฝ้าศีลมหาสนิทพร้อมกับคุณแม่ของฉัน...มันเป็นการแยกจากที่น่ากลัวยิ่งนักเมื่อได้เห็นเช่นนี้
เมื่อฉันเริ่มต้นชีวิตในบาป  พระเยซูเจ้าทรงทำให้ฉันรู้สึกถึงการสูญเสียสันติในจิตใจ  และเริ่มมีการสู้รบในมโนธรรม  แต่บรรดาเพื่อนหญิงของฉันพูดกับฉันว่า “อะไรนะ?  ไปสารภาพบาปหรือ? เธอโง่ไปแล้ว  เธอนี่ตกแฟชั่นจริงๆ  เธอไปสารภาพบาปกับใคร?  กับพระสงฆ์เหล่านั้นหรือ?  พวกเขาเป็นคนบาปยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก?”  เพื่อนหญิงของฉันไม่มีใครไปสารภาพบาปเลย  มีฉันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไปสารภาพบาป  สงครามเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของฉันระหว่างคำพูดของบรรดาเพื่อนผู้หญิง กับ คำพูดของคุณแม่ของฉันและจากมโนธรรมของฉันเอง...อย่างช้าๆ  ความสมดุลก็เอนเอียงไป  และทางฝ่ายเพื่อนผู้หญิงก็ชนะ  ฉันตัดสินใจที่จะไม่ไปสารภาพอีกต่อไป  ฉันจะไม่ไปสารภาพกับพระสงฆ์ท่านนั้นซึ่งคอยตำหนิฉัน  ฉันจะไปดูภาพยนตร์
จงพิจารณาดูเล่ห์กลของซาตานเถิด  เมื่ออายุ 13 ปี มันทำให้ฉันถอยห่างออกจากการสารภาพบาป  มันเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ  รู้ไหม? มันเอาความคิดผิดๆมาใส่ในหัวของเรา  ฉัน  กลอเรีย  โปโลได้กลายเป็นซากศพที่มีชีวิตเมื่ออายุ 13 ปี  แต่สำหรับฉันในเวลานั้นมันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องอยู่ในกลุ่มของเพื่อนผู้หญิง  เป็นเด็กหญิงที่เก่งและเชี่ยวชาญ...เมื่ออายุ 13 ปี  ฉันคิดว่าฉันรู้ทุกสิ่งแล้ว  และทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าเป็นเรื่องล้าสมัย  หรือเป็นเรื่องโง่เขลา
ฉันยังไม่ได้เล่าให้พวกคุณฟังเลยว่า  เมื่อพระสุรเสียงของพระเยซูเจ้าตรัสออกไป  และปีศาจได้หนีไปจากที่นั่นเพราะพวกมันไม่สามารถทนต่อพระสุรเสียงของพระองค์ได้  แต่มีปีศาจตัวหนึ่งซึ่งยังคงอยู่ที่นั่น  มันได้รับคำสั่งจากพระเยซูเจ้าให้อยู่ที่นั่น  ปีศาจตนนี้ร้องตะโกนด้วยเสียงดังอย่างน่ากลัวว่า “หล่อนเป็นของข้า  มันเป็นของข้า  มันเป็นของข้า”  มันอยู่ที่นั่น  เพราะเป็นมันที่วางแผนและออกอุบายให้ฉันทำบาป  จากความอ่อนแอของฉัน  เป็นมันที่ดึงฉันออกนอกทางจากการสารภาพบาป  เพราะเหตุนี้  พระเยซูเจ้าจึงทรงอนุญาติให้มันอยู่ถัดจากฉัน  และมันร้องตะโกนว่าฉันเป็นของมัน  มันได้กล่าวหาฉัน  เพราะฉันได้ตายไปในบาปหนัก  ตั้งแต่ตอนอายุ 13 ปีที่ฉันไม่ได้ไปสารภาพบาปอีกเลย  หลายครั้งที่ฉันสารภาพบาปอย่างไม่ครบถ้วน เพราะฉะนั้นฉันจึงเป็นของปีศาจตนนั้น  และมันสามารถอยู่ที่นั่นได้ในระหว่างการพิพากษา  คิดดูเถิดฉันอับอายเพียงไรที่เห็นบาปของตัวเองมากมายมหาศาล  และถูกปีศาจกล่าวหาฉัน  บอกว่าฉันเป็นของมันแล้ว  มันช่างน่ากลัวจริงๆ
            ปีศาจตนนี้ดึงฉันออกจากการสารภาพบาป  ด้วยวิธีนี้มันทำให้ฉันไม่ได้รับการเยียวยารักษาและการชะล้างทำความสะอาดวิญญาณ  บาปที่ฉันทำไม่ใช่สิ่งที่ได้มาฟรีๆโดยไม่ต้องชดใช้  บนวิญญาณที่ขาวสะอาด  ความชั่วได้ทำเครื่องหมายของมัน  เป็นเครื่องหมายของความชั่วอันดำมืด...แล้ววิญญาณที่ขาวสะอาดก็เต็มไปด้วยความดำมืด  เมื่อฉันรับศีลมหาสนิทครั้งแรกเท่านั้นที่ฉันสารภาพบาปอย่างดี  หลังจากนั้นก็ไม่อีกเลย  ฉันรับพระเยซูเจ้าอย่างไม่สมควร  ดังนั้นเมื่อเราจะไปสารภาพบาป  เราต้องวอนขอต่อพระจิตเจ้าให้พระองค์ส่องสว่างจิตใจอันดำมืดของเรา  เพราะสิ่งหนึ่งที่ปีศาจทำก็คือ  การปิดบังจิตใจของเรา  เพื่อที่เราจะคิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นบาป  ทุกอย่างดีหมด  จึงไม่จำเป็นต้องไปหาพระสงฆ์เพื่อสารภาพการกระทำของเรา.. และยังทำให้เราคิดอีกว่าพระสงฆ์เป็นคนบาปยิ่งกว่าตัวของเราเอง...การสารภาพบาปเป็นเรื่องล้าสมัยและมันสะดวกสบายกว่าที่จะไม่ไปสารภาพบาป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น