วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แม่พระแห่งกัวดาลูเป (ตอนที่ 5)


 
วันทามารีย์ เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน
พระเจ้าสถิตกับท่าน
ผู้ได้รับพระพรกว่าหญิงใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงได้รับพระพรยิ่งนัก
------------------------------------------------------ 
รูปภาพมนุษย์สะท้อนในดวงพระเนตรของแม่พระ
เมื่อขยายภาพบริเวณพระเนตรของแม่พระในผ้าทิลมาด้วยกล้องจุลทรรศน์  นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นภาพสะท้อนรูปมนุษย์หลายคนอยู่ในดวงพระเนตร
 
            รูปภาพนั้นสะท้อนอยู่บนดวงตาส่วนที่เรียกว่า Cornea ซึ่งก็คือส่วนนอกสุดของดวงตา 

ภาพที่ปรากฏบน cornea ก็คือภาพแรกในรูปข้างบน 1a  

            ในครั้งแรกที่ทำการขยายภาพด้วยกล้องจุลทรรศ์นั้น  พวกเขาได้พบภาพมนุษย์เพียงสามคนในดวงพระเนตร  (รูปที่ 2 ไม่ค่อยชัดเพราะเล็ก) และภาพนั้นเป็นเหมือนการสะท้อนในดวงตาคนทั่วไป

ต่อมาในปี 1979 Dr.Jose Aste Tonsmann ได้ใช้คอมพิวเตอร์ ทำการสแกนดวงพระเนตรทั้งสองข้างของพระรูป และนี่เป็นภาพที่เขาสแกนได้ (รูปกากบาท ไม่ใช่รูปกางเขนในดวงพระเนตร แต่เป็น cursor ของคอมพิวเตอร์) 
ในรูปที่สะท้อนจากดวงพระเนตรข้างขวาของแม่พระนั้น  ปรากฏให้เห็นเป็นรูปคน 13 คนที่อยู่ในดวงพระเนตร  ทางด้านซ้ายมือสุดเห็นค่อนข้างชัดเจนเป็นรูปคนพื้นเมืองกำลังนั่งโดยยกขาขึ้นข้างหนึ่ง  และมือคล้ายกับกำลังไหว้  ภาพต่อมาเป็นใบหน้าของชายชรามีเคราสีขาว จมูกใหญ่แบบชาวยุโรป มีรูปผู้หญิงกำลังอุ้มลูก  และคนอื่นๆ  เมื่อใส่สีเข้าไปก็จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น


คราวนี้มาลองวิเคราะห์ภาพแต่ละภาพ  เริ่มต้นด้วยภาพของคนพื้นเมืองที่กำลังนั่ง  มีรูปกลมอยู่บนบ่าซึ่งไม่น่าจะเป็นหัวของคน  อาจจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งที่ใช้การสั่นให้จังหวะเพื่อทำพิธีบางอย่าง  เขาใส่รองเท้าแตะด้วย มีเส้นบางๆคาดอยู่ที่เท้าซึ่งก็คือเชือกคาดรองเท้า  ลองดูเปรียบเทียบรองเท้าแตะของคนพื้นเมืองที่ใช้อยู่ในสมัยก่อนตามรูป

ท่านั่งของคนพื้นเมืองเป็นท่านั่งตามแบบนิยมของที่นั่น  ดังจะเห็นได้จากรูปแกะสลักเทพเจ้าแห่งดอกไม้ที่ปรากฏอยู่  จิตรกรได้วาดภาพเปรียบเทียบกับคนพื้นเมืองนี้ให้ดู (ซึ่งอาจไม่ตรงตามนั้นก็ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกความคิดหนึ่ง)
รูปต่อมาเป็นใบหน้าของชายสองคน คนหนึ่งมีเครา  มีจมูกยาว  จากลักษณะน่าจะเป็นนักบวชฟรังซิสกัน  ซึ่งอาจจะเป็นพระสังฆราชเอง  เพราะมีหมวกกลมสวมอยู่ด้วย เมื่อเปรียบเทียบรูปภาพที่ มิคาอิล กาเบล่า ได้วาดไว้ จะเห็นพระสังฆราชซึ่งคุกเข่าอยู่ ซึ่งดูคล้ายกัน  และจิตรกรได้วาดรูปตามแบบซึ่งอาจดูผิดเพี้ยนไปบ้าง  เช่นจมูกที่ใหญ่ผิดปกติ

แต่อย่าลืมว่าภาพนี้เป็นภาพสะท้อนในดวงตาซึ่งมีส่วนโค้ง  จึงอาจทำให้ภาพผิดรูปไปบ้าง (เหมือนที่เรามองดูในกระจกที่บิดเบี้ยว)
รูปต่อมาคือรูปชายที่สวมผ้าคลุม  เขามีจมูกงุ้มแบบคนพื้นเมือง สวมหมวกทรงสูงรูปโคน จากรูปแกะสลักเราจะเห็นหมวกทรงสูงของคนพื้นเมืองซึ่งเป็นชนชั้นสูง

รูปต่อมาเป็นรูปผู้หญิงอยู่ด้านหลังสุด เป็นรูปเล็กๆ  เป็นผู้หญิงผิวดำ  เราทราบว่าพระสังฆราชมีคนรับใช้ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งซึ่งติดตามท่านมาจากยุโรป



ตรงกลางภาพเป็นกลุ่มคนที่เป็นครอบครัวๆหนึ่ง  มีคนหนึ่งที่สวมหมวกแบบเม็กซิกันซึ่งเป็นผู้ชายและคงเป็นสามี  พวกเขามีลูกเล็กๆ 2 คนอยู่ตรงกลาง เป็นลูกชายและลูกสาว

นี่คือภาพทั้งหมดจากพระเนตรข้างขวาของพระรูป  ต่อไปเป็นรูปภาพที่อยู่ในพระเนตรข้างซ้ายซึ่งดูแตกต่างออกไปเพราะเป็นภาพที่สะท้อนจากอีกด้านหนึ่งของดวงพระเนตรของแม่พระ
รูปแรกเป็นรูปของชายที่มีหนวดเครา และเขากำลังยกมือไว้ที่คาง เขาสวมเสื้อคล้ายเครื่องแบบ จึงน่าจะเป็นนายทหารของสเปน (บางคนเคยคิดว่าเป็นรูปของ ฮวน ดิเอโก เอง)
 

ภาพต่อมาเป็นภาพของกลุ่มคนซึ่งเป็นครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งอยู่ตรงกลางภาพ  จิตรกรได้วาดภาพเปรียบเทียบไว้ด้วย


ภาพรวมของดวงพระเนตรทั้งสองข้างของแม่พระเป็นดังภาพด้านล่างนี้

ดร. Totsmann ได้ทำการทดลองต่อไป  เขานำภาพของครอบครัวในรูปทั้งสองออก และพบภาพเงาของแม่พระอยู่ตรงบริเวณที่เป็นครอบครัวนั้น

ทำให้เราคิดถึงพระดำรัสของแม่พระที่ตรัสกับ ฮวน ดิเอโก ว่า “ลูกไม่ได้อยู่ภายใต้เงาและการปกป้องของแม่หรอกหรือ”
ปัจจุบันภาพแม่พระแห่งกัวดาลูเป ถูกนำไปใส่ไว้ในกระจกและประดิษฐานไว้ในพระมหาวิหารแห่งกัวดาลูเป ในเม็กซิโก  มีการประกอบพิธีมิสซาทุกวัน  ทุกชั่วโมง มีผู้มาจาริกแสวงบุญ 150,000 คนต่อวัน หรือ 7 – 10 ล้านคนต่อปี
ผ้าอื่นๆที่คล้ายแบบผ้า ทิลมา  ถูกนำมาวางไว้บริเวณที่อากาศชื้นและเค็มของวิหารแห่งนี้จะเสื่อมโทรมภายในไม่เกิน 10 ปี  ในปี 1789 ได้มีการทดลองโดยนำรูปภาพที่วาดตามแบบภาพแม่พระแห่งกัวดาลูเปบนผ้าที่ทำจากผ้าชนิดเดียวกันมาวางใกล้ๆกับ ผ้าทิลมาที่มีรูปภาพแม่พระปรากฏอยู่ . รูปภาพที่เลียนแบบนี้จัดทำขึ้นด้วยเทคนิคที่ท้นสมัยที่สุดในสมัยนั้น มีความสวยงามและทำด้วยผ้าที่คล้ายกับผ้าทิลมามากที่สุด และยังถูกปกป้องเอาไว้ภายในกระจกตั้งแต่เริ่มแรกที่นำมาวางไว้ด้วย
อย่างไรก็ตาม แปดปีต่อมา ภาพที่ทำเลียนแบบก็ต้องถูกโยนทิ้งไปเพราะสีซีดจางและเส้นด้ายก็ขาด. ในทางตรงกันข้าม "ผ้าทิลมาของแท้ที่มีรูปแม่พระ” ถูกตั้งแสดงไว้โดยไม่มีอะไรปกป้องเลยเป็นเวลานานถึง 116 ปี ได้รับทั้งแสงรังสีอุลตราไวโอเลต และ อินฟาเรต จากเทียนนับพันที่ถูกจุดไว้ใกล้ๆ รวมทั้งมีความชื้นและความเค็มจากอากาศภายในโบสถ์กลับไม่มีความเสียหาย และยังดูใหม่เหมือนในตอนแรกด้วย

ความพยายามในการทำลายภาพแม่พระแห่งกัวดาลูเป
วันที่ 14 พฤศจิกายน 1921ประมาณ 10.00 น. เวลาเช้า  ชายคนหนึ่งแต่งกายเหมือนคนงานที่ยากจน  เขาถือดอกไม้ซึ่งมีระเบิดไดนาไมท์ซ่อนอยู่ข้างใน  เขาถามผู้ดูแลพระวิหารว่า  จะอนุญาตให้เขานำดอกไม้ไปวางไว้ใต้พระรูปของแม่พระได้หรือไม่? เมื่อได้รับอนุญาตเขาก็นำระเบิดไปวางไว้ใต้พระรูปแม่พระ  ระเบิดได้ระเบิดขึ้นทำลายพระแท่น  ทำลายกระจกหน้าต่างในพระวิหารและหน้าต่างของบ้านที่อยู่รอบพระวิหาร  เป็นระเบิดไดนาไมท์ที่รุนแรงมาก  แต่ผ้าทิลมาและกระจกที่ปกคลุมพระรูปไม่มีร่องรอยความเสียหายหรือรอยร้าวเลยแม้แต่น้อย  นอกจากนี้ยังมีกางเขนทำด้วยบรอนซ์ซึ่งวางอยู่ที่พระแท่นใกล้พระรูปแม่พระ  โดยมีระเบิดอยู่ตรงกลาง  กางเขนนี้ไม่ได้รับความเสียหายเพียงแต่โค้งงอดังในรูป

ในปี 1785 คนงานคนหนึ่งได้ทำกรดดินประสิวเข้มข้น 50 เปอร์เซ็นต์ กระเด็นถูกด้านขวาของผ้าทิลมาโดยอุบัติเหตุ  ปรากฏว่า กรดไม่ทำลายเส้นใยผ้าและไม่ทำลายเนื้อสีในรูปภาพแม้แต่น้อย เป็นสิ่งนอกเหนือธรรมชาติจริงๆ
ผลลัพท์จากการประจักษ์ของแม่พระแห่งกัวดาลูเป

หลังจากที่ชาวพื้นเมืองที่ได้ยินเรื่องราวการประจักษ์ของแม่พระ  ได้เห็นผ้าทิลมาที่มีรูปแม่พระปรากฏอยู่  พวกเขาเริ่มกลับใจ  พวกเขาต้องการรับพระเป็นเจ้าต้องการรับศีลมหาสนิท  พระสงฆ์บอกพวกเขาว่า  ทำได้แต่ต้องรับศีลล้างบาปก่อน  ดังนั้นจึงมีการทำพิธีล้างบาปให้แก่ชาวพื้นเมืองจำนวนมากถึง 200 คนต่อวัน  พระสงฆ์ยังได้ประกอบพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฏของพระศาสนจักรให้แก่พวกเขาด้วย  ก่อนการกลับใจ  ชาวพื้นเมืองนิยมที่จะมีภรรยาหลายคนและมีลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เพื่อที่จะได้มีคนเป็นเครื่องสังเวยเทพเจ้าถึงแม้จะเป็นคนในครอบครัวของเขาก็ตาม (ถ้าหากจับเชลยจากเผ่าอื่นไม่ได้  ก็ใช้คนในเผ่าของตนเอง)  ซึ่งพวกเขาถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นหน้าที่ต่อเทพเจ้าดั้งเดิม   บัดนี้เขาได้กลับใจและรับศีลแต่งงานอย่างถูกต้องแล้วโดยความรัก  ไม่ใช่เพื่อการสังเวยด่อเทพเจ้า  ด้วยเหตุนี้ภายใน 5 ปี ชาวพื้นเมืองทั้งหมดจำนวนประมาณ 9 ล้านคนจึงได้รับศีลล้างบาป กลับมาเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า  โดยไม่ได้ถูกบังคับด้วยดาบหรือปืน  เป็นการกลับใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  พระสงฆ์ได้เขียนบันทึกในสมุดได้อารี่ของท่านว่า  ท่านรู้สึกเหนื่อยมากในการทำพิธีล้างบาปและพิธีแต่งงานให้กับชาวพื้นเมือง (ยังมีพระสงฆ์จำนวนไม่มากที่นั่น)   
ในขณะที่ทางฝากฝั่งยุโรป  มาร์ติน ลูเธอร์ กำลังแยกตัวออกจากพระศาสนจักรคาทอลิก และก่อตั้งนิกายโปรแตสแตนท์ขึ้นมา  ชักนำชาวยุโรปหลายล้านคนแยกตัวตามไปด้วย  (มาร์ติน ลูเธอร์ มีอายุแก่กว่า เฮอร์นัน คอร์เตส เพียง 2 ปี)  แม่พระจึงทรงนำชาวพื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ให้มาเข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิกแทนที่ชาวยุโรปที่แยกตัวออกจากพระศาสนจักรไป 

ด้วยเหตุนี้พระเป็นเจ้า – โดยผ่านทางแม่พระ – ได้ทรงนำพระพรจากชาวยุโรปไปมอบให้แก่ชาวพื้นเมืองของอเมริกาใต้แทน  ตรงตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสไว้ว่า  "คนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย  และคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก"  พระธรรมวิวรณ์เขียนไว้ว่า "มังกรใช้หางของมันตวัดเอาดวงดารา หนึ่งในสาม ตกจากท้องฟ้า"  แม่พระได้ทรงนำดวงดาราดวงใหม่มาวางไว้แทนที่ดวงดาราที่ตกจากท้องฟ้าไปนั้น  พระนางทรงนำชนพื้นเมืองของอเมริกาใต้ทั้งหมดมาสู่พระศาสนจักรแทนที่ชาวยุโรปที่ละทิ้งพระศาสนจักรไป 
 -------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 5

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น