วันทามารีย์ เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน
พระเจ้าสถิตกับท่าน
ผู้ได้รับพระพรกว่าหญิงใดๆ
และพระเยซูโอรสของท่านทรงได้รับพระพรยิ่งนัก
------------------------------------------------------
รูปภาพมนุษย์สะท้อนในดวงพระเนตรของแม่พระ
เมื่อขยายภาพบริเวณพระเนตรของแม่พระในผ้าทิลมาด้วยกล้องจุลทรรศน์
นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นภาพสะท้อนรูปมนุษย์หลายคนอยู่ในดวงพระเนตร
ภาพที่ปรากฏบน cornea
ก็คือภาพแรกในรูปข้างบน 1a
ในครั้งแรกที่ทำการขยายภาพด้วยกล้องจุลทรรศ์นั้น พวกเขาได้พบภาพมนุษย์เพียงสามคนในดวงพระเนตร (รูปที่ 2
ไม่ค่อยชัดเพราะเล็ก) และภาพนั้นเป็นเหมือนการสะท้อนในดวงตาคนทั่วไป
ต่อมาในปี 1979 Dr.Jose
Aste Tonsmann ได้ใช้คอมพิวเตอร์
ทำการสแกนดวงพระเนตรทั้งสองข้างของพระรูป และนี่เป็นภาพที่เขาสแกนได้ (รูปกากบาท
ไม่ใช่รูปกางเขนในดวงพระเนตร แต่เป็น cursor ของคอมพิวเตอร์)
ในรูปที่สะท้อนจากดวงพระเนตรข้างขวาของแม่พระนั้น ปรากฏให้เห็นเป็นรูปคน 13
คนที่อยู่ในดวงพระเนตร
ทางด้านซ้ายมือสุดเห็นค่อนข้างชัดเจนเป็นรูปคนพื้นเมืองกำลังนั่งโดยยกขาขึ้นข้างหนึ่ง และมือคล้ายกับกำลังไหว้ ภาพต่อมาเป็นใบหน้าของชายชรามีเคราสีขาว จมูกใหญ่แบบชาวยุโรป
มีรูปผู้หญิงกำลังอุ้มลูก และคนอื่นๆ เมื่อใส่สีเข้าไปก็จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
คราวนี้มาลองวิเคราะห์ภาพแต่ละภาพ
เริ่มต้นด้วยภาพของคนพื้นเมืองที่กำลังนั่ง มีรูปกลมอยู่บนบ่าซึ่งไม่น่าจะเป็นหัวของคน
อาจจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งที่ใช้การสั่นให้จังหวะเพื่อทำพิธีบางอย่าง เขาใส่รองเท้าแตะด้วย มีเส้นบางๆคาดอยู่ที่เท้าซึ่งก็คือเชือกคาดรองเท้า
ลองดูเปรียบเทียบรองเท้าแตะของคนพื้นเมืองที่ใช้อยู่ในสมัยก่อนตามรูป
ท่านั่งของคนพื้นเมืองเป็นท่านั่งตามแบบนิยมของที่นั่น
ดังจะเห็นได้จากรูปแกะสลักเทพเจ้าแห่งดอกไม้ที่ปรากฏอยู่ จิตรกรได้วาดภาพเปรียบเทียบกับคนพื้นเมืองนี้ให้ดู
(ซึ่งอาจไม่ตรงตามนั้นก็ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกความคิดหนึ่ง)
รูปต่อมาเป็นใบหน้าของชายสองคน
คนหนึ่งมีเครา มีจมูกยาว จากลักษณะน่าจะเป็นนักบวชฟรังซิสกัน ซึ่งอาจจะเป็นพระสังฆราชเอง เพราะมีหมวกกลมสวมอยู่ด้วย เมื่อเปรียบเทียบรูปภาพที่
มิคาอิล กาเบล่า ได้วาดไว้ จะเห็นพระสังฆราชซึ่งคุกเข่าอยู่ ซึ่งดูคล้ายกัน
และจิตรกรได้วาดรูปตามแบบซึ่งอาจดูผิดเพี้ยนไปบ้าง เช่นจมูกที่ใหญ่ผิดปกติ
แต่อย่าลืมว่าภาพนี้เป็นภาพสะท้อนในดวงตาซึ่งมีส่วนโค้ง จึงอาจทำให้ภาพผิดรูปไปบ้าง
(เหมือนที่เรามองดูในกระจกที่บิดเบี้ยว)
รูปต่อมาคือรูปชายที่สวมผ้าคลุม เขามีจมูกงุ้มแบบคนพื้นเมือง
สวมหมวกทรงสูงรูปโคน จากรูปแกะสลักเราจะเห็นหมวกทรงสูงของคนพื้นเมืองซึ่งเป็นชนชั้นสูง
รูปต่อมาเป็นรูปผู้หญิงอยู่ด้านหลังสุด
เป็นรูปเล็กๆ เป็นผู้หญิงผิวดำ
เราทราบว่าพระสังฆราชมีคนรับใช้ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งซึ่งติดตามท่านมาจากยุโรป
ตรงกลางภาพเป็นกลุ่มคนที่เป็นครอบครัวๆหนึ่ง มีคนหนึ่งที่สวมหมวกแบบเม็กซิกันซึ่งเป็นผู้ชายและคงเป็นสามี พวกเขามีลูกเล็กๆ 2 คนอยู่ตรงกลาง เป็นลูกชายและลูกสาว
นี่คือภาพทั้งหมดจากพระเนตรข้างขวาของพระรูป ต่อไปเป็นรูปภาพที่อยู่ในพระเนตรข้างซ้ายซึ่งดูแตกต่างออกไปเพราะเป็นภาพที่สะท้อนจากอีกด้านหนึ่งของดวงพระเนตรของแม่พระ
รูปแรกเป็นรูปของชายที่มีหนวดเครา และเขากำลังยกมือไว้ที่คาง เขาสวมเสื้อคล้ายเครื่องแบบ จึงน่าจะเป็นนายทหารของสเปน (บางคนเคยคิดว่าเป็นรูปของ ฮวน ดิเอโก เอง)
ภาพต่อมาเป็นภาพของกลุ่มคนซึ่งเป็นครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งอยู่ตรงกลางภาพ จิตรกรได้วาดภาพเปรียบเทียบไว้ด้วย
ภาพรวมของดวงพระเนตรทั้งสองข้างของแม่พระเป็นดังภาพด้านล่างนี้
ดร. Totsmann ได้ทำการทดลองต่อไป เขานำภาพของครอบครัวในรูปทั้งสองออก
และพบภาพเงาของแม่พระอยู่ตรงบริเวณที่เป็นครอบครัวนั้น
ทำให้เราคิดถึงพระดำรัสของแม่พระที่ตรัสกับ ฮวน ดิเอโก ว่า
“ลูกไม่ได้อยู่ภายใต้เงาและการปกป้องของแม่หรอกหรือ”
ปัจจุบันภาพแม่พระแห่งกัวดาลูเป
ถูกนำไปใส่ไว้ในกระจกและประดิษฐานไว้ในพระมหาวิหารแห่งกัวดาลูเป ในเม็กซิโก มีการประกอบพิธีมิสซาทุกวัน ทุกชั่วโมง มีผู้มาจาริกแสวงบุญ 150,000
คนต่อวัน หรือ 7 – 10 ล้านคนต่อปี
ผ้าอื่นๆที่คล้ายแบบผ้า
ทิลมา ถูกนำมาวางไว้บริเวณที่อากาศชื้นและเค็มของวิหารแห่งนี้จะเสื่อมโทรมภายในไม่เกิน
10 ปี ในปี 1789 ได้มีการทดลองโดยนำรูปภาพที่วาดตามแบบภาพแม่พระแห่งกัวดาลูเปบนผ้าที่ทำจากผ้าชนิดเดียวกันมาวางใกล้ๆกับ
ผ้าทิลมาที่มีรูปภาพแม่พระปรากฏอยู่ . รูปภาพที่เลียนแบบนี้จัดทำขึ้นด้วยเทคนิคที่ท้นสมัยที่สุดในสมัยนั้น
มีความสวยงามและทำด้วยผ้าที่คล้ายกับผ้าทิลมามากที่สุด และยังถูกปกป้องเอาไว้ภายในกระจกตั้งแต่เริ่มแรกที่นำมาวางไว้ด้วย
อย่างไรก็ตาม
แปดปีต่อมา ภาพที่ทำเลียนแบบก็ต้องถูกโยนทิ้งไปเพราะสีซีดจางและเส้นด้ายก็ขาด.
ในทางตรงกันข้าม "ผ้าทิลมาของแท้ที่มีรูปแม่พระ” ถูกตั้งแสดงไว้โดยไม่มีอะไรปกป้องเลยเป็นเวลานานถึง
116 ปี ได้รับทั้งแสงรังสีอุลตราไวโอเลต และ อินฟาเรต
จากเทียนนับพันที่ถูกจุดไว้ใกล้ๆ รวมทั้งมีความชื้นและความเค็มจากอากาศภายในโบสถ์กลับไม่มีความเสียหาย
และยังดูใหม่เหมือนในตอนแรกด้วย
ความพยายามในการทำลายภาพแม่พระแห่งกัวดาลูเป
วันที่ 14 พฤศจิกายน 1921ประมาณ 10.00
น. เวลาเช้า
ชายคนหนึ่งแต่งกายเหมือนคนงานที่ยากจน
เขาถือดอกไม้ซึ่งมีระเบิดไดนาไมท์ซ่อนอยู่ข้างใน เขาถามผู้ดูแลพระวิหารว่า
จะอนุญาตให้เขานำดอกไม้ไปวางไว้ใต้พระรูปของแม่พระได้หรือไม่?
เมื่อได้รับอนุญาตเขาก็นำระเบิดไปวางไว้ใต้พระรูปแม่พระ ระเบิดได้ระเบิดขึ้นทำลายพระแท่น
ทำลายกระจกหน้าต่างในพระวิหารและหน้าต่างของบ้านที่อยู่รอบพระวิหาร เป็นระเบิดไดนาไมท์ที่รุนแรงมาก
แต่ผ้าทิลมาและกระจกที่ปกคลุมพระรูปไม่มีร่องรอยความเสียหายหรือรอยร้าวเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมีกางเขนทำด้วยบรอนซ์ซึ่งวางอยู่ที่พระแท่นใกล้พระรูปแม่พระ โดยมีระเบิดอยู่ตรงกลาง กางเขนนี้ไม่ได้รับความเสียหายเพียงแต่โค้งงอดังในรูป
ในปี
1785 คนงานคนหนึ่งได้ทำกรดดินประสิวเข้มข้น 50 เปอร์เซ็นต์
กระเด็นถูกด้านขวาของผ้าทิลมาโดยอุบัติเหตุ ปรากฏว่า กรดไม่ทำลายเส้นใยผ้าและไม่ทำลายเนื้อสีในรูปภาพแม้แต่น้อย
เป็นสิ่งนอกเหนือธรรมชาติจริงๆ
ผลลัพท์จากการประจักษ์ของแม่พระแห่งกัวดาลูเป
หลังจากที่ชาวพื้นเมืองที่ได้ยินเรื่องราวการประจักษ์ของแม่พระ ได้เห็นผ้าทิลมาที่มีรูปแม่พระปรากฏอยู่ พวกเขาเริ่มกลับใจ
พวกเขาต้องการรับพระเป็นเจ้าต้องการรับศีลมหาสนิท พระสงฆ์บอกพวกเขาว่า ทำได้แต่ต้องรับศีลล้างบาปก่อน
ดังนั้นจึงมีการทำพิธีล้างบาปให้แก่ชาวพื้นเมืองจำนวนมากถึง 200
คนต่อวัน พระสงฆ์ยังได้ประกอบพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฏของพระศาสนจักรให้แก่พวกเขาด้วย ก่อนการกลับใจ
ชาวพื้นเมืองนิยมที่จะมีภรรยาหลายคนและมีลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อที่จะได้มีคนเป็นเครื่องสังเวยเทพเจ้าถึงแม้จะเป็นคนในครอบครัวของเขาก็ตาม
(ถ้าหากจับเชลยจากเผ่าอื่นไม่ได้
ก็ใช้คนในเผ่าของตนเอง)
ซึ่งพวกเขาถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นหน้าที่ต่อเทพเจ้าดั้งเดิม บัดนี้เขาได้กลับใจและรับศีลแต่งงานอย่างถูกต้องแล้วโดยความรัก ไม่ใช่เพื่อการสังเวยด่อเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ภายใน 5 ปี
ชาวพื้นเมืองทั้งหมดจำนวนประมาณ 9 ล้านคนจึงได้รับศีลล้างบาป กลับมาเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า โดยไม่ได้ถูกบังคับด้วยดาบหรือปืน
เป็นการกลับใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
พระสงฆ์ได้เขียนบันทึกในสมุดได้อารี่ของท่านว่า ท่านรู้สึกเหนื่อยมากในการทำพิธีล้างบาปและพิธีแต่งงานให้กับชาวพื้นเมือง
(ยังมีพระสงฆ์จำนวนไม่มากที่นั่น)
ในขณะที่ทางฝากฝั่งยุโรป มาร์ติน ลูเธอร์ กำลังแยกตัวออกจากพระศาสนจักรคาทอลิก
และก่อตั้งนิกายโปรแตสแตนท์ขึ้นมา
ชักนำชาวยุโรปหลายล้านคนแยกตัวตามไปด้วย (มาร์ติน ลูเธอร์ มีอายุแก่กว่า เฮอร์นัน
คอร์เตส เพียง 2 ปี)
แม่พระจึงทรงนำชาวพื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ให้มาเข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิกแทนที่ชาวยุโรปที่แยกตัวออกจากพระศาสนจักรไป
ด้วยเหตุนี้พระเป็นเจ้า – โดยผ่านทางแม่พระ
– ได้ทรงนำพระพรจากชาวยุโรปไปมอบให้แก่ชาวพื้นเมืองของอเมริกาใต้แทน ตรงตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสไว้ว่า "คนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก" พระธรรมวิวรณ์เขียนไว้ว่า "มังกรใช้หางของมันตวัดเอาดวงดารา หนึ่งในสาม ตกจากท้องฟ้า" แม่พระได้ทรงนำดวงดาราดวงใหม่มาวางไว้แทนที่ดวงดาราที่ตกจากท้องฟ้าไปนั้น พระนางทรงนำชนพื้นเมืองของอเมริกาใต้ทั้งหมดมาสู่พระศาสนจักรแทนที่ชาวยุโรปที่ละทิ้งพระศาสนจักรไป
จบตอนที่ 5
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น