วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เครื่องหมายแห่งกาลเวลา

             การประจักษ์ที่กิเบโฮ ในราวันดา  เด็กชายซึ่งไม่ได้เป็นคาทอลิกและไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อของพระเยซูเจ้ามาก่อน  ได้รับการประจักษ์จากพระเยซูเจ้า  เด็กคนนั้นชื่อ เอ็มมานูเอล  เซกาตาชิยา (Emmanuel Segatashya) พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
“โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังกัน  และลูกจะรู้ว่า  การกลับมาของเราอยู่ใกล้แล้ว   เมื่อลูกได้ยินและได้เห็นสงครามศาสนาเกิดขึ้น  นั่นแสดงว่าเราได้อยู่ในหนทางของเราแล้ว  จงรู้เถิดว่า  เรากำลังจะมา  เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งสงครามเหล่านี้ได้”
พระศาสนจักรได้รับรองการประจักษ์ที่ราวันดาเมื่อ 29 มิ.ย. 2001 (เมื่อพระสังฆราช Augustin Misago of Gikongoro ได้พิมพ์คำประกาศ “คำตัดสิน” จากวาติกัน)
เด็กชาย เซกาตาชิยา  เสียชีวิตในปี 1994 ในระหว่างที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์(ซึ่งถูกทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วในปี 1982)  เขาเป็นหนึ่งในเด็ก 7 คนผู้ที่ได้รับการประจักษ์  แต่มีเด็กเพียงสามคนเท่านั้นที่ทางพระศาสนจักรรับรองอย่างเป็นทางการ (ซึ่งเซกาตาชิยา ไม่รวมอยู่ในเด็กที่ได้รับการรับรอง  แต่เด็กที่ยังไม่ได้รับการรับรอง ยังอยู่ในขั้นตอนที่ระงับไว้ชั่วคราว)
พระสงฆ์ นักเทววิทยา และพระสังฆราช ต่างก็รู้สึกประหลาดใจที่ เซกาตาชิยา มีความรู้ในความเชื่อคาทอลิกอย่างรวดเร็ว  เขากลายเป็นคนถ่อมตน  จริงใจ  และไม่อาจอธิบายสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ได้  วันที่ 2 ก.ค. 1982 เซกาตาชิยาได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าตรัสเรียกชื่อของเขา  ขณะที่เขากำลังเดินตรวจไร่ถั่วของบิดา  พระองค์ประจักษ์แก่เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 30 ปี มีผิวสีดำเล็กน้อย  ไม่ดำเหมือนชาวราวันดา  พระองค์ทรงสวมเสื้อทูนิค (เสื้อคลุมยาวถึงเข่า) ตามแบบ ชาวอัฟริกัน ซึ่งส่องแสงจ้าเส้นด้ายเป็นเงินและทอง
           พระเยซูเจ้าตรัสแก่เซตากาชิยาว่า “เวลาที่กำลังมาถึงนั้น  เป็นเวลาที่พระเป็นเจ้าจะทรงใช้ในการทดสอบ  เป็นเวลาที่แต่ละคนจะต้องแบกกางเขนของตนเอง  จงอย่ากลัว จงมีความเชื่อ  เพราะคนที่ทำความดีจะไปสู่สวรรค์พร้อมกับเรา  แต่คนที่ทำความชั่วจะพบกับไฟ  เพราะฉะนั้นจงรีบกระทำความดีเถิด  เพราะในวันหนึ่ง เจ้าซาตานจะปลาสนาการไปจากโลกนี้  และลูกจะไม่ถูกประจญล่อลวงอีกเลย  แต่จงรีบเข้า  เพราะเวลาเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยแล้ว”
ในเวลานี้  เราได้รับรู้ถึงข่าวสารความรุนแรงที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากศาสนาแล้ว  สิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง  ฉนวนกาซา  อิสราเอล  ปาเลสไตน์  อิรัก  ซีเรีย ไนจีเรีย ซูดาน ปากีสถาน อัฟกานิสถาน  อัฟริกา และที่อื่นๆ
มีสงครามระหว่าง ชาวฮินดูกับมุสลิมในปากีสถาน  ระหว่างชาวฮินดูกับคริสตชนในอินเดีย  และระหว่างมุสลิมกับคริสตชนในฟิลิปปินส์  เป็นต้น  มีคริสตชนที่ถูกฆ่าตายเป็นมรณสักขีประมาณ 2000 – 8000 คนในแต่ละปีในประเทศต่างๆทั่วโลก  ซึ่งรวมแล้ว 36 ประเทศ  พระสันตปาปาฟรังซิสทรงกล่าวว่า  มีมากกว่าในยุคของอาณาจักรโรมัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จรวดมิสไซล์ได้ถล่มอารามในซีเรีย  ในเวลาเดียวกันผู้ก่อการร้าย ISIS ในอิรักได้ขับไล่คริสตชนให้ออกจากเมือง และบุกยึดอารามหลายแห่ง  เหตุการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงระบุถึงใช่หรือไม่?
ในไนจีเรีย  อินโดนีเซีย อินเดีย  ฟิลิปปินส์  ปากีสถาน คริสตชนรวมทั้งพระสงฆ์และแม่ชีถูกลักพาตัวหรือฆ่าตาย  โบสถ์ถูกทำลาย    ในส่วนฟากฝั่งตะวันตก ก็มี”มรณสักขี” ซึ่งเกิดจากรัฐบาลสมัยใหม่ที่ได้ออกกฏหมายอนุญาติให้ทำแท้งและรับรองการแต่งงานของพวกเกย
ในอิรัก  ที่เมืองโมซุล พระสังฆราชแห่งกรุงแบกแดด Jean Benjamin Sleiman  ได้กล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า “กลุ่มอิสลาม The invasion of the Islamic State [Isis]  ได้เฉือนประเทศออกเป็นชิ้นๆและก่อเหตุสะเทือนขวัญด้วยการฆ่า  ทำลาย  กำจัดให้สิ้นซาก และนำกฎหมายอิสลาม (ซาเรีย)มาใช้อย่างเข้มงวด” 

นี่คือเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า "apocalyptic." เหตุการณ์ที่พระคัมภีร์ทำนายไว้เกี่ยวกับวันสิ้นโลก  อย่างนั้นหรือ?
            พระสังฆราชกล่าวต่อไปว่า “เมื่อไฟลุกประทุขึ้น มันก็สายเกินไปที่จะควบคุมมันได้  มันจะแพร่กระจายไปทั่ว  หลายปีมาแล้วที่ผมรู้สึกถึงพลังอำนาจที่ก่อเปลวไฟขึ้นมาในตะวันออกกลาง  และมันควบคุมไม่ได้  มันจะลุกลามไปถึงยุโรปและทำให้เกิดสงครามโลกขึ้น”
เมื่อไม่นานมานี้ โบสถ์และหลุมฝังศพของประกาศกโยนาห์ก็ถูกทำลายโดยผู้ก่อการร้าย ISIS  จากเรื่องราวในพระธรรมใหม่  เมื่อชาวฟาริสีขอเครื่องหมายจากพระเยซูเจ้า  พระองค์ตรัสว่า “คนยุคนี้ต้องการเครื่องหมายจากสวรรค์  แต่พวกเขาจะไม่ได้รับเครื่องหมายอะไร  ยกเว้นเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์”

           พระเยซูเจ้าตรัสแก่ เซตากาชียาว่า “เป็นเพราะพวกเขารักโดยปราศจากความรัก  พวกเขาเชื่อโดยปราศจากความเชื่อ”-- 7/28/14

[Resources:: The Boy Who Met Jesus]

หมายเหตุจาก Crisis Magazine: “การล่มสลายของโมซุลเป็นเหตุการณ์น่าสลดใจสำหรับคริสตชน  พวก ISIS ต้องการเข้าควบคุมประเทศอิรัก  ในเดือนกรกฏาคม  พวกผู้ก่อการร้ายสั่งให้คริสตชนทุกคนเข้าไปในสุเหร่าและเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม  หรือมิฉะนั้นก็ต้องเสียภาษีที่เรียกว่า 'dhimma'  เพื่อไม่ต้องถูกฆ่า  ผู้นำคริสตชนในอิรักคนหนึ่งรายงานว่า พวก ISIS ทำเครื่องหมายตัวอักษร “N” ซึ่งหมายถึงนาซาราห์  อันเป็นคำในโกราน ที่ใช้เรียกคริสตชน  ไว้ที่หน้าบ้านของคริสตชนทุกบ้าน ผู้ก่อการร้ายทำให้คริสตชนต้องอพยพครั้งใหญ่ออกจากโมซุลไปยังเคอร์ดิชซึ่งเป็นเขตแดนที่ผู้ก่อการร้ายควบคุมอยู่  การอพยพนี้ทำให้เมืองโมซุลไร้คริสตชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอิรัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น