วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อัศจรรย์ไม้กางเขน (ตอนที่ 4)


 
มีนักบวชหลายร้อยคนจากคณะต่างๆทั่วโลกที่เป็นพยานยืนยันอัศจรรย์นี้  ยกตัวอย่างเช่น  พระสงฆ์คณะคาปูชิน Father Celestino Maria de Pozuelo ท่านมาที่ลิมปัสวันที่ 29 ก.ค. 1919 และได้เขียนรายละเอียดในรายงานว่า “.....พระพักตร์แสดงถึงความเจ็บปวดสาหัส  ร่างกายเป็นสีม่วงเพราะรอยฟกช้ำ  เหมือนกับพระองค์ทรงถูกโบยตีอย่างโหดร้าย  และมีเหงื่อท่วมตัว...”

Father Valentin Incio แห่ง Gijon  รายงานว่า ท่านมาที่ลิมปัสพร้อมกับกลุ่มแสวงบุญในวันที่ 4 ส.ค. 1919 มีผู้แสวงบุญ 30-40 คน  เป็นพระสงฆ์สองท่าน  กลาสี 10 คนและผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้ร้องไห้ออกมา  คุณพ่อเขียนรายงานว่า “ตอนแรกดูเหมือนพระเยซูเจ้าทรงมีชีวิต  พระเศียรอยู่ในตำแหน่งปกติและพระพักตร์ก็ดูปกติ  แต่ดวงพระเนตรดูมีชีวิตและมองไปยังทิศทางต่างๆ  และแล้วพระองค์ทรงเพ่งมองมาที่ตรงกลางบริเวณที่มีกลาสียืนอยู่  พระองค์มองอยู่เป็นเวลานาน  แล้วค์ก็ทรงหันมองไปทางซ้ายยังบริเวณซาคริสตี  ทรงชำเลืองมองอยู่สักพักหนึ่ง  แล้วก็ถึงเวลาที่น่าประทับใจสำหรับทุกคน  พระเยซูเจ้าทรงหันมามองพวกเราทุกคนด้วยความอ่อนโยนและเมตตาอย่างที่สุด  และด้วยความรักอย่างที่สุด  พวกเราถึงกับคุกเข่าลงและร้องไห้ถวายเกียรติแด่พระองค์...แล้วพระองค์ทรงปิดตาและลืมตา  ทำให้เห็นว่ามีน้ำพระเนตรอยู่เอ่อล้น  แล้วพระองค์ทรงเคลื่อนไหวริมฝีปากเหมือนกับพระองค์ทรงตรัสหรือสวดภาวนาอยู่  ในเวลานั้นผู้หญิงที่อยู่ข้างๆผม  ได้เห็นพระอาจารย์ทรงพยายามเคลื่อนไหวแขนเพื่อให้หลุดออกจากไม้กางเขน”  ในรายงานนี้มีพระสงฆ์ลงชื่อรับรองสามท่าน  กลาสีเก้าคนและสตรีหนึ่งคน

Father Paulino Girbes จากโบสถ์เซนต์นิโคลัส ในวาเลนเซีย เล่าว่า  วันที่ 15 ก.ย. 1919 ท่านเดินทางมาพร้อมกับพระสังฆราชสองท่านและพระสงฆ์ 18ท่าน  ทุกคนได้คุกเข่าที่ไม้กางเขน “...เราทุกคนได้เห็นพระพักตร์พระเยซูเจ้าทรงเศร้าโศก  ซีด  และมีสีคล้ำ  ปากอ้าออกมากกว่าปกติ  ดวงพระเนตรชำเลืองมองอย่างอ่อนโยนมายังพระสังฆราชและแล้วก็มองไปยังบริเวณซาคริสตี  ภาพที่เห็นแสดงถึงความดิ้นรนในความตายของพระองค์  ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะสิ้นสุดลง  ผมไม่สามารถระงับน้ำตาไม่ให้ไหลและเริ่มร้องไห้  คนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน...” 

Father Joseph Einsenlohr ได้เขียนรายงานวันที่ 18 มิ.ย. 1921  หลังจากประกอบพิธีมิสซาที่พระแท่นใต้ไม้กางเขนนี้  ท่านได้นั่งที่โบสถ์เพื่อร่วมพิธีมิสซาที่พระสงฆ์ท่านอื่นกำลังทำพิธีอยู่ “หลังจากพระเยซูเจ้าทรงหันศีรษะและดวงตาสักระยะหนึ่ง  พระองค์เริ่มขยับบ่าของพระองค์เพื่อบิดและงอแขน  เหมือนคนที่ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  ทุกๆส่วนเคลื่อนไหว  ยกเว้นมือและเท้าที่มีตะปูตอกตรึงอยู่กับที่  ในที่สุดร่างกายทุกส่วนก็ผ่อนคลายเหมือนกับเสียชีวิตแล้ว  และแล้วภาพก็มาอยู่ในสภาพปกติอีกครั้ง  ศีรษะและดวงตาของพระองค์มองขึ้นสู่สวรรค์  ภาพที่เห็นทั้งหมดเริ่มต้นจากภาคถวายของมิสซาไปจบลงที่ภาคพระสงฆ์แจกศีลมหาสนิท...”

Father Antonio Maria de Torrelavega  พระสงฆ์คาปูชิน ได้มาที่ลิมปัสวันที่ 11 ก.ย.1919  ท่านเห็นโลหิตไหลออกมาจากมุมปากด้านซ้ายของพระเยซูเจ้า  ในวันต่อมา. ท่าน”...เห็นดวงตาเคลื่อนไหวอีกครั้ง  และโลหิตก็ไหลออกมาจากมุมปากอีก....พระองค์ทอดพระเนตรมาที่ผมหลายครั้ง  ครั้งนี้ผมรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดของผมสั่นอย่างรุนแรง...ผมยืนขึ้น  เพื่อเปลี่ยนสถานที่สามหรือสี่ครั้ง  แต่ก็เห็นภาพเหมือนเดิม...ประมาณ บ่ายสองโมง  ขณะที่ผมคุกเข่าบริเวณกลางม้านั่ง  ผมเห็นพระเยซูเจ้ามองมายังผม  ผมรู้สึกอ่อนแรงจนต้องใช้มือยึดม้านั่งไว้แน่น...ผมเห็นพระพักตร์ทรงเศร้าและหมองคล้ำมาก  คนที่กำลังคุกเข่าอยู่รอบๆผมก็เห็นเช่นเดียวกัน...ผมพยายามสังเกตให้แน่ใจ  ไม่มีข้อสงสัยเลย พระเยซูเจ้าทรงเคลื่อนดวงไหวดวงตาจริงๆ  ระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่ผมเห็นสิ่งนี้ห้าสิบครั้ง...”

Father Manuel Cubi  ผู้เขียนหนังสือ  ผู้บรรยายและที่ปรึกษาของ Church del Pilar ใน Saragossa  ได้เขียนรายงานวันที่ 24 ธ.ค. 1919  ท่านมาพร้อมกับกลุ่มแสวงบุญ  ท่านได้เห็นความทุกข์ทรมานและความเศร้าโศกของพระเยซูเจ้า “..มีคนหนี่งรู้สึกตื้นตันใจมากเมื่อเห็นพระเยซูเจ้าทรงพยายามดิ้นรนให้หลุดจากไม้กางเขนด้วยการดิ้นอย่างหนัก  คนหนึ่งรู้สึกว่าได้ยินเสียงครวญครางของพระองค์ในลำคอ  แล้วพระองค์ทรงยกศีรษะ  หันดวงตา และปิดปากของพระองค์  ผมได้เห็นลิ้นและฟันของพระองค์....เกือบครึ่งชั่วโมงที่พระองค์แสดงให้พวกเรารู้ว่าพวกเรามีค่าต่อพระองค์มากสักเพียงไร  และพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อพวกเราในความกระหายและการถูกทอดทิ้งอย่างไรบนไม้กางเขน”

มีรายงานของนายแพทย์หลายคนที่ตอนแรกไม่เชื่อและพยายามหาเหตุผมทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเพียงเรื่องของ “จิตใต้สำนึก”  Dr. Penamaria ได้เขียนและตีพิมพ์รายงานของท่านในหนังสือ “La Montana”  เดือน พ.ค. 1920  ท่านอธิบายสิ่งที่ท่านเรียกว่า “ความตายอีกครั้งหนึ่งของพระคริสต์บนกางเขน”  ท่านเขียนว่า  หลังจากที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของตาและปากของพระรูป  และได้เปลี่ยนจุดสังเกตในโบสถ์หลายจุดเพื่อตรวจสอบอัศจรรย์นี้  ท่านสวดภาวนาขอให้ได้ข้อพิสูจน์ที่เด่นชัด  ขอให้มีบางสิ่งที่พิเศษมากเกิดขึ้น “...เพื่อที่จะไม่มีสิ่งใดเป็นที่สงสัยเหลืออยู่อีกต่อไป  และทำให้ผมมีความคิดในทางบวกสำหรับอัศจรรย์ของพระองค์  เพื่อที่ผมจะได้ประกาศยืนยันความจริงนี้แก่ทุกคน  และปกป้องความจริงนี้ต่อผู้ที่โจมตี  แม้จะต้องเสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตของผมเอง”  คำวอนขอนี้ดูจะเป็นที่พอพระทัยของพระเยซูเจ้า...ในเวลาต่อมา  ปากของพระองค์ก็บิดไปทางซ้ายอย่างแรง  ดวงตาใสเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจ้องมองขึ้นสู่สวรรค์  แสดงออกถึงความโศกเศร้า  ริมฝีปากที่ซีดของพระองค์สั่นระริก  กล้ามเนื้อคอและทรวงอกหดตัวเพื่อพยายามสูดหายใจด้วยความพยายามอย่างหนัก  ร่างกายที่แข็งเกร็งแสดงถึงความตายที่กำลังใกล้เข้ามา  แขนของพระองค์ดูเหมือนพยายามที่จะดึงให้หลุดจากไม้กางเขนด้วยการเคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรง  และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่บริเวณตะปูซึ่งแทงทะลุฝ่ามือของพระองค์ทำให้พระองค์ได้รับความเจ็บปวดสุดจะทนทานในเวลาที่ทรงเคลื่อนไหวแขน  ตามมาด้วยการถอนหายใจ..ครั้งที่สอง...แล้วครั้งที่สาม  ผมไม่รู้ว่าพระองค์ถอนหายใจกี่ครั้งเวลาที่ทรงได้รับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา  แล้วก็มีการกระตุกอย่างน่ากลัว  เหมือนคนที่พยายามดิ้นรนเพื่อหายใจเข้า  ปากและจมูกเปิดกว้าง  และแล้วโลหิตก็ไหลทะลักออกมา  ของเหลว น้ำเป็นฟองไหลออกจากปาก  ลิ้นของพระองค์สั่นเทา  พระองค์พยายามปิดปากสองถึงสามครั้ง  แล้วทรงหายใจอย่างช้าๆ...ตอนนี้จมูกของพระองค์ชี้ขึ้น  ริมฝีปากเม้มปิดสนิทแล้วคลายออก  ทรวงอกขยายและหดตัวอย่างรุนแรง  แล้วศีรษะก็ตกลงจนเห็นด้านหลังของศีรษะ...ในที่สุดก็ทรงสิ้นพระชนม์...ผมพยายามบรรยายสิ่งที่ผมได้เห็นในระยะเวลามากกว่าสองชั่วโมงให้ชัดเจนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ในเดือน สิงหาคม 1920 Dr. D. Pedro Cuesta ได้เห็นอัศจรรย์  ท่านเล่าว่าท่านมาพร้อมกับพระสงฆ์ท่านหนึ่ง  ท่านและเพื่อนคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งได้ร่วมในพิธีมิสซาเวลาเช้า  ระหว่างพิธีนั้น  เพื่อนของท่านเห็นการเคลื่อนไหวที่อัศจรรย์  แต่ท่านไม่เห็น  ถึงแม้ว่าจะย้ายที่ไปด้านอื่นของโบสถ์  บ่ายวันนั้นมีคนมาชักชวนให้ท่านไปที่โบสถ์อีกครั้งหนึ่ง  ครั้งนี้ท่านได้เห็นอัศจรรย์  “เมื่อผมจ้องไปเป็นครั้งที่สามหรือครั้งที่สี่  ผมเห็นส่วนที่เป็นเนื้อทั้งหมดหายไป  เหลือแต่เพียงผิวหนัง  และกระดูกซึ่งผมเคยเห็นเวลาที่ศึกษากายวิภาค  ศีรษะแห้งสนิท จนกระทั่งผิวหนังหายไป  ผมมองไม่เห็นพระรูปเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้วพระรูปก็กลับมาใหม่  แต่มีสภาพเหมือนกับซากศพ  แต่ต่อมาก็กลับมามีสภาพเหมือนเดิมที่มีเนื้อหนัง  ใช่แล้ว  ผมได้เห็นอย่างชัดเจนถึงการก่อรูปของ hypertrophy (การเจริญมากเกินไป) ของศีรษะ  สิ่งนี้ได้ลามไปยังส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย  อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นซ้ำสองครั้ง  ในครั้งที่สอง ผมไม่สามารถระงับความรู้สึกและควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป  ผมร้องไห้อย่างหนักและรีบวิ่งหนีออกจากโบสถ์  ความกลัวอย่างรุนแรงครอบงำจิตใจของผม  ทั้งๆที่ผมไม่เคยรู้สึกกลัวมากแบบนี้มาก่อน  ผมไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้...ผมซึ่งไม่เคยเจ็บป่วย  รู้สึกเหมือนจะตายไปตรงนั้นเลย  สัญชาติญาณในการเอาตัวรอดทำให้ผมต้องรีบออกมาจากโบสถ์  มิฉะนั้นผมคงต้องถูกหามออกมาในสภาพของซากศพ  ผมจึงต้องรีบออกมาจากโบสถ์และเล่าเรื่องนี้ให้ประชาชนที่อยู่ด้านนอกฟัง  ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงและคำพูดของผมที่เชื่อถือได้  ผมขอสาบานในสิ่งที่ผมพูด ณ. ที่นี้  และผมขอยืนยันและรับรองด้วยเลือดของผมเอง”  ด้วยอารมณ์ที่หวั่นไหว  แพทย์ผู้นี้กล่าวต่อไปว่า “ผมรู้สึกว่า คงต้องใช้เวลาฟื้นฟูจิตใจสักระยะหนึ่ง”  และเขาก็ทำเช่นนั้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น