Dr. D.Eduardo Perez y Perez ได้เล่าสิ่งที่ท่านได้เห็นในวันที่ 6 ต.ค. 1919
ดังนี้ “ขณะที่ผมกำลังสวดภาวนาหน้าไม้กางเขน พระองค์ทรงมองผมด้วยความรักเป็นเวลาเกือบหนึ่งนาที...แล้วพระคริสตเจ้าทรงเงยพระพักตร์
ทำให้อยู่ในท่าทีที่สงบมากขึ้น
กล้ามเนื้อที่คอผ่อนคลาย...ดวงตาเปิดกว้างและมองขึ้นข้างบน...ทรงหายใจอย่างแรงและมีการเหยียดออกของกล้ามเนื้อคอ
มีรายงานจากผู้ที่ไม่มีความเชื่อด้วย ซึ่งเป็นนักเรียนแพทย์ชื่อ D. Heriberto de la Villa
คำยืนยันของเขาถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “Del Pueblo Astur”
วันที่ 8 ก.ค. 1919
เขายืนยันหนักแน่นว่า”...ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อในอัศจรรย์ตอนที่ผมไปที่นั่น”
เขาไปที่ลิมปัสตามแรงชักชวนของเพื่อน
และเขาก็ได้เห็นดวงตาและปากของพระเยซูเจ้าเคลื่อนไหว ตอนแรกที่ได้เห็นเขายังรู้สึกสงสัยอยู่ เขาจึงย้ายไปยืนที่จุดอื่นในโบสถ์เพื่อจะได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น แล้วนั้นเขาก็ได้เห็น “....พระเยซูเจ้าทรงมองมาที่ผม เต็มไปด้วยความกริ้วและดูน่าหวาดหวั่น ทำให้ผมกลัวจนตัวสั่นเทา
ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มศีรษะลง....ผมมองขึ้นไปอีกครั้งและเห็นพระองค์หันมองไปทางขวา ทรงก้มศีรษะ
ผมได้เดินไปทางขวาเพื่อจะได้เห็นมงกุฏหนามจากทางด้านหลัง...พระองค์ทรงจ้องมาที่ผมด้วยความกริ้วอีกครั้งหนึ่งซึ่งทำให้รู้สึกว่าเหมือนจะบังคับผมให้ออกไปจากโบสถ์”
ต่อมาในวันเดียวกันเขาได้เข้าไปที่โบสถ์อีกและได้เห็น “...ทีละเล็กทีละน้อย
ทรวงอกและใบหน้าของพระเยซูเจ้าก็ดำคล้ำลง ดวงตาเคลื่อนไปทางซ้ายและขวา ขึ้นและลง
ปากเปิดออก
ดูเหมือนพระองค์จะหายใจได้อย่างยากลำบาก
ผมเห็นสภาพนี้อยู่นาน 15 – 20 นาที
..ผมสังเกตเห็นด้วยว่าที่หางคิ้วซ้ายมีบาดแผลเกิดขึ้น และมีโลหิตไหลออกมา และมาหยุดที่เปลือกตา
หลังจากนั้นผมเห็นโลหิตไหลออกมาจากบริเวณมงกุฎหนาม ไหลลงมาที่บริเวณใบหน้า ผมเห็นอย่างชัดเจน
เพราะสีของโลหิตตัดกับสีผิวของใบหน้าที่เป็นสีม่วงคล้ำ แล้วนั้นโลหิตบางส่วนจากมงกุฎหนามไหลลงมาที่บ่าโดยไม่ผ่านใบหน้า
พระองค์ทรงเผยอปากกว้างและมีของเหลวสีขาวเป็นฟองไหลออกมา เวลานั้นพระสงฆ์โดมินิกันกำลังเทศน์อยู่ และพระคริสต์ทรงหันไปมองที่ท่านประมาณ 5- 6
นาที...”เมื่อพระสงฆ์จบการเทศน์และพูดว่า “ขอพระคริสต์ทรงอวยพรแก่ท่าน” พระคริสต์ทรงเปิดปากและดวงตา และทรงยิ้ม
ทรงก้มศีรษะเหมือนกับจะบอกว่าพระองค์ทรงอวยพรแก่เราจริงๆ ถึงตอนนี้มีบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆผม
ได้บอกกับผมว่า
ผมจะกล้าสาบานในสิ่งที่ผมเห็นได้หรือไม่...ผมจึงตระหนักว่าพระคริสต์ทรงมีพระประสงค์จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมเห็นนั้นเป็นความจริง แล้วพระองค์ทรงเปิดปากอีกครั้ง
...มีน้ำเป็นฟองและโลหิตไหลออกมาจำนวนมากจากมุมปากนั้น....เพราะเหตุนี้ผมจึงถือเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องป่าวประกาศเป็นพยานยืนยันในความจริงของสิ่งที่ผมได้เห็น และผมได้ทำตามคำพูดนี้แล้วในโบสถ์”
ผู้ได้เห็นอัศจรรย์ส่วนมากจะรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนตำแหน่งที่ตนเองอยู่ เพื่อจะได้แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้เห็น บางคนเห็นอัศจรรย์ทันทีที่เข้าไปในโบสถ์ แต่บางคนได้เห็นในวันต่อมา บางคนไม่ได้เห็นอัศจรรย์เลย มีพยานคนหนึ่งบอกว่า “เหตุที่อัศจรรย์นี้เผยแสดงแก่บางคน
และไม่แสดงแก่บางคนนั้น ไม่สามารถอธิบายได้ตามกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติ” พระสังฆราช Sanchez
de Castro แห่ง Santander
เป็นเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการของพระศาสนจักรในการตรวจสอบความจริงของอัศจรรย์นี้ ท่านเริ่มดำเนินการตรวจสอบเมื่อวันที่ 18 ก.ค.
1820 หนึ่งปีต่อมา พระศาสนจักรได้อนุมัติให้มีการแสวงบุญมายังที่แห่งนี้ และในระยะเวลา 7 ปีหลังการประกาศนี้ ผู้ที่มาแสวงบุญที่นี่จะได้รับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ด้วย
พระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงรับทนทรมานแสนสาหัสบนไม้กางเขน....โปรดเมตตาเราด้วยเทอญ
พระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงรับทนทรมานแสนสาหัสบนไม้กางเขน....โปรดเมตตาเราด้วยเทอญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น