วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่อาจไม่เคยได้ยินมาก่อน

หลังจากการปกครองของจักรพรรดิคอนสแตนติน ก็มีจักรพรรดิองค์ต่อๆมาอีกหลายองค์  บางองค์ก็มีความเชื่อที่ผิดหลง  และบางองค์ก็เป็นคริสตชนที่เคร่งครัด

จักรพรรดิองค์หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียง (ไม่ค่อยดี) คือ จักรพรรดิจูเลียนผู้ละทิ้งศาสนา

Warren Carroll นักประวัติศาสตร์คาทอลิกกล่าวว่า พระองค์เป็นผู้ที่ละทิ้งความเชื่อ  ด้วยเหตุผลส่วนพระองค์และด้วยจุดประสงค์บางประการ  จูเลียนพยายามที่จะนำศาสนาดั้งเดิมของอาณาจักรโรมันกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง  พระองค์เปิดวิหารเทพเจ้านอกศาสนาและสั่งให้มีการบูชายัญสัตว์  ส่วนโบสถ์คริสตศาสนาก็ถูกละเลยไม่ได้รับการอุดหนุนทั้งด้านการเงินและที่ดินจากทางการอีกต่อไป

จักรพรรดิจูเลียนดูหมิ่นความเชื่อคริสต์ศาสนามาก  พระองค์พยายามลบล้างการล้างบาปที่พระองค์เคยได้รับโดยทรงลงไปชโลมอาบร่างของพระองค์ในเลือดวัว  นักประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรบรรยายพระองค์ว่าเป็น “บุคคลที่ทำให้วิญญาณของตนเป็นบ้านของปีศาจ”

สำหรับจูเลียนแล้ว  การเบียดเบียนและการไม่สนับสนุนทางการเงินแก่คริสต์ศาสนานั้นยังไม่เพียงพอ  ในรัชสมัยที่สองของการปกครองของพระองค์คือในปี 362 พระองค์คิดแผนการอันชั่วช้าโดยการทำลายความเชื่อถือในองค์พระคริสต์ด้วยการลบล้างพระวาจาทำนายของพระคริสต์ใน มัทธิว 24 ซึ่งกล่าวว่า  ขณะนั้นบรรดาศิษย์ชี้ให้พระเยซูเจ้าดูพระวิหาร  พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วใช่ไหม? เรากล่าวแก่ท่านว่า จะไม่มีหินสักก้อนเดียวที่ซ้อนกันอยู่นี้ที่ไม่ถูกพังทลายลงมา”  และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นคือการทำลายพระวิหารในปีค.ศ. 70 ในระหว่างสงคราม ยิว-โรมัน

วิธีการลบล้างของจักรพรรดินั้นก็ง่ายมาก  นั่นคือพระองค์คิดจะสร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่

พระองค์มอบหมายให้เจ้าหน้าที่พิเศษของทางการไปควบคุมงานนี้  และจักรพรรดิจูเลียนก็จะได้รับความนิยมจากบรรดาชาวยิวหัวเก่าที่นับถือศาสนายิวที่มีอยู่ทั่วอาณาจักรโรมันอีกด้วย  ชาวยิวเหล่านั้นหลายคนได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อใช้สร้างพระวิหารใหม่นี้  และบางคนก็อาสาที่จะเป็นคนงานก่อสร้างด้วย  ตามที่นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้

เครื่องมือพิเศษที่ทำด้วยเงินถูกนำมาใช้ในโอกาสนี้  ก้อนหินถูกสกัดมาใช้  กองทัพคนงานเข้าไปทำงานอย่างขมักเขม้น  และทำงานจนถึงกลางคืน

แต่มีสัญญาณของความยุ่งยากเกิดขึ้นหลังจากทำงานในวันแรก  คนงานตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่าดินที่พวกเขาขุดขึ้นมาเมื่อวานนี้กลับไปอยู่ที่เดิมของมัน  พวกเขาก็ยังทำงานต่อไปโดยขุดดินขึ้นมาใหม่  แต่”ทันทีทันใดเกิดลมแรงพัดมา  กลายเป็นพายุและลมหมุนทำให้ทุกอย่างกระจัดกระจายไปไกล”  Theodoret.นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้เช่นนี้

เกิดภัยพิบัติขึ้นคือ  แผ่นดินไหวบริเวณก่อสร้าง  ตามมาด้วยลูกไฟเผาผลาญรากฐานของพระวิหาร  เผาไหม้คนงานบางคน  และคนงานอื่นๆพากันตื่นตกใจ  คนงานบางคนวิ่งเข้าไปหลบภัยในพระวิหารที่พระมารดาของจักรพรรดิคอนสแตนติน,พระนางเฮเลน,สร้างขึ้น  แต่ก็มี”พลังที่มองไม่เห็น”มาปิดประตูทางเข้าพระวิหารต่อหน้าต่อตาของพวกเขา  นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า เกิดภัยพิบัติเหมือนกับที่เกิดในประเทศอียิปต์ เช่นมี โรคระบาด  น้ำพุในวิหารเก่าหยุดไหล  เกิดความอดหยากขึ้น  เจ้าหน้าที่ของทางการสองคนที่กระทำทุรจารต่อภาชนะศักดิ์สิทธิ์ต้องประสบความตายอย่างอนาถ  คนหนึ่งถูกหนอนชอนไช  อีกคนร่างกายระเบิดแตกออก” (จากบันทึกของนักประวัติศาสตร์พระศาสนจักร)

อุบัติการณ์พิเศษที่สุดคือ  การปรากฏของกางเขน  ทั้งบนท้องฟ้า  หรือ เป็นประกายบนเสื้อผ้าของคนงาน (บันทึกของนักประวัติศาสตร์พระศาสนจักรยุคแรก)

คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่า  พระวิหารนั้นสร้างไม่สำเร็จ

เรื่องเล่าดังกล่าวแล้วนี้คือเหตุการณ์อัศจรรย์ที่หยุดยั้งการสร้างพระวิหารนั้นมีความน่าเชื่อถือสักเพียงไร?  เรื่องที่เล่าข้างต้นนี้นำมาจากผู้บันทึกของพระศาสนจักร 5 คน  ทุกคนมีชีวิตอยู่ในระหว่างเกิดเหตุการณ์และได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาของพวกเขาเอง  ถึงแม้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันบ้างในรายละเอียดบางอย่าง  แต่ทุกคนบันทึกสิ่งที่ตรงกัน 3 อย่างคือ – เกิดแผ่นดินไหว  เกิดไฟลุกไหม้จากสถานที่บางแห่งที่อยู่ภายใต้พระวิหาร และการปรากฏของกางเขนอย่างอัศจรรย์

ผู้บันทึกสามคนเป็นนักประวัติศาสตร์พระศาสนจักร คือ  Theodoret, Sozomen, and Socrates Scholasticus  บางทีคุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อของพวกเขามาก่อนและอาจไม่เชื่อถือพวกเขานัก  แต่ถ้าเป็นนักบุญล่ะ  อย่างเช่น นักบุญ ยอห์น  คริสซอสโตม  และ นักบุญเกรโกรี่แห่งนาเซียนซัส  พวกท่านก็ได้บันทึกเรื่องราวการที่พระวิหารที่ถูกสร้างใหม่นี้ถูกทำลายด้วย (อ่านบันทึกของพวกท่านได้ที่ http://www.newadvent.org/fathers/200104.htm และที่
http://www.tertullian.org/fathers/gregory_nazianzen_3_oration5.htm

ผู้บันทึกทั้ง 5 ท่านได้บันทึกภัยพิบัติที่เกิดในการก่อสร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นความจริงในประวัติศาสตร์  และผู้บันทึกบางคนยังได้พยายามประเมินความเป็นจริงของเรื่องราวนี้ด้วยตัวของท่านเอง  นักบุญเกรโกรีแห่งนาเซียนซัสบันทึกว่าอาจมีความแตกต่างกันบ้างในข้อเท็จจริง  แต่กระนั้นก็ดีท่านบันทึกว่า “ประชาชนทุกคนในเวลานี้ได้รายงานแก่เราและพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาถูกบังคับให้ไปที่ทางเข้าของเปลวไฟที่พุ่งขึ้นมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมันได้หยุดพวกเขาจากการก่อสร้าง”

Sozomen ก็ได้บันทึกไว้เช่นเดียวกันเกี่ยวกับไฟว่า “ความเป็นจริงนี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกกลัว  แต่ทุกคนเชื่อเช่นนั้น  ความคลาดเคลื่อนในการเล่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เปลวไฟลุกมาจากภายในพระวิหาร  ในขณะที่คนงานพยายามที่จะไปที่ทางเข้า  และบางคนเล่าว่าไฟมาจากพื้นแผ่นดิน  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  ปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์”  คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้บันทึกประดิษฐ์ประดอยขึ้นมาเอง

สิ่งที่ทำให้เรื่องราวนี้น่าเชื่อถืออีกประการหนึ่งก็คือ  นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันซึ่งเป็นคนนอกศาสนาชื่อ Ammianus Marcellinus ก็ได้บันทึกเรื่องของไฟประหลาดในหนังสือของเขาชื่อ Res Gestae (“things done”): http://orion.it.luc.edu/~avande1/jerusalem/sources/ammianus.htm

ลูกไฟที่น่ากลัวได้เผาไหม้ใกล้กับฐานรากของพระวิหาร  ทำให้คนงานไม่สามารถเข้าไปได้   คนงานบางคนก็ถูกไฟเผาไปด้วย  ดังนั้นงานทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงัก

นักประวัติศาสตร์ Ammianus Marcellinus ไม่ได้เรียกเหตุการณ์นี้ว่าอัศจรรย์  และไม่ได้ให้ความสำคัญ  ไม่นานเขาก็ลืมเหตุการณ์เหล่านั้น  แต่การบันทึกของเขารวมกับการบันทึกของนักประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนา 5 ท่านได้ยืนยันความจริงของเหตุการณ์นี้

เรื่องราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่นับว่าสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติคริสต์ศาสนา  เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อธิบายไม่ได้  มีนักประวัติศาสตร์หลายคนได้เห็นด้วยตนเองรวมทั้งนักประวัติศาสตร์นอกศาสนาคือ Ammianus Marcellinus ได้ยืนยันร่วมกันกับนักประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาด้วย  การบันทึกของเขาไม่มีอคติหรือการเอนเอียงเข้าข้างแต่อย่างใด

ในฐานะคริสตชน  เราย่อมเชื่อว่ามีอัศจรรย์ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน  อย่างเช่นอัศจรรย์การรักษาโรคแก่ผู้ป่วยที่ไม่มีทางรักษา  ซึ่งเป็นอัศจรรย์สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาการสถาปนาเป็นนักบุญ  แต่ก็ยังมีอัศจรรย์ใหญ่กว่าที่เกิดกับผู้คนจำนวนมาก  เช่น อัศจรรย์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์พระธรรมเก่า  ทะเลแดงแยกออกให้ชาวอิสราแอลเดินข้าม  กำแพงเมืองเยริโคพังทลาย  ลูกไฟตกจากท้องฟ้าเผาเมืองโซดมและโกโมรอห์  การหยุดยั้งการก่อสร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่ของจักรพรรดิจูเลียนผู้ละทิ้งความเชื่อ  ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พระเป็นเจ้าเข้ามาแทรกแซงในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น