หลังจากการปกครองของจักรพรรดิคอนสแตนติน
ก็มีจักรพรรดิองค์ต่อๆมาอีกหลายองค์
บางองค์ก็มีความเชื่อที่ผิดหลง
และบางองค์ก็เป็นคริสตชนที่เคร่งครัด
จักรพรรดิองค์หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียง
(ไม่ค่อยดี) คือ จักรพรรดิจูเลียนผู้ละทิ้งศาสนา
Warren Carroll นักประวัติศาสตร์คาทอลิกกล่าวว่า พระองค์เป็นผู้ที่ละทิ้งความเชื่อ
ด้วยเหตุผลส่วนพระองค์และด้วยจุดประสงค์บางประการ จูเลียนพยายามที่จะนำศาสนาดั้งเดิมของอาณาจักรโรมันกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เปิดวิหารเทพเจ้านอกศาสนาและสั่งให้มีการบูชายัญสัตว์ ส่วนโบสถ์คริสตศาสนาก็ถูกละเลยไม่ได้รับการอุดหนุนทั้งด้านการเงินและที่ดินจากทางการอีกต่อไป
จักรพรรดิจูเลียนดูหมิ่นความเชื่อคริสต์ศาสนามาก
พระองค์พยายามลบล้างการล้างบาปที่พระองค์เคยได้รับโดยทรงลงไปชโลมอาบร่างของพระองค์ในเลือดวัว
นักประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรบรรยายพระองค์ว่าเป็น “บุคคลที่ทำให้วิญญาณของตนเป็นบ้านของปีศาจ”
สำหรับจูเลียนแล้ว การเบียดเบียนและการไม่สนับสนุนทางการเงินแก่คริสต์ศาสนานั้นยังไม่เพียงพอ ในรัชสมัยที่สองของการปกครองของพระองค์คือในปี 362
พระองค์คิดแผนการอันชั่วช้าโดยการทำลายความเชื่อถือในองค์พระคริสต์ด้วยการลบล้างพระวาจาทำนายของพระคริสต์ใน
มัทธิว 24 ซึ่งกล่าวว่า ขณะนั้นบรรดาศิษย์ชี้ให้พระเยซูเจ้าดูพระวิหาร พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วใช่ไหม?
เรากล่าวแก่ท่านว่า จะไม่มีหินสักก้อนเดียวที่ซ้อนกันอยู่นี้ที่ไม่ถูกพังทลายลงมา”
และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นคือการทำลายพระวิหารในปีค.ศ. 70 ในระหว่างสงคราม
ยิว-โรมัน
วิธีการลบล้างของจักรพรรดินั้นก็ง่ายมาก นั่นคือพระองค์คิดจะสร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่
พระองค์มอบหมายให้เจ้าหน้าที่พิเศษของทางการไปควบคุมงานนี้ และจักรพรรดิจูเลียนก็จะได้รับความนิยมจากบรรดาชาวยิวหัวเก่าที่นับถือศาสนายิวที่มีอยู่ทั่วอาณาจักรโรมันอีกด้วย
ชาวยิวเหล่านั้นหลายคนได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อใช้สร้างพระวิหารใหม่นี้ และบางคนก็อาสาที่จะเป็นคนงานก่อสร้างด้วย ตามที่นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้
เครื่องมือพิเศษที่ทำด้วยเงินถูกนำมาใช้ในโอกาสนี้ ก้อนหินถูกสกัดมาใช้ กองทัพคนงานเข้าไปทำงานอย่างขมักเขม้น และทำงานจนถึงกลางคืน
แต่มีสัญญาณของความยุ่งยากเกิดขึ้นหลังจากทำงานในวันแรก
คนงานตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่าดินที่พวกเขาขุดขึ้นมาเมื่อวานนี้กลับไปอยู่ที่เดิมของมัน พวกเขาก็ยังทำงานต่อไปโดยขุดดินขึ้นมาใหม่ แต่”ทันทีทันใดเกิดลมแรงพัดมา
กลายเป็นพายุและลมหมุนทำให้ทุกอย่างกระจัดกระจายไปไกล” Theodoret.นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้เช่นนี้
เกิดภัยพิบัติขึ้นคือ แผ่นดินไหวบริเวณก่อสร้าง
ตามมาด้วยลูกไฟเผาผลาญรากฐานของพระวิหาร เผาไหม้คนงานบางคน และคนงานอื่นๆพากันตื่นตกใจ คนงานบางคนวิ่งเข้าไปหลบภัยในพระวิหารที่พระมารดาของจักรพรรดิคอนสแตนติน,พระนางเฮเลน,สร้างขึ้น แต่ก็มี”พลังที่มองไม่เห็น”มาปิดประตูทางเข้าพระวิหารต่อหน้าต่อตาของพวกเขา
นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่า เกิดภัยพิบัติเหมือนกับที่เกิดในประเทศอียิปต์
เช่นมี โรคระบาด
น้ำพุในวิหารเก่าหยุดไหล
เกิดความอดหยากขึ้น
เจ้าหน้าที่ของทางการสองคนที่กระทำทุรจารต่อภาชนะศักดิ์สิทธิ์ต้องประสบความตายอย่างอนาถ คนหนึ่งถูกหนอนชอนไช อีกคนร่างกายระเบิดแตกออก” (จากบันทึกของนักประวัติศาสตร์พระศาสนจักร)
อุบัติการณ์พิเศษที่สุดคือ การปรากฏของกางเขน ทั้งบนท้องฟ้า
หรือ เป็นประกายบนเสื้อผ้าของคนงาน
(บันทึกของนักประวัติศาสตร์พระศาสนจักรยุคแรก)
คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่า พระวิหารนั้นสร้างไม่สำเร็จ
เรื่องเล่าดังกล่าวแล้วนี้คือเหตุการณ์อัศจรรย์ที่หยุดยั้งการสร้างพระวิหารนั้นมีความน่าเชื่อถือสักเพียงไร? เรื่องที่เล่าข้างต้นนี้นำมาจากผู้บันทึกของพระศาสนจักร
5 คน ทุกคนมีชีวิตอยู่ในระหว่างเกิดเหตุการณ์และได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาของพวกเขาเอง ถึงแม้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันบ้างในรายละเอียดบางอย่าง แต่ทุกคนบันทึกสิ่งที่ตรงกัน 3 อย่างคือ – เกิดแผ่นดินไหว เกิดไฟลุกไหม้จากสถานที่บางแห่งที่อยู่ภายใต้พระวิหาร และการปรากฏของกางเขนอย่างอัศจรรย์
ผู้บันทึกสามคนเป็นนักประวัติศาสตร์พระศาสนจักร
คือ —Theodoret, Sozomen, and Socrates Scholasticus
บางทีคุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อของพวกเขามาก่อนและอาจไม่เชื่อถือพวกเขานัก แต่ถ้าเป็นนักบุญล่ะ อย่างเช่น นักบุญ ยอห์น คริสซอสโตม
และ นักบุญเกรโกรี่แห่งนาเซียนซัส
พวกท่านก็ได้บันทึกเรื่องราวการที่พระวิหารที่ถูกสร้างใหม่นี้ถูกทำลายด้วย
(อ่านบันทึกของพวกท่านได้ที่ http://www.newadvent.org/fathers/200104.htm และที่
http://www.tertullian.org/fathers/gregory_nazianzen_3_oration5.htm
http://www.tertullian.org/fathers/gregory_nazianzen_3_oration5.htm
ผู้บันทึกทั้ง
5
ท่านได้บันทึกภัยพิบัติที่เกิดในการก่อสร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นความจริงในประวัติศาสตร์ และผู้บันทึกบางคนยังได้พยายามประเมินความเป็นจริงของเรื่องราวนี้ด้วยตัวของท่านเอง นักบุญเกรโกรีแห่งนาเซียนซัสบันทึกว่าอาจมีความแตกต่างกันบ้างในข้อเท็จจริง แต่กระนั้นก็ดีท่านบันทึกว่า “ประชาชนทุกคนในเวลานี้ได้รายงานแก่เราและพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาถูกบังคับให้ไปที่ทางเข้าของเปลวไฟที่พุ่งขึ้นมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมันได้หยุดพวกเขาจากการก่อสร้าง”
Sozomen ก็ได้บันทึกไว้เช่นเดียวกันเกี่ยวกับไฟว่า “ความเป็นจริงนี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกกลัว แต่ทุกคนเชื่อเช่นนั้น
ความคลาดเคลื่อนในการเล่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เปลวไฟลุกมาจากภายในพระวิหาร ในขณะที่คนงานพยายามที่จะไปที่ทางเข้า และบางคนเล่าว่าไฟมาจากพื้นแผ่นดิน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้น
และเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์” คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้บันทึกประดิษฐ์ประดอยขึ้นมาเอง
สิ่งที่ทำให้เรื่องราวนี้น่าเชื่อถืออีกประการหนึ่งก็คือ
นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันซึ่งเป็นคนนอกศาสนาชื่อ Ammianus Marcellinus
ก็ได้บันทึกเรื่องของไฟประหลาดในหนังสือของเขาชื่อ Res Gestae (“things done”): http://orion.it.luc.edu/~avande1/jerusalem/sources/ammianus.htm
ลูกไฟที่น่ากลัวได้เผาไหม้ใกล้กับฐานรากของพระวิหาร ทำให้คนงานไม่สามารถเข้าไปได้ คนงานบางคนก็ถูกไฟเผาไปด้วย ดังนั้นงานทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงัก
นักประวัติศาสตร์
Ammianus
Marcellinus ไม่ได้เรียกเหตุการณ์นี้ว่าอัศจรรย์ และไม่ได้ให้ความสำคัญ ไม่นานเขาก็ลืมเหตุการณ์เหล่านั้น
แต่การบันทึกของเขารวมกับการบันทึกของนักประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนา 5
ท่านได้ยืนยันความจริงของเหตุการณ์นี้
เรื่องราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่นับว่าสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติคริสต์ศาสนา
เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อธิบายไม่ได้
มีนักประวัติศาสตร์หลายคนได้เห็นด้วยตนเองรวมทั้งนักประวัติศาสตร์นอกศาสนาคือ Ammianus Marcellinus
ได้ยืนยันร่วมกันกับนักประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาด้วย การบันทึกของเขาไม่มีอคติหรือการเอนเอียงเข้าข้างแต่อย่างใด
ในฐานะคริสตชน
เราย่อมเชื่อว่ามีอัศจรรย์ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน
อย่างเช่นอัศจรรย์การรักษาโรคแก่ผู้ป่วยที่ไม่มีทางรักษา ซึ่งเป็นอัศจรรย์สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาการสถาปนาเป็นนักบุญ แต่ก็ยังมีอัศจรรย์ใหญ่กว่าที่เกิดกับผู้คนจำนวนมาก เช่น
อัศจรรย์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์พระธรรมเก่า
ทะเลแดงแยกออกให้ชาวอิสราแอลเดินข้าม
กำแพงเมืองเยริโคพังทลาย
ลูกไฟตกจากท้องฟ้าเผาเมืองโซดมและโกโมรอห์
การหยุดยั้งการก่อสร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่ของจักรพรรดิจูเลียนผู้ละทิ้งความเชื่อ
ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พระเป็นเจ้าเข้ามาแทรกแซงในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น