จากหนังสือของซิสเตอร์เอ็มมานูแอล
...ทันใดนั้น ท่านก็ได้ยินเสียงของพระคริสต์ พระองค์ตรัสถามท่านว่า
“ลูกรัก เราอายุเท่าไร?”
คุณพ่อยอห์นตอบว่า “พระเจ้าข้า พระองค์อายุ 33 ปี”
“แล้วท่านล่ะอายุเท่าไร?” พระเยซูถาม
“ผมอายุ 51 ปีครับ” คุณพ่อยอห์นตอบ
พระเยซูตรัสต่อไปว่า “แล้วทำไมลูกจึงไม่เคยเอ่ยขอบคุณเราเลยล่ะ? เราให้อายุแก่ลูกมากกว่าเราถึง 18 ปีนะ เพราะเราตายตอนอายุ 33 ปี”
“ใช่แล้ว ลูกเสียใจ
โปรดให้อภัยแก่ลูกด้วยที่ไม่ได้ยินดีและขอบพระคุณสำหรับ 18
ปีที่พระองค์ประทานให้แก่ลูก”
“ยอห์น ลูกพูดถูกต้องแล้วเกี่ยวกับเรา แต่ลูกยังไม่รู้จักเราเลย จงลิ้มชิมเราเถิด”
(คุณพ่อยอห์นบอกว่าพระเยซูทรงย้ำที่คำว่า “ลิ้มชิมเรา”)
“พระเจ้าข้า
พระองค์ทรงประสงค์อะไรจึงตรัสกับลูกเช่นนี้?”
“ลูกรัก เราไม่ได้เจิมลูกให้เป็นเพียงคนงาน เราไม่ได้เจิมลูกให้เป็นเพียงผู้อภิบาล เราเจิมลูกให้เป็นตัวเรา เป็นตัวเราเอง”
คุณพ่อยอห์นตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “เป็นตัวเรา”
พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า
“เมื่อเรากำลังทนทุกข์ทรมานอยู่บนกางเขน เรารู้สึกถูกทอดทิ้ง
ถูกปฏิเสธ ถูกสาปแช่ง ถูกตอกตะปู
เรารู้สึกเจ็บปวดสาหัสที่สุดในสภาวะเช่นนั้น และในเวลานี้ ลูกเข้าใจแล้ว”
...คุณพ่อยอห์นเข้าใจในความจริงที่เกี่ยวกับพวกเราทุกคน ก่อนหน้านี้ ท่านได้ทำงานหนักเพื่อพระเจ้า จนทำให้ท่านขาดการสวดภาวนาซึ่งเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณมาก และโดยผ่านทางผู้พิการ พระเยซูเจ้าทรงทำให้ท่านเข้าใจว่า
พระองค์ทรงมีความคาดหวังจากพระสงฆ์ของพระองค์อย่างไร
พระองค์ประสงค์ให้พวกท่านทำงานของพระเจ้า มากกว่าทำงานเพื่อพระเจ้า หมายถึงงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้สำหรับพระสงฆ์เพื่อที่พวกท่านจะตระหนักถึงพระญาณสอดส่องในการที่ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆไว้อย่างเหมาะสม
---------------------
คำวิจารณ์หนังสือของคุณพ่อจาคส์
ฟิลิปเป
“หนังสือเล่มนี้ให้โอกาสแก่เราได้เห็นพระเมตตาต่อการงานต่างๆในชีวิตของเรา
พระเมตตามิใช่ความคิดที่เป็นนามธรรม
แต่เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนจำนวนมาก มีหลายบทในหนังสือที่แสดงให้เห็นถึงความรักของพระเป็นเจ้าที่ก่อเกิดในจิตใจของมนุษย์ในเวลาที่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งกำลังสิ้นหวังและได้ทำให้เกิดความหวังในชีวิตขึ้นใหม่
แรงบันดาลใจที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มาจากคำประพันธ์ที่กินใจ แต่มาจากตัวอย่างชีวิตของคนหลายคน....
“เรารักอิสรภาพ แต่โลกไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ของพลังแห่งเสรีภาพในการให้อภัย เราโหยหาเสรีภาพ
แต่ไม่ได้ทำอะไรที่จำเป็นเพื่อจะได้มันมา
การจะมีอิสระอย่างแท้จริง เราต้องให้อภัย
ตราบใดที่เรายังไม่ให้อภัยแก่ผู้ที่ทำร้ายเรา เราจะติดอยู่กับอดีต เราจะติดอยู่กับศัตรูผู้ที่เราตำหนิและเกลียดชัง
ความขื่นขมจะเกาะกุมหัวใจของเราและมันกีดกันอิสรภาพไปจากชีวิตของเรา การให้อภัยใครสักคนเป็นเรื่องยาก
มันอาจดูเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
การให้อภัยเป็นพระหรรษทานที่ต้องวอนขอด้วยการสวดภาวนาอย่างถ่อมตน และบางครั้งต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะบรรลุผล แต่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็น
ผู้ที่ไม่ยอมให้อภัยจะไม่พบกับสันติในจิตใจ
เขาจะมีความทุกข์และบาดแผลจะเจ็บลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
-------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น