วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

สาส์นแห่งอะคิตะและความลับข้อที่สามของฟาติมา



คำแปล          
วาสุลา ไรเด็น (ชีวิตแท้ในพระเจ้า)
ดิฉันได้รับเชิญจากบางคนให้ร่วมในการประชุมระดับนานาชาติเกี่ยวกับแม่พระแห่งอะกิตะ (Akita International Mariam convention)  ในวันที่ 26 พ.ย. 1992 ผู้ร่วมประชุมมีพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงได้แก่ คุณพ่อ เรเน เราเรนติน(Rene Laurentin) คุณพ่อไมเคิล โอคาโร(Michel O’Carrol) และพระสงฆ์อื่นๆรวมทั้งพระคาร์ดินัลวิดัล(Cardinal Vidal) ท่าน (สังฆราชอิโตะ - พระสังฆราชแห่งอะคิตะ) พูดกับพวกเราถึงสาส์นของแม่พระแห่งอะคิตะ และซิสเตอร์อักเนส
ท่านพูดบางอย่างที่ทำให้เราประหลาดใจ นั่นคือ เมื่อตอนที่ท่านไปที่โรมเพื่อยื่นเอกสารสาส์นจากอะคิตะส่งให้สันตสำนักทำการพิจารณาสอบสวน ท่านได้พบกับพระคาร์ดินัลรัทซิงเกอร์  จึงได้เล่าเรื่องของซิสเตอร์อักเนสและสาส์น  และพระคาร์ดินัลรัทซิงเกอร์พูดว่าให้ทิ้งเอกสารไว้กับท่าน  ท่านจะอ่านดูและพิจารณาว่าจะทำอะไรได้บ้าง  ในวันต่อมาพระสังฆราชอิโตะไปพบกับพระคาร์ดินัลรัทซิงเกอร์อีก  พระคาร์ดินัลรัทซิงเกอร์ทำให้ท่านประหลาดใจโดยพูดว่า  ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องดังกล่าวมา  พระสังฆราชอิโตะถามว่าทำไม? 
พระคาร์ดินัลรัทซิงเกอร์ตอบว่า “เพราะสาส์นแห่งอะคิตะก็คือสาส์นความลับข้อที่สามของฟาติมา  ผมจึงไม่จำเป็นต้องสอบสวนเรื่องนี้”
เมื่อเราได้ฟังพระสังฆราชเล่าเรื่องนี้  เราก็ร้องด้วยความประหลาดใจ “ว้าว” เพราะเราไม่ได้ฟังเรื่องนี้จากแหล่งอื่น  แต่ได้ฟังจากปากพระสังฆราชอิโตะโดยตรงเลย
เนื้อหาในสาส์นแห่งอะคิตะตรงกับความลับข้อที่สามของฟาติมาคำต่อคำ

-------------------------------------------------



สาส์นแห่งอะกิตะ

". . . ถ้ามนุษย์ไม่ยอมเป็นทุกข์ถึงบาปและกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ พระบิดาจะลงโทษมนุษย์ทั้งโลกอย่างน่าหวาดกลัวสยองขวัญ โทษครั้งนี้จะหนักยิ่งกว่าครั้งน้ำมหาวินาศท่วมโลก ชนิดที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อน ไฟจะหล่นจากฟ้า มนุษย์ส่วนใหญ่ทั้งคนดีและคนชั่วจะตายทันที ไม่ยกเว้นพระสงฆ์หรือผู้ชอบธรรม คนที่รอดตายจะโศกเศร้าเสียใจและอิจฉาคนที่ตายไปแล้ว อาวุธเดียวที่เหลืออยู่สำหรับลูก คือ สายประคำและเครื่องหมายสำคัญมหากางเขนของพระบุตร ทุกๆวันจงสวดสายประคำ และอุทิศให้พระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์ ปิศาจจะบ่อนทำลายพระศาสนจักร พระคาร์ดินัลจะขัดแย้งกันเอง พระสังฆราชจะเป็นปรปักษ์ต่อกัน พระสงฆ์ที่เคารพนับถือแม่จะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และต่อต้านจากเพื่อนพระสงฆ์ด้วยกัน โจรผู้ร้ายจะเข้าไปในวัดวาอารามทำลายและทุราจารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนจักรจะเต็มไปด้วยผู้ที่ยอมรับการประนีประนอม ปิศาจจะกดดันพระสงฆ์และนักบวชหลายๆองค์ให้ลาออกจากการรับใช้พระเยซูเจ้า

จิตชั่วร้ายจะเล่นงานคนที่ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าอย่างหนักหน่วง เมื่อคิดถึงวิญญาณมากมายที่จะต้องพินาศไป แม่รู้สึกทุกข์ระทมขมขื่นยิ่งนัก ถ้าบาปเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและความหนักหนาสาหัส ก็จะไม่มีการให้อภัย

. . . จงสวดสายประคำบ่อยๆ แม่ผู้เดียวเท่านั้นสามารถช่วยลูกให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆซึ่งกำลังจะมา คนที่ฝากความวางใจไว้กับแม่จะรอด"

--------------------------------

สาส์นความลับแห่งฟาติมาข้อที่สามได้รับการเปิดเผยต่อโลกโดยพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2ในปีค.ศ. 2000 หลังจากที่พระองค์ทรงถูกลอบปลงพระชนม์จนเกือบเสียชีวิต

ผู้ที่ศึกษาในเรื่องนี้ระบุว่าความลับของฟาติมามีสองส่วน  ส่วนแรกเป็นเรื่องของ พระสังฆราชในชุดขาว ซึ่งถูกเปิดเผยแล้วในปี 2000  อีกส่วนหนึ่งน่าจะเขียนขึ้นในเวลาอื่นและถูกส่งไปภายหลังและถูกพิจารณาว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ ความลับจากทางวาติกัน

สาส์นความลับส่วนที่สองที่ไม่ถูกเปิดเผยก็คือสาส์นแห่งอะกิตะนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีสาส์นอื่นที่อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของความลับข้อที่สามซึ่งไม่ถูกเปิดเผยด้วย  แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาแล้วไม่ปรากฏว่ามีอยู่ในสาส์นแห่งอะกิตะ  ดังนั้นสาส์นนั้นจึงไม่น่าเชื่อว่าเป็นสาส์นที่แท้จริง

เหตุการณ์ตามสาส์นแห่งอะกิตะจะเกิดขึ้นหรือไม่? ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราเอง  ว่าได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแม่พระหรือไม่  นั่นคือ การกลับใจใช้โทษบาป  สวดภาวนา ทำพลีกรรม  ฯลฯ  ดังนั้นอย่ารอให้เวลามาถึงและเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนเลย  ให้เราเริ่มทำตามคำแนะนำของแม่พระเสียตั้งแต่บัดนี้จะดีกว่า

---------------------------------

ความลับฟาติมาข้อที่ 3 ส่วนแรกที่ถูกเปิดเผยแล้ว

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันเขียนเพื่อนบนอบต่อพระองค์ ผู้ทรงบัญชาดิฉันทางพระสังฆราช เลอิเรีย และผ่านทางพระมารดาของพระองค์และมารดาของดิฉันเอง

หลังจากที่ดิฉันได้รับทราบความลับ 2 ข้อที่ดิฉันได้ชี้แจงไปแล้ว ดิฉันก็ได้เห็น ณ เบื้องซ้ายของพระมารดา แต่เยื้องสูงขึ้นนิดหน่อย มีเทวดาองค์หนึ่งถือดาบเปลวเพลิงในมือซ้าย แสงแลบแปลบปลาบเพลิงร้อนราวกับจะเผาโลกให้สิ้นไปทั้งโลก แต่มันก็ดับวูบไปเมื่อปะทะกับความรุ่งโรจน์ที่ฉายออกจากพระหัตถ์ขวาของพระมารดาพุ่งไปทางเทวดา พลางเทวดาก็ยื่นมือขวาชี้ลงสู่โลกพลางร้องเสียงดังว่าใช้โทษบาป ใช้โทษบาป ใช้โทษบาป

ต่อมาเราทั้งสามได้เห็นพระเจ้าในดวงแสงมหึมาซึ่งเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง "เห็นเหมือนคนเดินผ่านกระจกเงา" เราเห็นสังฆราชองค์หนึ่งในชุดขาว เราเชื่อว่าเป็นพระสันตะปาปา และเห็นพระสังฆราชองค์อื่นๆอีกมาก พระสงฆ์ นับบวชชายหญิง กำลังปีนขึ้นภูเขาสูงชัน บนยอดเขามีไม้กางเขนใหญ่ตัดมาจากลำต้นอย่างหยาบ ๆ ดูเหมือนจะเป็นไม้คอร์กยังมีเปลือกติดอยู่ ขณะที่เดินทางไปที่ยอดเขา พระสันตะปาปาต้องทรงดำเนินผ่านเมืองใหญ่ที่ถูกทำลายยับเยินไปครึ่งเมือง อีกครึ่งเมืองมีเสียงดังเหมือนคนกำลังย่ำเท้าเดิน พระองค์ดำเนินไปพลาง หยุดพลาง ด้วยพระวรกายสั่นเทา ทรงปวดร้าวเศร้าโศกในพระทัย ทรงภาวนาอุทิศส่วนกุศลแด่ดวงวิญญาณที่ทิ้งศพไว้ให้เห็นตลอดทาง

ครั้นถึงยอดเขาพระสันตะปาปาทรงคุกเข่าลงแทบเชิงไม้กางเขนใหญ่ ทรงถูกทหารกลุ่มหนึ่งยิงปืนและธนูใส่พระองค์จนเสียชีวิต และยิงใส่บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวชชายหญิงและ ฆราวาสอีกมากมายที่มีตำแหน่งหน้าที่ต่างๆจนเสียชีวิตทั้งหมด ที่ใต้ไม้กางเขน 2 ข้างนั้น มีเทวดา 2 องค์ ถือภาชนะผลึกแก้วรองรับโลหิตของมรณสักขีเหล่านั้น เทวดาใช้ที่สาดน้ำเสกจุ่มลงในโลหิตของมรณสักขี แล้วสาดลงบนดวงวิญญาณทั้งหลายที่กำลังเดินทางไปหาพระเจ้า

ลงชื่อลูเชีย
เขียนเมื่อวันอังคารที่ 3 มกราคม ค.ศ.1944

คำอธิบายของพระคาร์ดินัลรัตซิงเกอร์

ภูเขาและเมืองเป็นสัญลักษ์ถึงเวทีในประวัติศาสตร์ ไม้กางเขนคือเป้าหมายชี้แนะประวัติศาสตร์ ไม้กางเขนเปลี่ยนแปลงการทำลายล้าง ให้เป็นความรอดของวิญญาณ เป็นเครื่องหมายของความทุกข์ทรมานในประวัติศาสตร์ และก็เป็นพระสัญญาสำหรับประวัติศาสตร์ หนทางของพระศาสนจักรเป็นทางกางเขนต้องผ่านความร้ายรุนแรง การทำลายและการเบียดเบียน ศตวรรษที่แล้วเป็นศตวรรษแห่งมรณสักขี ศตวรรษแห่งทุกข์ทรมานและการเบียดเบียนของพระศาสนจักร ศตวรรษแห่งสงครามโลกและสงครามย่อยอีกมากมาย ระหว่างปีที่แล้วมา ได้มีความทรมานโหดเหี้ยมเกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่พระสันตปาปาบีโอ ที่ 10 ถึงองค์ปัจจุบัน ทุกพระองค์มีส่วนร่วมความทุกข์ยากแห่งศตวรรษ ต้องเดินทางผ่านความระทมทุกข์สู่ไม้กางเขน

พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันก็เกือบสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้ทรงชี้แจงว่า ที่รอดพระชนม์ชีพมาได้นั้นเพราะ "พระหัตถ์ของพระแม่ได้ปัดลูกปืนจากวิถี และตรีทูตหยุดที่ธรณีประตูแห่งความตายพอดี" ( พฤษภาคม 1994) แสดงว่าความเชื่อและคำภาวนา สามารถเปลี่ยนกระแสประวัติศาสตร์ได้ ไม่มีอะไรถูกลิขิตดิ้นไม่หลุด ในที่สุด
            -------------------------------    

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น