ข้อความข้างล่างนี้นำมาจากการบรรยายทางวิชาการของ พระคาร์ดินัล โจเซฟ รัทซิงเกอร์ (พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16) ออกอากาศทางวิทยุในบาวาเรีย ปี 1969
"จากวิกฤตการณ์ของโลกและพระศาสนจักรในปัจจุบัน อาจจะทำให้พระศาสนจักรสูญเสียผู้มีความเชื่อไปเป็นจำนวนมาก พระศาสนจักรอาจจะมีขนาดเล็กลง แล้วค่อยขยายตัวใหญ่ขึ้น เหมือนในยุคเริ่มแรกของพระศาสนจักร พระศาสนจักรอาจไม่สามารถแบกรับภาระของโบสถ์จำนวนมากได้เหมือนดังสมัยที่รุ่งเรือง อันเนื่องมาจากจำนวนผู้มีความเชื่อที่ลดลง เธออาจจะสูญเสียสิทธิพิเศษที่เคยมีในสังคมไปเป็นอันมาก แต่เธอจะเป็นชุมชนแห่งผู้อุทิศตนเพื่อผู้อื่นมากยิ่งๆขึ้น....ในการเป็นพระศาสนจักรที่เล็กลง เธอต้องการความเสียสละจากผู้มีความเชื่อมากกว่าแต่ก่อน และจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของการอภิบาลรับใช้ เพื่อทำให้ฐานันดรสงฆ์ได้พิสูจน์ถึงความเป็นคริสตชนต่อผู้อื่น.....จะกำเนิดพระศาสนจักรฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ว่าจะเป็นขวาหรือซ้าย สิ่งนี้จะสัมฤทธิ์ผลได้ด้วยความพยายามอย่างหนัก เพราะการทำให้เป้าประสงค์ตกผลึกและมีความกระจ่างชัดจำเป็นต้องใช้แรงผลักดันมหาศาล ความพยายามนี้จะทำให้พระศาสนจักรมีจิตใจยากจนและเป็นพระศาสนจักรของประชาชนผู้ต่ำต้อย...ทั้งหมดนี้จะต้องใช้เวลา กระบวนการนี้จะเป็นไปอย่างช้าๆและเจ็บปวด"
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ตรัสไว้เมื่อ 49 ปีที่แล้วและดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้......ใช่หรือไม่?
ผู้ที่คิดว่าพระศาสนจักรของพระเยซูเจ้าอาจล่มสลายลงได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง คงไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์หรือรู้จักพระเยซูเจ้าอย่างดีพอ......ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นกับพระศาสนจักรหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งพระศาสนจักรรอดพ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เหตุการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลดีต่อพระศาสนจักรด้วย เพราะทำให้พระศาสนจักรถูกชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ พระศาสนจักรมีความเรียบง่ายขึ้น และ มีความบริสุทธ์มากยิ่งขึ้น สมดังที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่นักบุญเปโตรว่า "ท่านคือศิลา บนศีลานี้เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา และประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรนี้ได้" (มธ. 16: 18-19)
ในปัจจุบันนี้ พระศาสนจักรก็ยังประสพปัญหาอยู่ ซึ่งเรารับรู้ได้จากข่าวต่างๆในสื่อ และหนังสือพิมพ์ อาทิเช่น การต่อต้านหลายครั้งต่อคำสอนและต่อองค์พระสันตะปาปา ภาพยนตร์ที่บิดเบือนความเชื่อ ลัทธิวัตถุนิยมสุขนิยมและวิทยาศาสตร์ที่ชักนำคนให้ละทิ้งศาสนา และปัญหาในพระศาสนจักรเอง เช่น เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับพระสงฆ์ การปฏิรูปศาสนาของโปรแตสแตนท์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เราต้องเชื่อมั่นในพระเยซูเจ้า ผู้ทรงก่อตั้งพระศาสนจักรนี้ขึ้นมา พระศาสนจักรจะไม่สูญสลาย แต่อาจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะทำให้พระศาสนจักรดีขึ้น สมบูรณ์ขึ้น จำนวนผู้มีความเชื่อจะมากหรือน้อยไม่ใช่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ประสงค์ให้มีผู้ที่มีความเชื่อที่แท้จริง ผู้ที่รักพระองค์อย่างแท้จริง ผู้ที่เสียสละอย่างแท้จริงเหมือนพระองค์ แบบอย่างของพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ทำให้เราเมื่อมองเห็นพระองค์ เรารู้สึกได้ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้าอีกองค์หนึ่งซึ่งมาอยู่กับเราในโลกนี้ ประวัติศาสตร์พระศาสนจักรเป็นประจักษ์พยานว่าพระเยซูเจ้ามิได้ทรงจากพวกเราไปไหน พระองค์ยังทรงอยู่กับพวกเราเสมอ ตามที่พระองค์ตรัสว่า "เราจะอยู่กับท่านเสมอไปตราบจนสิ้นพิภพ"( มธ. 28 : 20 )
********************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น