วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562

ชีวประวัติของเทเรซา มุสโก



เทเรซา มุสโค – ผู้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์
 
ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเรารู้จักกันดีมีเพียงไม่กี่คน อาทิเช่น นักบุญฟรังซิส อัสซีซี คุณพ่อปีโอ เป็นต้น แต่แท้จริงแล้วในพระศาสนจักรคาทอลิก มีผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์นับร้อยคน พวกเขามีชีวิตอยู่ในแต่ละยุคแต่ละสมัย คนเหล่านี้เป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรให้เป็นผู้ร่วมทุกข์กับพระคริสตเจ้าเพื่อชดเชยใช้โทษบาปแทนมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับพวกเขา นอกจากนี้พวกเขายังเป็นพยานหลักฐานที่มีชีวิตของพระมหาทรมานและรอยบาดแผลของพระเยซูเจ้าอีกด้วย พวกเขาเป็นเหมือนพระคริสตเจ้า ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ที่มือ เท้า ศีรษะ และที่สีข้าง ถ้าหากปราศจากผู้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ โทษทัณฑ์ที่โลกได้รับอาจจะสาหัสยิ่งนัก และคนบาปเป็นจำนวนมากที่จะต้องสูญเสียไป เพราะบาปที่มนุษย์ก่อขึ้นอย่างมากมาย
 
เทเรซา มุสโค เป็นหนึ่งในบรรดาผู้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ เหล่านั้น ชีวิตของเธอนั้นน่าอัศจรรย์ใจ พระเยซูเจ้าและแม่พระได้ทรงติดต่อกับเธอตั้งแต่ในวัยเด็ก เพื่อเตรียมเธอให้เป็นผู้ร่วมทุกข์กับพระเยซูเจ้า พระอาจารย์เจ้าของเธอ
 
เทเรซา มุสโค เกิดวันที่ 7 มิ.ย. 1943 ที่หมู่บ้านเล็กๆใน Caiazzo (ปัจจุบันคือ Caserta) อิตาลี บิดาชื่อ ซัลวาโตเร มุสโค เป็นเกษตรกร ส่วนมารดาชื่อ โรซา ทั้งสองมีลูก 10 คน แต่ลูก 4 คนเสียชีวิตตั้งยังเป็นเด็ก ครอบครัวที่ยากจนนี้อยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี
 
มารดาของเทเรซา เป็นสตรีที่จิตใจอ่อนโยน ใจเย็นและเมตตาต่อผู้อื่น เธอเชื่อฟังสามีเสมอ ส่วนนายซัลวาโตเร บิดาของเทเรซานั้นเล่ากลับเป็นคนใจร้อนและโมโหง่าย คำพูดของเขาถือเป็นคำสั่งเป็นกฏหมายที่ทุกคนต้องเชื่อฟัง และเป็นเพราะอารมณ์ร้อนของเขานี่เองจึงทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องเดือดร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เทเรซา ที่ มักได้รับผลกระทบจากความโหดร้ายของเขาอยู่บ่อยๆ
 
ความยากลำบากในวัยเด็ก
 
ในเวลาที่เทเรซาเกิดนั้น สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังแพร่กระจายไปทั่วยุโรป ก่อให้เกิดความทุกข์ยากลำบากและความยากจนแก่ชาวบ้านทั่วไป ครอบครัวของเทเรซาก็ได้รับผลกระทบนี้ด้วย บ่อยครั้งที่ครอบครัวไม่มีอาหารและสิ่งจำเป็นในชีวิต สิ่งนี้ทำให้ซัลวาโตเร บิดาของเธอมีความเครียดมาก และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขามีอารมณ์ร้าย เขาชอบสบถสาบานบ่อยๆ ส่วนเทเรซาเริ่มทำงานบ้านตั้งแต่เยาว์วัย และทำให้เธอเรียนรู้ที่จะเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ตลอดชีวิตของเธอนั้นก็เป็นการเสียสละเช่นนี้ ครั้งหนึ่งเธอเจ็บป่วยจากหลายโรค ซึ่งคงเป็นเพราะภาวะการขาดสารอาหารด้วยเพราะความยากจนนั่นเอง อย่างไรก็ตามน่าสังเกตว่า เมื่อเทเรซาเจริญวัยขึ้น ความศรัทธาและการสวดภาวนาของเธอก็ก้าวหน้ามากขึ้นด้วย อันเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดานักสำหรับเด็กในวัยเช่นเธอ
 
แม่พระประจักษ์มา
 
เมื่อเทเรซาอายุ 5 ขวบ เธอได้เห็นลูกเห็บตกเป็นครั้งแรก เธอรีบวิ่งออกมาจากบ้านโดยไม่รู้ถึงอันตรายของมัน เธอยกแขนขึ้นพยายามที่จะจับลูกเห็บ บิดาของเธอเห็นเข้า เขารีบวิ่งตามมาทันทีและตบเธอเข้าที่ใบหน้าและดึงเธอกลับเข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน “สตรีที่งดงามมาก” ได้ประจักษ์มาและเทเรซาทูลพระนางเกี่ยวกับการที่เธอถูกบิดาตบหน้า แต่สตรีนั้นบอกกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “ลูกรัก พ่อของลูกมีความปรารถนาดีต่อลูกนะ และท่านไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายลูกเลย”
 
เชื่อว่านี่เป็นการประจักษ์ครั้งแรกของแม่พระแก่เทเรซา แต่หลังจากนั้นแม่พระก็ทรงมาพบกับเธอบ่อยๆ ชีวิตในช่วงนี้ เธอได้รับการแนะนำจากแม่พระหลายประการ เทเรซาได้เขียนในสมุดบันทึกไว้ว่า
 
“ดิฉันต้องกล่าวว่า ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ พระมารดาสวรรค์ทรงแนะนำสั่งสอนดิฉันเป็นพิเศษ พระนางทรงอยู่กับดิฉันเวลาที่ดิฉันทำงานบ้าน เวลาที่สวดภาวนา แม้แต่ในเวลาที่ดิฉันกำลังเล่น ดิฉันก็รู้สึกว่าถูกเรียก เมื่อดิฉันป่วย พระนางทรงประทับอยู่ใกล้ดิฉัน พระนางทรงปกป้องดิฉันและบรรเทาใจดิฉัน สิ่งหนึ่งที่พระนางย้ำเตือนดิฉันก็คือ ‘จงมอบถวายการพลีกรรมเสียสละและความทุกข์ของลูกเพื่อคนบาป’
 
วันหนึ่ง ขณะที่เทเรซายังเยาว์วัย พระเยซูเจ้าทรงถามเธอว่า
“เทเรซา ลูกรักเราไหม?”
เด็กน้อยตอบทันทีว่า “รักค่ะ”
แล้วเธอถามพระเยซูเจ้าว่า “และพระองค์ ทรงรักลูกหรือไม่คะ?”
พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เรารักลูกมากจนกระทั่ง เราปรารถนาที่จะถูกตรึงกางเขนอีกครั้งเพื่อลูก”
แล้วพระองค์ถามเธออีกว่า “เทเรซา ลูกรักเราไหม?” ทำให้เทเรซาเต็มตื้นในหัวใจ เธอตอบด้วยความยินดีว่า “ใช่ค่ะ ใช่ ลูกรักพระองค์เสมอ” (จากสมุดบันทึกของเธอ)
 
พระเยซูเจ้าทรงขอร้องให้เธอเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เพื่อการกลับใจและความรอดของคนบาป และเธอตอบพระองค์ว่า “ได้ค่ะ” ทำให้เธอใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์และเป็นเหมือนพระองค์ เธอจะต้องทนทุกข์และเรียนรู้ที่จะเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงแต่เธอได้รับการแนะนำจากพระยซูเจ้าและแม่พระตั้งแต่วัยเยาว์เท่านั้น เธอยังได้รับการแนะนำจากอารักขเทวดาของเธออีกด้วย ท่านสอนให้เธอทำพลีกรรมเสียสละตนเองและมอบถวายสิ่งนั้นแด่พระเยซูเจ้า
 
สำหรับเทเรซา หนทางแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าเป็นหนทางแห่งกางเขน พระเยซูเจ้าทรงบอกกับเธอแล้ว เมื่อพระองค์ปรากฏให้เธอเห็นในนิมิตโดยพระองค์กำลังทรงแบกกางเขน รับทรมานและหลั่งพระโลหิตไปตามทาง จากสมุดบันทึกของเธอ เธอเขียนไว้ว่า “ดิฉันอยู่เพียงลำพังที่บ้านเมื่อพระเยซูเจ้าทรงปรากฏมาพร้อมด้วยกางเขนใหญ่บนบ่าของพระองค์ มีรอยบาดแผลใหญ่มากมายบนส่วนหลังของพระวรกาย ดิฉันใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดพระโลหิตที่หลั่งลงมาจากพระพักตร์และรอยบาดแผลต่างๆ”
 
จะเป็นหนทางอื่นไม่ได้ เธอเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ที่แท้จริง เธอเลือกที่จะเดินบนหนทางแห่งกางเขน ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังอาสาที่จะรับความเจ็บปวดและความทุกข์เพื่อความรอดของคนบาป ตามที่เธอได้บันทึกไว้ “ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ดิฉันได้พบหนทางแห่งความทุกข์ ดิฉันนำเชือกมาเส้นหนึ่งและผูกปมไว้หลายๆปม แล้วมัดเชือกไว้รอบเอว ความเจ็บปวดทุกครั้งและบาดแผลทุกรอยเป็นการพลีกรรมเพื่อคนบาป เพื่อวิญญาณในไฟชำระ เพื่อวิญญาณที่อยู่ในอันตรายที่จะไปนรกและเพื่อคนที่ทำบาปผิดต่อความบริสุทธิ์....”
 
ความยากจน
 
เวลานั้นครอบครัวของเธอยากจนมาก สถานการณ์ก็เลวร้ายลงเรื่อยๆเพราะเกิดโรคหวัดระบาด ทุกคนในครอบครัวเจ็บป่วยต้องนอนซมบนเตียง เทเรซาหันไปหาแม่พระอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ และทูตสวรรค์ก็ปรากฏมาหาเธอ ท่านพูดกับเธอ “พระมารดาสวรรค์ทรงส่งฉันมาหาเธอเพื่อนำเงินนี้มาให้ มันมากพอสำหรับเลี้ยงชีวิตได้หนึ่งอาทิตย์ แต่อย่าบอกใครว่าเธอได้รับเงินนี้ได้อย่างไร ต้องเก็บไว้เป็นความลับ..”
 
เมื่อเทเรซานำเงินไปให้มารดาของเธอ แม่ของเธอรับเงินไว้ด้วยความยินดีและนำไปซื้อของที่ร้านค้า แต่เทเรซาต้องเผชิญหน้ากับบิดาด้วยความกลัว ของต้องการรู้ว่าใครให้เงินนี้แก่เธอและด้วยเหตุผลใด? เทเรซาไม่ได้บอกเขา ตามที่ทูตสวรรค์ได้สั่งไว้ ดังนั้นบิดาของเธอจึงกล่าวหาว่าเธอขโมยเงิน เขาตบตีและดุด่าเธอ
 
เพื่อเป็นการลงโทษ บิดาได้สั่งให้เธอไปกับแม่ทุกเช้าเพื่อขายผัก มันเป็นงานที่หนักมาก ทั้งสองต้องตื่นนอนตั้งแต่เวลา 4.00 น. บรรทุกผักและนำไปที่ตลาดซึ่งอยู่ไกลหลายกิโลเมตร ทั้งสองจะต้องยืนอยู่ที่ตลาดทั้งวันและต้องขายผักให้หมด ทุกวันทั้งสองจะทำงานนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ไปสุดสิ้นประมาณเวลาบ่าย ในเวลาเย็นแม่ลูกก็จะกลับบ้านด้วยความอ่อนเพลีย แล้วบิดาต้อนรับพวกเขาอย่างไร? เขาจะโกรธและไม่พอใจทุกครั้ง เขาจะดุด่าและบ่อยครั้งก็สั่งให้ไปนอนโดยไม่ให้ทานอะไรเลย “มันเป็นชีวิตของสุนัข” เทเรซาเขียนไว้ในสมุดไดอารี่ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ หรือไม่ก็อนุญาตให้เกิดขึ้น เพื่อผลักดันให้เธอรู้จักที่จะเสียสละตนเองและทนทุกข์ตั้งแต่เยาว์วัย
 
แม่พระทรงประจักษ์มาอีก
 
วันที่ 11 กรกฏาคม 1950 เมื่อเทเรซาอายุ 7 ขวบ แม่พระทรงประจักษ์มาหาเธอและตรัสกับเธอว่า
“ลูกสาวของแม่ ลูกจะถูกขอร้องให้รับความทุกข์มากมาย ลูกจะต้องไปอยู่ในโรงพยาบาลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จากนายแพทย์คนหนึ่งไปสู่นายแพทย์อีกคนหนึ่ง แต่จะไม่มีใครที่สามารถช่วยรักษาลูกให้หายจากโรคที่พระเป็นเจ้าทรงส่งมาให้ลูก เพราะมนุษย์มากมายได้แทงดวงพระทัยขององค์พระบุตรของแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าพวกเขาไม่กลับใจ พระเป็นเจ้าจะทรงส่งโทษทัณฑ์และพิบัติภัยมาสู่โลกนี้ เพราะฉะนั้น แม่จึงขอร้องให้ลูกสวดภาวนาและทำการชดเชยใช้โทษบาป”
 
ถูกเรียกให้เสียสละทำพลีกรรมและยอมรับความทุกข์
 
ด้วยความรักต่อพระเยซูเจ้าและเพื่อการกลับใจของคนบาป เทเรซาปรารถนาที่จะรับความทุกข์ทุกประการที่พระเป็นเจ้าทรงส่งมาให้เธอ และเธอก็ไม่ต้องรอนาน มันเริ่มต้นด้วยอาการปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้สูงและเข่าข้างหนึ่งบวมเป่ง จนนายแพทย์ตัดสินใจว่าต้องผ่าตัด แต่ไม่อาจทำได้ โรคนี้เป็นเหตุให้เธอเจ็บปวดอย่างรุนแรง หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีเธอก็เป็นโรคปอดบวมที่ปอดข้างซ้าย
 
ขณะที่วันคืนแห่งวัยรุ่นค่อยๆผ่านพ้นไป เธอต้องเข้าโรงพยาบาลหลายแห่ง เธอได้รับการผ่าตัดประมาณ 117 ครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ร่างกายของเธอผ่ายผอม ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยรอยแผลและรูเล็กๆหลายรู
 
วันที่ 1 สิงหาคม 1952 ขณะที่เทเรซาอายุ 9 ขวบ เวลานั้นเธอกำลังนอนหลับ เธอพบตัวเองอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยหนาม แล้วเธอก็พบกับพระเยซูเจ้า พระองค์ถามเธอว่า
 
“ลูกสาวน้อยๆของเรา ลูกจะช่วยให้เราลงจากกางเขนนี้สักครู่หนึ่งได้ไหม?”
“ได้สิคะ” เธอตอบทันที และเวลานั้นเองเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนจับเธอไว้แน่น กางแขนของเธอออกไปติดบนกางเขนและตอกตะปูบนมือของเธอ
 
เมื่อเทเรซาตื่นขึ้นมา เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากรอยบาดแผลบนมือ เท้า และหัวใจของเธอ ตอนแรกเธอรู้สึกตกใจ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ถึงภาพนิมิตของคุณพ่อปีโอ ที่ได้แสดงให้เธอเห็นรอยบาดแผลศักดิ์สิทธิ์ของท่าน และบอกเธอว่า “วันหนึ่ง เธอจะเป็นเหมือนฉัน”
 
ความคิดนี้บรรเทาใจของเธอ แล้วเธอก็สงสัยว่าเหตุใดพระเยซูเจ้าจึงทรงเลือกเธอผู้เป็นแต่เพียงเด็กยากจนธรรมดา เธอคิดว่าเธอมีค่าไม่เพียงพอเลย แต่ในไม่ช้าพระเยซูเจ้าก็ทรงให้คำตอบแก่เธอ “เพราะไม่มีใคร”..
 
“ลูกสาวของเรา เราพอใจที่จะเลือกคนที่สุภาพ ถ่อมตน และต้อยต่ำ”
 
ไม่กี่วันต่อมา รอยแผลนั้นก็หายไปเป็นการชั่วคราว แต่จะกลับมาอีกในเวลาไม่กี่ปีต่อมา
 
วันที่ 1 พฤศจิกายน 1952 ขณะที่เทเรซากำลังสวดภาวนา สวรรค์ได้ประทานนิมิตให้เธอเห็น เทเรซาได้เห็นเสาต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนยอดของเสาต้นนั้น พระสันตะปาปาทรงประทับยืนอยู่โดยมีโซ่ทองที่คอยช่วยประคองพระองค์ไว้ เสาเป็นเครื่องหมาย หมายถึงพระศาสนจักร กำลังโอนเอนไปมา แล้วทันใดนั้นเทเรซาก็ได้ยินเสียงร้องว่า
 
“ลูกต้องการช่วยประคองเสาต้นนั้นสำหรับเวลาแห่งความยุ่งยากหรือไม่?”
คำถามนี้ทำให้เทเรซากังวลใจ แต่เธอก็ตอบโดยไม่ลังเล
“ได้ค่ะ ขอให้น้ำพระทัยของพระองค์จงสำเร็จไป”
 
ไม่กี่วันต่อมา เทเรซาได้เห็นในความฝัน “มีประชาชนจำนวนมากกำลังด่าแช่ง และจากดวงตา หู และ ปากของพวกเขามีเปลวไฟร้อนแรงพ่นออกมา และในทันทีที่ออกมามันได้กลายเป็นงูที่น่าเกลียด ‘หลังจากความฝันนี้’ เทเรซาเขียนไว้ ‘ดิฉันรู้สึกหวาดหวั่นว่าบิดาของดิฉันจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้า ถ้าหากท่านยังคงพูดสบถสาบาน ดังนั้นดิฉันจึงเล่าความฝันให้บิดาของดิฉันฟัง’
 
ความฝันที่เธอเล่าให้บิดาฟังนี้มีผลทำให้เขาพูดสบถสาบานน้อยลง ขณะเดียวกัน เทเรซาก็สวดภาวนาอย่างต่อเนื่องและพลีกรรมเพื่อพระสงฆ์ พระศาสนจักร วิญญาณของผู้ตาย และเพื่อผู้ที่ทำบาปผิดต่อความบิรสุทธิ์และผู้ที่กล่าวคำผรุสวาท
 
ได้รับความทุกข์จากบิดา

การรับศีลมหาสนิทเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเทเรซา เธอไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยปราศจากศีลมหาสนิท แต่บิดาคอยขัดขวางเธอเสมอ ท่านไม่ต้องการให้พระสงฆ์เข้ามาในบ้านของเขาเพื่อส่งศีลให้แก่เทเรซา (เพราะเทเรซานอนป่วยอยู่ไม่สามารถไปโบสถ์ได้)

วันหนึ่งเทเรซากล้าพูดกับบิดาอย่างเปิดใจว่า “ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ ที่จะบอกให้คนอื่นคอยสอดส่องดูว่า ลูกจะได้รับศีลหรือไม่ เพราะลูกต้องการรับศีลมหาสนิทค่ะ”
 
หลังจากพูดเช่นนี้เธอขอให้เพื่อนคนหนึ่งไปตามพระสงฆ์ให้ช่วยส่งศีลมาให้เธอ เขาได้ทำตาม แล้วเทเรซาก็ได้รับศีลด้วยความสุขเหลือล้น แต่เมื่อบิดารู้เข้าเขาก็บันดาลโทสะ เขาถึงกับสบถและด่าแม่พระ ทำให้เทเรซาเจ็บปวดมากจนเธอต้องพูดกับบิดาว่า “ลูกจะไปจากบ้านหลังนี้”
 
เขาตอบ “ดี - - นั่นแหละเป็นสิ่งที่ฉันต้องการให้แกทำ แกจะทำให้ฉันพอใจมาก”
 
ความทุกข์อันเจ็บปวดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เธอได้ถวายตนเองแด่พระเยซูเจ้าเป็นเวลานานในฐานะผู้ร่วมทุกข์ของพระองค์เพื่อช่วยวิญญาณทั้งหลายให้รอด และเธอก็รู้สึกถึงความหนักหน่วงของความทุกข์อันน่าหวาดหวั่นนั้น ทำให้เธอสวดภาวนาว่า “พระเยซูเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าถ้าลูกมีชีวิตพันชีวิต ลูกก็ยินดีเสียสละชีวิตทั้งหมดเพื่อพวกเขาทั้งนี้เพื่อพระองค์และพระสงฆ์ของพระองค์”
 
ครั้งหนึ่งเทเรซาป่วยมากและมีอาการสลึมสลือ ทำให้บิดาของเธอคิดว่าเธอถูกผีสิง แทนที่เขาจะไปตามพระสงฆ์ เขากลับทำตามพิธีไสยศาสตร์ด้วยการไปหาซื้อน้ำมนต์(จากพวกทำเวทมนต์) มาพรมและราดศีรษะของเทเรซา เทเรซาบอกกับบิดาว่า “ถ้าพ่อต้องการช่วยลูก ให้ไปซื้อยาหรือตามหมอแทนที่จะไปเสียเวลากับน้ำมนต์พวกนี้จะดีกว่า” เขาได้นำความทุกข์มาให้แก่เทเรซามากยิ่งขึ้นทุกที
 
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่เทเรซามีไข้สูง บิดาได้เข้าในห้องของเธอ ตบเธอที่ใบหน้าและกระชากผมของเธอให้เธอตกลงมาจากเตียง และเขาก็เดินออกไปนอกบ้าน ไปอาศัยอยู่ในยุ้งฉางของเขานานหนึ่งเดือนโดยไม่กลับเข้าบ้าน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเห็นเทเรซา เมื่อกลับเข้าบ้าน เขาก็ไม่ยอมย่างเท้าเข้าไปในห้องของเทเรซาเลย เทเรซาสวดภาวนาเพื่อบิดาเสมอ เธออ้อนวอนขอต่อพระเยซูเจ้าบ่อยๆให้ทรงมีพระเมตตาต่อความประพฤติของเขา
 
หลังจากที่เทเรซาย้ายออกจากบ้านไปอาศัยอยู่ที่ Caserta บิดาของเธอก็ไม่ปรารถนาที่จะพบกับเทเรซาอีกต่อไป และปฏิเสธที่จะพบกับเธอจนตราบที่เขาเสียชีวิต เทเรซาสวดภาวนาเพื่อบิดาต่อไป และเมื่อพระเยซูเจ้าทรงบอกกับเธอว่า บิดาของเธอจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน เธอจึงพยายามเป็นครั้งสุดท้ายที่จะไปพบกับบิดาก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่สัปดาห์ แต่เขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะพบกับเธอ
 
แม่พระทรงประทานพระหรรษทานให้บิดาของเทเรซากลับใจ
 
แต่แล้วทุกคนก็ต้องประหลาดใจ เมื่อก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพียง 8 วัน ทันทีทันใดเขาก็ร้องเรียกหาพระสงฆ์ ทั้งที่เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพระสงฆ์เลย มีคนไปตามพระสงฆ์มาให้ และทุกคนก็ประหลาดใจยิ่งขึ้นอีกเมื่อเขาร้องขอที่จะสารภาพบาป สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดต่อมาก็คือ เขาร้องขอที่จะรับศีลมหาสนิท และเขาก็ได้รับศีลมหาสนิทด้วยความศรัทธา
 
ใครจะสามารถอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาดใจเช่นนี้ได้? ในวันสุดท้ายแห่งชีวิตของบิดา เทเรซาหันไปหาพระมารดาพรหมจารีย์มารีย์ เธอวอนขอพระนางให้ขอพระหรรษทานพิเศษเพื่อความรอดของบิดาของเธอ เธอเรียนรู้เช่นเดียวกับนักบุญเกมม่า กัลกีนี่ ถึง “ความลับ” นั่นคือพระมารดาพระเจ้าทรงสามารถวอนขอและได้รับพระหรรษทานพิเศษจากพระเยซูเจ้า องค์พระบุตรของพระนาง ในสิ่งที่เรามนุษย์ไม่สามารถทำได้

อันที่จริง บ่อยครั้งที่แม่พระทรงลดระดับความรุนแรงและความเจ็บปวดของเทเรซา พระนางทรงวอนขอพระหรรษทานหรือพระพรบางอย่างจากพระเยซูเจ้าที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับ มีตัวอย่างของเด็กหญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นโรคลิวคีเมีย (มะเร็งในเม็ดเลือด) เทเรซาได้วอนขอต่อพระเยซูเจ้าให้ทรงรักษาเด็กหญิงผู้นี้ “พระเยซูเจ้าสุดที่รัก โปรดประทานพระหรรษทานแห่งอัศจรรย์นี้ด้วยเถิด” แต่พระเยซูเจ้าตรัสแต่เพียงว่า “จงสวดภาวนา เทเรซา สวดภาวนา”
 
วันนั้นผ่านไปโดยไม่มีอัศจรรย์เกิดขึ้น

แล้วเทเรซาก็ได้รับแรงบันดาลใจให้วอนขอต่อพระนางพรหมจารีย์มารีย์ พระมารดาผู้ทรงพระทัยดีและน่ารักยิ่งของเราให้ช่วยเหลือ แม่พระทรงประจักษ์มาในนิมิต แต่เทเรซาไม่เข้าใจในพระวาจาที่แม่พระตรัสต่อเธอ เพราะเธอมัวแต่มองดูเบื้องบนสวรรค์ แต่เธอได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าตรัสกับพระมารดาอย่างชัดเจนว่า “คุณแม่สุดที่รัก เพราะเป็นความปรารถนาของคุณแม่ ทุกสิ่งก็จะสำเร็จไปตามความปรารถนาของคุณแม่”
 
และเด็กหญิงก็ได้รับการรักษาให้หายจากโรคอย่างอัศจรรย์
 
เทเรซาได้รับรอยแผลศักดิสิทธิ์ (Stigmata)
 
เดือนตุลาคม 1968 เทเรซาร้องครวญครางบนเตียงนอน เพราะเธอรู้สึกเจ็บปวดที่มือทั้งสอง ทันใดเธอได้ยินเสียงเคาะประตู มีชายร่างสูง สง่างามปรากฏมา เทเรซาคุกเข่าลง ชายผู้นั้นกล่าวว่า “ลูกจะเป็นเหมือนเรา จงถวายตัวลูกเป็นพลีบูชาเถิด อย่าได้เบื่อหน่าย ความทุกข์ที่นำลุกไปสู่กาวารีโอนั้นเราได้นำไปจากลูกแล้ว แต่เราจะทิ้งรอยแผลของเราไว้บนตัวลูก ลูกต้องการติดตามเราหรือไม่? และเทเรซาตอบว่า “ค่ะ”
 
เทเรซาได้รับรอยแผลทั้งห้าของพระเยซูเจ้า เธอเจ็บปวดมาก
 
วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลปาสกา วันที่ 3 เมษายน 1969 เวลา 10.00 น. เทเรซาเห็นแม่พระทรงสวมอาภรณ์สีดำและผ้าคลุมศีรษะสีดำ มีน้ำพระเนตรไหล แม่พระตรัสกับเธอว่า
 
“เทเรซา องค์พระบุตรสุดที่รักของแม่ปรารถนาจะให้รอยแผลของพระองค์แก่ลูก”
พระเยซูเจ้าปรากฏมาตรัสว่า “เทเรซา ลูกรักเราหรือไม่?" และคำตอบคือ “ค่ะ ค่ะ”
“บัดนี้ลูกต้องไปพร้อมกับเราบนหนทางแห่งกาวารี”
 
เทเรซาเขียนบันทึกว่า “และเราเริ่มปีนขึ้นไปบนเขาที่ชัน พื้นดินขรุขระมีก้อนหินแหลมคน เมื่อเราไปถึงที่หมาย ฉันเห็นไม้กางเขนสูงซึ่งทำให้ฉันตกใจกลัว แล้วมีชานสองคนที่น่าเกลียดมาจับตัวฉันไว้ พวกเขาโยนฉันไปบนไม้กางเขนและตอกตะปู ฉันรู้สึกว่าเนื้อฉึกขากและตัวของฉันก็สั่นเทาไปทั้งร่าง”
 
เธอเป็นเช่นนี้นานสามวัน เธอเขียนในสมุดบันทึกว่า “ฉันยืนไม่ได้เลยและเคลื่อนไหวแขนก็ไม่ได้ มันบวมและฉันเสียเลือดไปมาก ด้านหลังมือข้างหนึ่งมีรอยตะปูปรากฏอยู่  และฝ่ามือรู้สึกเหมือนกับชิ้นเนื้อถูกเฉือนออกไป หัวใจฉันรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้”
 
แม่พระทรงปลอกประโลมเธอว่า “ลูกสาวของแม่ จงวางใจในความช่วยเหลือของแม่เถิด และอย่าคิดเรื่องอื่นนอกจากการพลีบูชาความเจ็บปวดของลูกเพื่อองค์พระบุตรสุดที่รักของแม่ เพื่อพระสงฆ์ และยอมให้แม่นำทางชีวิตของลูก ยอมให้แม่ปรับเปลี่ยนอนาคตของลูก”
 
วันพฤหัสที่ 31 เทเรซาเห็นตนเองอยู่ใกล้พระเยซูเจ้าผู้ทรงทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดสุดบรรยาย และเธอปรารถนาที่จะช่วยเหลือพระองค์และยอมรันทนทุกข์กับพระองค์ เธอได้ขออนุญาติพระเยซูเจ้าให้เป็นไปตามความปรารถนานี้

“พระเยซูเจ้าทรงถอดมงกุฎหนามจากพระเศียรของพระองค์และวางไว้บนศีรษะของฉัน”
 
เธอรู้สึกเจ็บปวดมากแต่มีความสุขมากเช่นเดียวกัน เธอได้รับมงกุฎหนามไว้นานสองชั่วโมง หน้าผากของเธอมีเลือดไหลออกมา เทเรซาได้รับรอยแผลเหล่านี้ทุกวันอังคาร พฤหัสและวันศุกร์ ต่อมาเธอได้รับรอยแผลที่สีข้างด้วย พระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่า “เทเรซา ลูกสาวสุดที่รักของเรา เราจะมอบรอยบาดแผลที่สีข้างของเราแก่ลูกเพื่อช่วยวิญญาณให้รอด”
 
ทันใดเทเรซาก็เห็นตัวเองอยู่บนเนินเขาถูกตรึงอยู่กับกางเขนและเจ็บปวดจนสุดบรรยาย ชายคนหนึ่งได้เข้ามาแล้วใช้หอกแทงเข้าที่สีข้างของเธอทะลุถึงหัวใจ
 
"ฉันรู้สึกว่าเนื้อถูกฉีดขาดและความเจ็บปวดช่างมากมายยิ่งนักและฉันก็เสียชีวิต เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันนอนอยู่บนเตียง ผ้าคลุมเตียงมีเลือดเต็มไปหมด”

พระรูปศักดิ์สิทธิ์หลายรูปมีเลือดไหล
 
ปรากฏนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 26 ก.พ. 1975 เทเรซาซื้อพระรูปพระเยซูเจ้าจาก Caiazzo ขณะที่เธอกำลังทำความสะอาดพระรูป ก็มีน้ำตาเป็นเลือดไหลมาที่พระพักตร์พระเยซูเจ้า
 
พระอัครสังฆราชแห่ง Caserta ได้ตรวจสอบพระรูปแล้วและอนุญาตให้เธอตั้งแสดงพระรูปนี้ที่พระแท่นเล็กๆในบ้านของเธอ
 
ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมพระรูปมีความสงสัยและต้องการให้เทเรซาอธิบายว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นการรบกวนจิตใจของเทเรซามาก เธอบอกพวกเขาว่ “พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงให้สาส์นอะไรแก่ฉัน พระองค์เพียงแต่ต้องการแสดงหลักฐานให้โลกเห็นเท่านั้น”

พระรูปอื่นๆก็เริ่มมีน้ำตาไหลเป็นเลือดด้วย เทเรซารู้สึกสับสนและถามตัวเองว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นในบ้านของฉัน? มีอัศจรรย์ทุกวัน บางคนเชื่อ บางคนสงสัย ฉันไม่มีความสงสัยเลย ฉันรู้ว่าพระเยซูเจ้าไม่ทรงประสงค์จะให้สาส์นอะไร” เธอยังเขียนอีกว่า
 
“ปีนี้เริ่มต้นด้วยความโศกเศร้า ฉันรู้สึกเศร้าใจมากเมื่อเห็นพระรูปร้องไห้เป็นเลือด”
 
เทเรซาถามพระเยซูเจ้าถึงเหตุผลของหมายสำคัญนี้ พระองค์ตอบมาจากกางเขนว่า “เทเรซา ลูกสาวของเรา มีความอาฆาตพยาบาทและความอาฆาตแค้นมากมายในใจบุตรชายของเรา โดยเฉพาะผู้ที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีและมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า เราขอให้ลูกสวดภาวนาให้พวกเขาและพลีบูชาตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน ลูกจะไม่พบความเข้าใจที่โลกเบื้องล่างนี้ แต่ที่เบื้องบนลูกจะมีความสุขและมีสง่าราศี… '
 
ในสมุดบันทึกของเทเรซาวันที่ 2 เม.ย. 1976 แม่พระทรงอธิบายถึงการที่พระรูปหลั่งน้ำตาเป็นเลือดว่า “ลูกสาวของแม่ น้ำตาเหล่านั้นทำให้หัวใจของวิญญาณหลายดวงหวั่นไหว หัวใจของพวกเขาเย็นชาและมีน้ำใจที่อ่อนแอ สำหรับคนที่ไม่เคยสวดภาวนาและคิดว่าการสวดภาวนาเป็นการเสียเวลานั้น จงรับรู้คำพูดนี้ – ถ้าหากพวกเขาไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขา น้ำตาเหล่านั้นจะเป็นเครื่องหมายของการสาปแช่งของพวกเขา”

พระรูปและรูปภาพ ‘Ecce – Homo’, รูปกางเขน , พระรูปพระเยซูกุมาร , พระรูปพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า และพระรูปแม่พระ และยังมีพระรูปอื่นๆอีก ได้หลั่งน้ำตาเป็นโลหิตทุกวัน วันละหลายๆครั้ง บางครั้งนานเป็นชั่วโมง เทเรซาเองเมื่อมองดูพระรูปก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วย เพราะคิดว่า “ฉันเองก็เป็นสาเหตุของน้ำตาเหล่านี้ด้วย” หรือ “ฉันจะทำอะไรเพื่อปลอบบรรเทาความโศกเศร้าของพระเยซูเจ้าและพระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระองค์ได้บ้าง?”
 
ความตายของเทเรซา
 
วันที่ 13 มี.ค. พระเยซูเจ้าตรัสกับเทเรซาว่า อีกไม่นานพระองค์จะทรงรับเธอไปจากโลกนี้ ให้เธอเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความตาย
 
วันที่ 28 พ.ค. พี่ชาย Luigi ซึงอยู่ที่ Castel S. Lorenzo มาเยี่ยมเธอ เธอบอกเขาว่า “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะอยู่ที่นี่ ภารกิจของฉันเสร็จสิ้นแล้ว”
 
วันที่ 25 มิ.ย. เธอถูกนำตัวไปโรงพยาบาลที่ Caserta ถึงแม้จะเจ็บปวดมากเธอก็ยังพูดปลอบใจหญิงชรายากจนสองคนที่กำลังเป็นทุกข์ใจ เพราะลูกของพวกเธอไม่ต้องการพวกเธอ
 
อาการของเทเรซาแย่ลงไปเรื่อย และแพทย์ตัดสินใจส่งตัวเธอไปที่ ‘Clinic dei Gerani’ ในเนเปิล
 
แม่พระตรัสอธิบายเทเรซาถึงเรื่องนี้ในวันที่ 25 ก.ค. ว่า “แม่ต้องการให้ลูกเข้าใจถึงความรู้สึกของแม่ในเวลาที่ไม่มีที่พักสำหรับแม่ในโรงแรมเลย ลูกจะเป็นทุกข์ในเวลาสั้นๆเท่านั้น แล้วแม่จะดูแลลูกในการปรากฏต่อพระบิดาสวรรค์”
 
‘Clinic dei Gerani’ เป็นสถานพยาบาลสำหรับคนยากจน มีซิสเตอร์คอยดูแลคนไข้ หมอและพยาบาลดูแลเทเรซาด้วยความเคารพนับถือ เธอรับความเจ็บปวดอย่างกล้าหาญโดยไม่บ่น ซิสเตอร์ถามเทเรซาว่า เธอมีความปรารถนาพิเศษอะไรหรือไม่ เทเรซาตอบว่า “สิ่งที่ฉันปรารถนานั้น ท่านไม่สามารถให้ฉันได้ค่ะ ฉันปรารถนาสวรรค์”
 
วันที่ 19 สิงหาคม มีเสียงระฆังดังจากโบสถ์ที่อยู่ใกล้เคียง ขโมยได้เข้าไปในโบสถ์และขโมยแผ่นศีลมหาสนิทที่เสกแล้ว ซิสเตอร์ที่เฝ้าเทเรซาได้ออกจากห้องไปร่วมในการสวดภาวนาสำหรับการทำทุรจารศีลมหาสนิทนี้
 
เทเรซาจึงอยู่เพียงลำพัง ถูกตอกตะปูตรึงกับกางเขน มีความทุกข์โศกเป็นอย่างยิ่ง และทำให้คำสัญญาระหว่างแม่พระกับเทเรซาในปี 1972 สำเร็จไป เทเรซาพูดว่า “พระมารดา ลูกยินดีรับ ลูกยินดีที่จะอยู่เพียงลำพังเหมือนพระเยซูเจ้าทรงอยู่เพียงลำพังบนกางเขน”
 
ต่อมาเทเรซายึดแขนออกไปเบื้องบนศีรษะ ตัวแข็งทื่อเหมือนหินอ่อน เทเรซาเสียชีวิตในวันที่ 19 สิงหาคม 1976 มีอายุ 33 ปีเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้า
 
********************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น