"เฉพาะชื่อของคน หนึ่งชื่อ มีราคาแปดพันล้าน"
สมัยสงครามโ ลกครั้งที่สอง ในประเทศเยอรมันมีบริษัททรัสท์เล็กๆแห่งหนึ่งชื่อ บ.บาบีนา รับดูแลของมีค่าของลูกค้าโดยเฉพาะ พอสงครามปะทุ ลูกค้าทยอยเบิกของมีค่าของตัวเองแล้วรีบหนีไปที่อื่นกัน
ส่วนเจ้าของบริษัทรวบรวมทรัพย์สินของตนแล้วก็หนีสงครามไปที่อื่น เหลือแต่พนักงานที่ชื่อ "เซีย" ยังอยู่เพื่อเคลียร์ของฝากที่ลูกค้าที่ยังไม่เบิกไป
ระเบิดเริ่มถล่มลงมาบริเวณรอบๆบริษัท แต่เธอยังคงนั่งเช็คบัญชีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วพบว่ามีลูกค้าชื่อไลเกอร์ยังไม่ได้มาเบิกทับทิมของตนเอง ซี่งมีราคาห้าพันล้านมาร์ค
เซีย เก็บเอกสารและสิ่งของที่ลูกค้าฝากไว้ เก็บใส่กล่องแล้วก็ออกจากบริษัท หลังจากนั้นไม่กี่วันบริษัทบาบีนาถูกระเบิดถล่มเรียบเป็นหน้ากอง
เซียเองก็เหมือนชาวบ้าน ต้องหนีสงครามไปทุกหนแห่ง แต่สิ่งที่เซียต้องพกติดตัวตลอดก็คือเอกสารและทับทิมของลูกค้าที่ฝากไว้
เธอเองยังคงคิดว่าเธอคือพนักงานของบริษัทบาบีน่า และจะรอให้สงครามสงบก่อน แล้วค่อยนำเอกสารและทับทิมคืนให้กับบริษัท
หลังจากสงครามสงบ เธอแลลูกสามคนกลับมาที่เบอร์ลินแต่เจ้าของบริษัททรัสท์ได้เสียชีวิตในระหว่างสงคราม บริษัทก็ไม่เหลืออยู่โดยปริยาย
แต่เซียยังคงเก็บรักษาทับทิมของลูกค้าเอาไว้ แม้ลูกค้าจะยังไม่มารับไป เธอรักษาความซื่อสัตย์ของบริษัทเอาไว้
หลายปีผ่านไป เซียใช้ชีวิตลำบากมากกับลูกสามคน
ในความเป็นจริง บริษัทไลเกอร์ ไม่เหลืออยู่แล้วในระหว่างสงคราม ทับทิมที่มีค่ามหาศาลนั้นเจ้าของก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว เซียสามารถนำทับทิมที่มีค่ามหาศาลนี้ไปขาย แล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสมบูรณ์ได้โดยไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย
แต่เธอไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย เธอคิดอย่างเดียวมันคือหน้าที่ของเธอ จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควร
ในปี 1978 รัฐบาลต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่สอง เซียได้นำเอกสารและทับทิมออกมามอบให้
ทางรัฐบาล พยายามทุกวิถีทางหาญาติของไลเกอร์จนพบหลานชื่อ โดล และได้ตอบรับจะแบ่งให้ครึ่งหนึ่งหลังจากขายทับทิมได้ เซียปฏิเสธ จะขอรับแต่ค่าแรงที่ดูแลรักษาเอกสารและทับทิมนี้ก็พอ
หลังจากเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์เป็นข่าวออกไป ผู้คนสะเทือนใจกับความซื่อสัตย์นี้เป็นอย่างมาก
มีคนเสนอให้เธอเป็นที่ปรึกษาของหอการค้า เธอปฏิเสธว่าด้วยอายุมากแล้ว ต่อมามีบริษัททรัสท์ใหญ่หลายบริษัท ขอให้เธอดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ เธอปฏิเสธหมด ไม่นานนักเธอก็ถึงแก่กรรม
หลายบริษัทมาหาลูกชายเซียชื่อคลิส เพื่อขอซื้อสิทธิ์ชื่อ "เซีย" มาเป็นชื่อบริษัทของตน
คลิสจึงใช้วิธีประมูล สุดท้ายบริษัทเพลโตประมูลได้ด้วยราคาแปดพันล้านมาร์ค
หลายคนไม่เข้าใจ ทำไมต้องใช้เงินมหาศาลเช่นนี้เพื่อแลกซื้อกับแค่ชื่อเดียว
ประธานบริษัทเพลโต กล่าวว่า
"เซีย"ไม่ใช่แค่ชื่อคนคนหนึ่งแล้ว มันหมายถึงจิตวิญญานแห่งความซื่อสัตย์ และสัจจะของผู้ประกอบการมันคุ้มมาก สำหรับการใช้เงินแปดพันล้านมาแลกซื้อชื่อนี้
ไม่นานนัก บริษัทเพลโตเปลี่ยนชื่อบริษัททรัสท์เป็น "เซีย" ทำให้ยอดทางธุรกิจเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความซื่อสัตย์และสัจจะ เดิมทีแล้วมันมีคุณค่าของมันอยู่ในตัวอยู่แล้ว เวลาคุณมีความศรัทธากับมัน จนเป็นหน้าที่ของคุณ คุณก็จะได้ใจและความเชื่อถือกับผู้คน ในที่สุดเงินทองจะไหลมาเทมา #
*******************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น