วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ศพที่ไม่เน่าเปื่อยของนักบุญแบร์นาแด็ต




การที่ศพจะไม่เน่าเปื่อยเป็นเรื่องที่ยากมากและแทบจะเป็นไปไม่ได้ตามธรรมชาติ การรักษาสภาพหรือการเสื่อมสลายของซากศพมนุษย์มาจากปัจจัยหลายอย่าง ตั้งแต่กรรมวิธีเตรียมร่างกายไปจนถึงสภาพแวดล้อมและอื่นๆ นักบุญมาร์กาเร็ตแห่งคอร์โตน่าซึ่งในตอนแรกคิดว่ามีร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่เน่าเปื่อยนั้น แสดงให้เห็นในภายหลังว่าเกิดจากการเตรียมร่างกายให้อยู่ในสภาพมัมมี่ก่อนที่จะถูกฝัง แต่สำหรับศพของนักบุญองค์อื่นๆไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบาย
 
นักบุญแบร์นาแด็ต ซูบีรูส(St. Bernadette Soubirous) ผู้เห็นแม่พระประจักษ์แห่งลูรดส์ เสียชีวิตในปี 1879 โลงที่ฝังร่างกายของเธอถูกเปิดขึ้นมาในปี 1909 และอีกครั้งในปี 1919 และ 1925 เป็นกระบวนการที่เรียกว่า "การระบุตัวตนของผู้ตาย" และในการเปิดโลงครั้งสุดท้ายของการสอบสวนเป็นหลักฐานที่ทำให้เธอได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญ กระบวนการนี้กระทำอย่างเป็นทางการและเปิดเผยโดยผู้เกี่ยวข้องต้องให้คำสาบานเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและศาสนา ขั้นตอนนี้มีการระบุตัวตนของผู้เสียชีวิต, ตรวจสอบหาสัญญาณของการเสื่อมสลายของร่างกายและรวบรวมพระธาตุของนักบุญ
 
การตรวจสอบครั้งแรกของเบอร์นาเด็ตเริ่มต้นเวลา 8.30 น. ในวันพุธที่ 22 กันยายน 1909 ช่างปูนยกหินที่ปิดทับขึ้นในขณะที่นายกเทศมนตรีและรองนายกเทศมนตรีมองดูเพื่อรับรองกระบวนการ โลงศพถูกยกมาวางไว้บนที่วาง และทำการเปิดฝาโลง เยื่อบุตะกั่วถูกตัดเพื่อเปิดฝา พยานให้การว่าไม่มีกลิ่นโชยออกมา และร่างกายที่อยู่ภายในโลงอยู่ในสภาวะที่ไม่เสื่อมสลายซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก
 
เอกสารการตรวจสอบนี้ถูกเก็บไว้ในคอนแวนต์ของ Saint-Gildard ที่ เนอแวร์(Nevers)ฝรั่งเศส และลงนามโดยทีมแพทย์ที่ทำการตรวจสอบได้แก่ "Drs Ch David และ A. Jourdan” ในเอกสารกล่าวว่า:
 
"โลงศพถูกเปิดออกต่อหน้าท่านบิช็อปแห่งเนอแวร์ส นายกเทศมนตรีของเมือง, รองผู้อำนวยการใหญ่ของเขา และผู้สังเกตการณ์หลายคนรวมทั้งพวกเราด้วย เราสังเกตว่าไม่มีกลิ่นโชยออกมา ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยเครื่องแบบคณะของเบอร์นาเด็ต เครื่องแบบนั้นมีสภาพชื้น มีเพียงใบหน้า, มือและแขนท่อนล่างเท่านั้นที่ไม่ถูกผ้าปกคลุม
 
ศีรษะเอียงไปทางซ้าย ใบหน้าขาวหม่นหมอง ผิวหนังเกาะติดกับกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้อยึดติดกับกระดูก ดวงตาปิดด้วยเปลือกตา ขนคิ้วแบนราบและติดกับส่วนโค้งเหนือตา ขนตาของเปลือกตาขวาติดอยู่กับผิวหนัง จมูกขยายเล็กน้อย ปากเปิดเล็กน้อยและจะเห็นได้ว่าฟันยังอยู่ในตำแหน่ง มือที่ไขว้บนทรวงอกของเธออยู่ในสภาพที่ดีอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับเล็บ มือยังคงถือลูกประคำที่เป็นสนิม หลอดเลือดดำที่ปลายแขนนูน
 
เช่นเดียวกับมือ, เท้ามีสภาพแห้ง, เล็บเท้ายังคงติดอยู่ในสภาพเหมือนเดิม (เล็บเท้าหนึ่งฉีกขาดเมื่อตอนอาบน้ำศพ) เมื่อถอดเครื่องแบบและเปิดผ้าคลุมศีรษะ สามารถมองเห็นร่างกายที่แห้งได้ แขนขาแข็งและตึง พบว่าผมที่ถูกตัดสั้นยังคงติดอยู่กับศีรษะและผิวหนังยังติดอยู่กับกะโหลกศีรษะ ใบหูอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่เน่าเปื่อย ร่างกายด้านซ้ายสูงกว่าด้านขวาเล็กน้อยนับจาก สะโพกขึ้นไป กระเพาะอาหารยุบตัวและตึงเหมือนส่วนอื่นๆของร่างกาย ดูคล้ายกับกล่องกระดาษแข็งที่ถูกกระแทก เข่าซ้ายเล็กกว่าด้านขวา เห็นกระดูกซี่โครงที่นูนขึ้นมาเช่นเดียวกับกล้ามเนื้อในแขนขา
 
ร่างกายแข็งทื่อจนสามารถพลิกกลับไปมาเพื่อทำการอาบน้ำศพได้ ส่วนล่างของร่างกายมีสีดำเล็กน้อย สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นผลมาจากผงถ่านจำนวนมากที่พบในโลงศพ"
 
ซิสเตอร์ที่เป็นผู้เตรียมร่างกายของเธอเพื่อการฝังศพเมื่อ 30 ปีก่อน ได้ปรากฏตัวและให้ข้อสังเกตว่ามือของเธอเปลี่ยนตำแหน่งไป เธอมีสภาพเหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ซิสเตอร์เห็น สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือการที่สายประคำซึ่งขึ้นสนิมในขณะที่เนื้อหนังยังคงอ่อนนุ่ม
 
มีความคิดที่ไม่ถูกต้องอย่างหนึ่งคือ ร่างกายที่ถูกพิจารณาว่าไม่เน่าเปื่อยนั้นจะต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ราวกับบุคคลนั้นเพิ่งเสียชีวิตไป แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น Lorenzo Lambertini ผู้ที่ต่อมาเป็นพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่14 ทรงเขียนหนังสืออธิบายวิธีพิจารณาของพระศาสนจักรไว้(Doctrina de servorum dei beatificatione et beatorum canonizatione) และมีอยู่สองบทในหนังสือนี้ที่เกี่ยวกับศพที่ไม่เน่าเปื่อย “de cadaverum incorruptione” ที่มีอิทธิพลในการตัดสินของพระศาสนจักรเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาผู้ที่จะเป็นนักบุญ
 
ในการพิจารณาว่าศพมีการคงสภาพเป็นอย่างดี อาจพิจารณาได้จากสีของผิวหนังและความสดชื่น, ไม่มีกลิ่นหรือร่องรอยของการเน่าสลายตามปกติ, ผิวหนังหรือข้อต่อมีความยืดหยุ่น ศพจะต้องอยู่ในสถานะนี้โดยไม่มีการแทรกแซงของมนุษย์หรือจากสาเหตุอื่นๆที่น่าสงสัย ศพที่อยู่ในสภาพครบแต่เริ่มสลายตัวอย่างรวดเร็วหลังจากการตรวจสภาพหรือเคลื่อนย้ายไม่สามารถคงสภาพอย่างอัศจรรย์ได้
 
ในกรณีของ น.เบอร์นาเด็ต ร่างกายยังคงสภาพเดิมในการเปิดโลงครั้งแรก ทั้งๆที่เสื้อผ้ากลับชื้นและเสื่อมสลาย ลูกประคำก็เสื่อมสลายด้วย เป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน ..
 
ร่างกายที่เคยถูกพิจารณาว่าไม่เน่าเปื่อยอาจแสดงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง เช่น เกิดแห้งหรือดำ นี่เป็นกรณีของ น.เบอร์นาเด็ตเมื่อโลงของเธอถูกเปิดอีกครั้งในปี 1919
 
ในปี 1909 มีการอาบน้ำศพของเบอร์นาเด็ตโดยซิสเตอร์และเปลี่ยนชุดเครื่องแบบก่อนที่จะนำไปฝัง การเปิดโลงครั้งที่สอง, สีผิวของเธอเปลี่ยนไปซึ่งอาจเนื่องมาจากการอาบน้ำศพในปี 1909 แพทย์สองคน (Talon และ Comte) ผู้เข้าร่วมการเปิดโลงได้สังเกตว่าไม่มีกลิ่นออกมา มีเชื้อราบางชนิดและผิวหนังแห้ง รายงานของ Dr. Comte ลงวันที่ 3 เมษายน 1919 และเก็บรักษาไว้ที่ Nevers กล่าวว่า:
 
"ตามคำร้องขอของบิชอปแห่งเนอแวร์ส ข้าพเจ้าได้ผ่าเอากระดูกซี่โครงขวาซี่ที่ 5 และ 6 ออกมาเพื่อเก็บไว้เป็นพระธาตุ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ามีแรงต้านและเนื้อแน่นซึ่งเป็นตับที่หุ้มด้วยกะบังลม ข้าพเจ้ายังได้ผ่าเอาชิ้นส่วนของกระบังลมและตับที่อยู่ข้างใต้กระบังลมนั้นเป็นพระธาตุด้วย และสามารถยืนยันได้ว่าอวัยวะนี้ยังคงสภาพสดได้อย่างน่าทึ่ง ข้าพเจ้ายังผ่าเอากระดูกสะบ้าสองชิ้นที่มีผิวหนังเกาะและมีแคลเซียมอยู่มาก ในที่สุด, ข้าพเจ้าได้ผ่าชิ้นส่วนกล้ามเนื้อออกจากด้านขวาของต้นขา กล้ามเนื้อเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพที่ดีมากและดูเหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายเลย”
 
จากการตรวจสอบครั้งนี้ , ข้าพเจ้าสรุปได้ว่าร่างของบุญราศีเบอร์นาแด็ตนั้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ โครงกระดูกนั้นสมบูรณ์ กล้ามเนื้อมีอาการเสื่อมถอย แต่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดี มีเพียงผิวหนังที่เหี่ยวเฉาที่ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากความชื้นในโลงศพ ผิวหนังมีสีเทาและปกคลุมไปด้วยคราบของเชื้อรา และมีผลึกแคลเซียมและเกลือจับอยู่ค่อนข้างมาก แต่ร่างกายดูเหมือนจะไม่มีการเน่าเปื่อยหรือเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติดังที่ควรจะเป็นหลังจากเวลาผ่านไปนานในหลุมฝังศพที่อยู่ในดิน"
 
เมื่อมาถึงจุดนี้ การพิจารณาของ น.เบอร์นาแด็ต ก็เหลือกระบวนการอีกเพียงหนึ่งครั้งซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ในปี1925 เพื่อนำร่างของเธอไปไว้ในที่แห่งใหม่ มีบันทึกของการเปลี่ยนสีของใบหน้า และจมูกที่ตอบลงของเธอ เนื่องจากเธอจะถูกนำไปวางไว้ในโลงศพแก้วในโบสถ์น้อยเซนต์เบอร์นาเดตต์ในเนอแวร์ส ทำให้มีการตกแต่งใบหน้าและมือของเธอด้วยขี้ผึ้ง ดร. Comte มาเป็นผู้ตรวจสอบอีกครั้งและได้เขียนรายงานใน Bulletin de IAssociation Medicale de Notre-Dame de Lourdes (1928):
 
"ข้าพเจ้าได้ผ่าเปิดทรวงอกทางด้านซ้ายเพื่อนำเอากระดูกซี่โครงออกมาเป็นพระธาตุ และจากนั้นจึงคิดที่จะผ่าเข้าไปที่หัวใจ ซึ่งข้าพเจ้ามั่นใจว่ายังคงสภาพเหมือนมีชีวิต อย่างไรก็ตาม, เนื่องจากลำตัวเป็นที่รองรับของแขนซ้าย จึงเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะลองพยายามผ่าเข้าไปที่หัวใจโดยไม่ทำความเสียหายให้เห็นได้อย่างชัดเจน และเนื่องจากคุณแม่อธิการใหญ่เจ้าคณะแสดงความปรารถนาที่จะให้คงเก็บรักษาหัวใจของนักบุญไว้ในร่างกาย และเนื่องจากมงซิเยอร์บิช็อปไม่ยืนยัน ข้าพเจ้าจึงเลิกคิดที่จะผ่าเปิดทรวงอกด้านซ้าย และทำเพียงแต่ผ่าถอดซี่โครงขวาสองซี่ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่า
 
สิ่งที่สะดุดใจข้าพเจ้าในระหว่างการตรวจสอบนี้ แน่นอนคือสถานะของการคงสภาพอย่างสมบูรณ์ของโครงกระดูก, เส้นใยเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (ยังอ่อนนุ่มและมั่นคง) ของเอ็นและของผิวหนังและเหนือสิ่งอื่นใดคือตับที่ยังคงสภาพดีอยู่หลังจากเวลาผ่านไป 46 ปี ใครจะคิดว่าอวัยวะนี้ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะอ่อนนุ่มและมีแนวโน้มที่จะเสื่อมสลายอย่างรวดเร็วหรือจะแข็งกระด้างไป แม้กระนั้น, เมื่อเวลาที่มันถูกผ่าตัด, มันก็นุ่มแทบจะเหมือนสภาพปกติทั่วไป ข้าพเจ้าขอชี้ให้เห็นถึงสิ่งนี้ที่ปรากฏอยู่ และขอตั้งข้อสังเกตว่าสิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ"
 
มีคำอธิบายถึงเรื่องนี้ตามธรรมชาติบ้างไหม? มีแน่นอน, ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทางพระศาสนจักรไม่ได้ใช้ความไม่เน่าเปื่อยของศพมาเป็นอัศจรรย์ที่ใช้ในกระบวนการพิจารณาการเป็นนักบุญ เพราะการรักษาสภาพศพไว้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ หลุมฝังศพที่เย็นสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ และกรรมวิธีการรักษาสภาพศพอาจลืมเลือนไปแล้ว เช่น ในกรณีของ นักบุญมาร์กาเร็ตแห่งโคโตน่า(Margaret of Cortona) อย่างไรก็ตามไม่มีสิ่งใดที่ดูเหมือนว่าจะนำไปใช้ได้กับกรณีของ น.เบอร์นาเด็ต เนื่องจากได้รับการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ศพอยู่ในสภาพอากาศที่ชื้น และการเสื่อมสลายตามปกติของศพซิสเตอร์อื่นๆ ที่ถูกฝังอยู่ในที่เดียวกัน
 
จึงมีคำถามว่า: ทำไม? มีคำอธิบายทางเทววิทยาสำหรับสิ่งนี้หรือไม่?
 
มีความเป็นไปได้หลายอย่าง โดยธรรมชาติ, เราเริ่มต้นด้วยพระคัมภีร์ ในบทสดุดี 16 พระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะไม่ปล่อยให้ผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์เห็นความเสื่อมสลาย
 
หากการเน่าเปื่อยของเนื้อหนังเป็นผลของการตกต่ำลง, แสดงว่ามันเกี่ยวข้องกับบาปของมนุษย์อย่างใกล้ชิด บางทีคนที่มีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์และปราศจากบาปอาจห่างไกลจากการเน่าเปื่อยนี้ พระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้มีหลักฐานของเรื่องนี้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เรา
 
หลักฐานของความศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญที่นำมาพิจารณาการประกาศเป็นนักบุญ ร่างกายของผู้ศักดิ์สิทธิ์ถูกขุดขึ้นมาและตรวจสอบหลังจากกระบวนการพิจารณาเป็นนักบุญนั้นดำเนินไปด้วยดี สภาพศพที่ไม่เน่าเปื่อยในช่วงเวลาของการขุดอาจมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อแสดงแก่คณะผู้พิจารณา(Postulators) ได้รู้และแน่ใจว่าพวกเขากำลังมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว การไม่เน่าเปื่อยไม่ใช่หลักฐานสำคัญของการพิจารณาว่าผู้ใดเป็นนักบุญ อย่างเช่นกรณี ศพที่ไม่เน่าเปื่อยของนักบุญแอนดรู โบโบลา(St. Andrew Bobola) หลังจากมีการถกเถียงกันอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 จนในที่สุดเป็นที่ยอมรับว่าเป็นอัศจรรย์ที่มีส่วนทำให้ท่านได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญในปี 1938
 
เรามักจะลืมไปว่า คริสตศาสนาไม่ได้บอกว่าจิตวิญญาณนั้นไร้ร่างกายอันเป็นนิรันดรเมื่ออยู่ในสวรรค์ คำสอนของคริสตศาสนาคือการกลับฟื้นคืนชีพของร่างกายอย่างรุ่งโรจน์และมีชีวิตนิรันดร ร่างกายก็มีความสำคัญ บางที(ศพที่ไม่เน่าเปื่อยของนักบุญ) อาจมีเหตุผลเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเมื่อพวกเขามองดูและพูดและเกิดความสงสัย พระเจ้าทรงให้เราชิมลางเล็กน้อยในสิ่งนั้น
 
จากความทุกข์ทรมานครั้งสุดท้ายของเธอ, เบอร์นาเด็ตได้กล่าวว่า “ความดีทั้งหมดนี้เพื่อสวรรค์” ชีวิตและความตายของเธอชี้ไปที่หนทางและแรงบันดาลใจ เมื่อเรามองไปที่ใบหน้าของเธอจะเห็นความสงบที่แปลกประหลาด แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ชั้นของขี้ผึ้งก็ตาม และนั้น, เราจะเกิดความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น และนี่คือจุดประสงค์ของอัศจรรย์

****************************************

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น