วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563

การระงับพระพิโรธของพระเจ้า


โดยการตักเตือนผู้คนให้สำนึกผิดกลับใจและใช้โทษบาปต่อพระเจ้า,  นักบุญอัลฟองโซได้ทำให้ความแห้งแล้งอย่างรุนแรงจบสิ้นลง ท่านยังได้ทำนายถึงวันที่ฝนจะตกลงมาอีกครั้งด้วย และท่านยังได้ทำให้ภูเขาไฟวิสุเวียสที่กำลังระเบิดได้สงบลง
 
จากหนังสือ Life of St. Alphonsus โดย Fr. Austin Berthe.
 
เป็นเวลาเกือบหกเดือนที่เมือง Nocera ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก, เพราะในช่วงเวลานั้นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าซีดจางเหมือนในสมัยของประกาศกเอลียาห์ ไม่มีฝนตกลงมาบนผืนดินที่แห้งผาก ถ้าความแห้งแล้งยังคงดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย, มันหมายถึงความเสียหายของพืชผลที่เพาะปลูกไว้ การขาดแคลนอาหารเคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ประชาชนต่างคร่ำครวญเมื่อคิดถึงอนาคตที่มืดมน ส่วนอัลฟองโซร้องไห้เพราะบาปของประชาชนซึ่งเป็นต้นเหตุของหายนะภัยดังกล่าว
 
ถึงแม้ว่าอัลฟองโซจะอ่อนแอ [เวลานั้นท่านมีอายุ 83 ปีแล้วและร่างกายก็อ่อนแอ] แต่ท่านก็กำหนดให้วันอาทิตย์หนึ่ง ตรงกับวันที่ 15 ของเดือนพฤษภาคม, จัดให้มีขบวนแห่แห่งการสำนึกผิดเพื่อระงับพระพิโรธของพระเจ้า ประชาชนสวมเสื้อยาวสีม่วง,โรยตัวด้วยขี้เถ้าและมีเชือกมัดรอบคอ อัลฟองโซเริ่มออกเดินนำพร้อมกับบรรดานักบวชในคณะออกจากโบสถ์ประจำตำบลโดยมีกางเขนนำหน้า ท่านเดินเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควรและเขาก็คิดจะให้ท่านขึ้นรถม้า แต่ความเหนื่อยล้าและความอ่อนแอของร่างกายไม่สามารถทำให้ท่านย่อท้อได้ ท่านเดินต่อไปในครึ่งหลังด้วยเท้าเปล่า โดยมีคนคอยช่วยพยุงสองคน
 
ชาวเมืองทั้งหมดมาเข้าร่วมในพิธีนี้ และโบสถ์ที่มีลานจตุรัสอยู่ด้านหน้าก็เต็มไปด้วยผู้คน อัลฟองโซ, ชายชราผู้ศักดิ์สิทธิ์, มุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ท่านเตือนคนบาปให้กลับใจ ธรรมาสน์ที่อยู่ภายในโบสถ์ถูกเคลื่อนย้ายมาที่ประตู, เพื่อให้คนภายนอกได้ยินคำพูดของท่านและเมื่อท่านไม่สามารถเดินขึ้นไปบนธรรมาสน์ได้ด้วยตัวเอง ท่านก็ถูกพาขึ้นไปโดยผู้คนจำนวนมากที่อุ้มท่านไป เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ท่านเปล่งเสียงเทศน์ตักเตือนเพื่อต่อต้านบาปของมนุษย์ ท่านบอกว่าบาป, ไม่เพียงแต่ทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองเท่านั้น แต่มันจะนำการลงโทษที่น่ากลัวที่สุดมาให้ “พระเจ้าทรงมีเหตุผลที่ต้องตีสอนเรา” ท่านประกาศ “เพราะเราสมควรได้รับการลงโทษ พ่อเองสมควรได้รับมากกว่าทุกคน; ข้า แต่พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดทรงเว้นโทษแก่ผู้บริสุทธิ์ด้วยเถิด คือบรรดาเด็กน้อยผู้น่าสงสารเหล่านี้” ประชาชนทั้งชายและหญิงพากันร้องไห้และขออภัยโทษบาปของพวกเขา และในไม่ช้าทุกคนก็ไปสารภาพบาปกับพระสงฆ์
 
แต่ดูเหมือนสวรรค์จะหูหนวกต่อคำวิงวอนของประชาชนที่ทุกข์ยาก แปดวันผ่านไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนท้องฟ้า ในขณะที่อัลฟองโซยังคงสวดภาวนาและขอให้คนอื่นกระทำด้วยเช่นกัน ในวันจันทร์หลังวันพระจิตตาคม, ตรงกับวันที่ 24 พฤษภาคม, อัลฟองโซกลับมาจากการเดินทางด้วยรถม้า เมื่อเข้าไปถึงอาราม, ท่านก็สั่งให้คนขับรถม้าหันหลังกลับและพาท่านไปที่โบสถ์แม่พระแห่งพระหรรษทาน(Our Lady of Grace) ประชาชน, เมื่อเห็นท่านออกมาจากรถม้า, ก็พากันเข้าไปในโบสถ์เพื่อร่วมสวดภาวนาพร้อมกับท่าน นักบุญอัลฟองโซขอให้นำพระรูปแม่พระออกมาตั้งแสดงไว้ ท่านพูดกับประชาชนที่อยู่ที่นั่น, ขอให้พวกเขามั่นใจในการปกป้องคุ้มครองอันทรงอานุภาพของแม่พระ จากนั้นท่านก็พูดกับประชาชนอย่างมั่นใจว่า “จงมอบตัวเองต่อพระแม่มารีย์ต่อไป จงไปสารภาพบาปและรับศีลมหาสนิทในสัปดาห์นี้ – ในวันอาทิตย์พวกท่านจะมีฝน”
 
ตลอดทั้งสัปดาห์ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าซีดจางอย่างไร้ปราณี ถึงวันอาทิตย์แล้วก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ประชาชนเริ่มกระซิบกันว่า, ในครั้งนี้นักบุญไม่ได้เป็นประกาศกเสียแล้ว เมื่อถึงเวลาค่ำ, การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆและฝนก็ตกลงมาอย่างหนักจนทุ่งนาทั้งหมดถูกน้ำท่วม สำหรับผู้รับใช้ของพระเจ้า, เมื่อเห็นฝนตกลงมา, ท่านรู้สึกสับสนและพูดกับคนที่อยู่รอบตัวท่านว่า “ประชาชนถือเอาคำสัญญาที่พ่อทำไว้เป็นคำทำนาย แต่คำพูดนั้นไม่ใช่เป็นของพ่อ พ่อไม่ได้ทำอะไรนอกจากเป็นผู้ที่พูดตามพระวาจาของพระเจ้า”

สามเดือนต่อมา, ในวันที่ 10 สิงหาคม 1779 ชาวบ้านในชุมชนปากานี(Pagani อิตาลี) ได้เป็นพยานของปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์อีกเหตุการณ์หนึ่ง, ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ เมื่อเวลาผ่านไป, ภูเขาไฟวิสุเวียสซึ่งแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่นั้นได้ปะทุลาวาที่ร้อนแรงออกมา เหนือเขตอำเภอ Ottaiano ประชาชนพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมดอยู่ในความหวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปลวไฟลุกขึ้นสูงในเย็นวันหนึ่ง, ได้ปลุกความหวาดกลัวต่อภัยพิบัติที่น่าสะพรึงนี้  คุณพ่อโดมินิค (Dominic Corsano) กำลังเพ่งพินิจภาพที่สวยงามแต่น่ากลัวของภูเขาไฟจากหน้าต่างบานหนึ่งของทางเดิน “มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว” คุณพ่อโดมินิค คอร์ซาโนเล่าต่อไปว่า “ผมวิ่งไปที่ห้องพักของผู้รับใช้ของพระเจ้า(คุณพ่ออัลฟองโซ) และขอร้องให้ท่านออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านออกมา,ไปที่หน้าต่าง, มองออกไปแล้วผงะถอยหลังด้วยความกลัว, ท่านทำซ้ำเช่นนี้ถึงสามครั้งพลางพูดว่า: 'พระเยซูเจ้า, พระเยซูเจ้า, พระเยซูเจ้า!' แล้วนั้น, ต่อหน้าต่อตาของผม, ท่านทำเครื่องหมายกางเขนไปในทิศทางของภูเขาไฟ และในช่วงเวลานั้นเอง เปลวไฟโชติช่วงขนาดใหญ่และลมพายุก็อันตรธานหายเข้าไปในปล่องภูเขาไฟ"
 
บราเดอร์เลียวนาร์ด ซิคเค็ตติ(Leonard Cicchetti) พูดในทำนองเดียวกัน “บราเดอร์ฟรานซิส โรมิโต, บราเดอร์อเล็กซิส พอลลิโอและตัวผม พาชายชราผู้ศักดิ์สิทธิ์(อัลฟองโซ)ไปที่หน้าต่างบานหนึ่งเพื่อที่ท่านจะได้เห็นเปลวไฟที่พุ่งขึ้นมาจากปล่องภูเขาไฟ แล้วท่านก็ทำเครื่องหมายกางเขนและเปลวไฟก็หายไปทันที สิ่งที่เราเห็นหลังจากนั้นคือควัน”
 
และดังนั้น, พระเจ้าทรงยกย่องผู้รับใช้ของพระองค์ต่อหน้ากษัตริย์และประชาชน แม้กระทั่งต่อหน้าลูกฝ่ายวิญญาณของท่านเอง แต่อนิจจา! ความโปรดปรานของเดือนนี้จะต้องตามมาด้วยการทดลองที่น่ากลัวที่สุด มันเป็นความสงบก่อนการเกิดพายุ โอเอซิสที่พระญาณสอดส่องทรง อนุญาตให้นักเดินทางเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนก่อนที่เขาจะตกลงไปในพื้นทรายแห่งทะเลทราย หรือเหมือนกับวันอาทิตย์ใบลานของพระอาจารย์เจ้าของเราซึ่งตามมาด้วยพระมหาทรมาน เมื่อเราคิดถึงเหตุการณ์ที่จะตามมา, ทำให้เราต้องการปิดบังเรื่องราวของนักบุญของเราไว้ที่นี่ ไม่รู้หรือว่า, ชีวิตของพระผู้ไถ่ของเรานั้นจะต้องไปสู่การถูกตรึงกางเขน อัลฟองโซได้เลียนแบบชีวิตของพระเยซูเจ้าในชีวิตที่ซ่อนเร้นและกระตือรือร้นของท่าน ท่านถูกกำหนดให้ผ่านความทรมานและไปสู่เนินเขาแห่งกัลวารีเหมือนพระเจ้าของท่าน ดังนั้นโดยการถูกตรึงกางเขนอย่างลึกลับ, สิ่งสุดท้ายที่ท่านมีอยู่ก็จะต้องตายไปด้วย นั่นคือความยึดติดตามประสามนุษย์และความรักตัวเอง และจะถูกทำให้สมบูรณ์ตลอดกาลด้วยการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าในสวรรค์
 
จากหนังสือ Life of St. Alphonsus de Liguori, Bishop and Doctor of the Church, by Fr. Austin Berthe, Volume Two, pp. 471-473.

****************

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น