วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2563

นักบุญที่ถูกกล่าวหาอย่างอยุติธรรม

 


ผู้ชอบธรรมบางคนได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกกล่าวหาใส่ร้ายซึ่งเป็นเท็จ นักบุญต่อไปนี้ไม่เพียงแต่จะรอดพ้นจากข้อกล่าวหาดังกล่าวแต่ยังเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์
 
นักบุญเกรกอรี แห่ง นิสสา (St. Gregory of Nyssa 335-395) เป็นบุตรชายของบิดาที่เป็นนักบุญและเป็นน้องชายของพี่ชายที่เป็นนักบุญ, ท่านเติบโตในครอบครัวที่เป็นที่เคารพนับถือในตุรกี ท่านได้เป็นพระสังฆราชและเป็นนักเทววิทยาที่มีอิทธิพลในพระศาสนจักรยุคแรก แต่ท่านไม่มีความสามารถมากนักในเรื่องการเงิน สิ่งนี้รวมกับความไร้เดียงสาของท่าน ทำให้ท่านสูญเสียเงินจำนวนมาก จนผู้ว่าการรัฐกล่าวหาว่าท่านยักยอกเงิน นักบุญเกรกอรีถูกคุมขัง; หลังจากหลบหนีจากผู้จับกุมได้แล้ว ท่านใช้เวลาสองปีในการลี้ภัยก่อนที่จะได้รับการฟื้นฟูให้กลับมามองเห็นและแก้ข้อกล่าวหาได้
 
นักบุญริชาร์ดิส แห่ง แอนโดล (St. Richardis of Andlou 839-895) เธอเป็นลูกขุนนางชาวฝรั่งเศสที่กลายเป็นจักรพรรดินีแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อสามีของเธอ (รู้จักกันในชื่อ Charles the Fat) ได้รับการสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิ เมื่อพวกเขาแต่งงานกันมาเกือบ 20 ปีจักรพรรดิชาร์ลส์ก็กล่าวหาว่าริชาร์ดิส นอกใจเขา, ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุผลทางการเมือง เธอกระตือรือร้นที่จะกู้ชื่อเสียงของเธอโดยการยอมให้ถูกทดสอบด้วยไฟ เมื่อเธอรอดพ้นจากการทดสอบครั้งนี้, ริชาร์ดิสไม่ยอมกลับไปหาสามี เธอก่อตั้งสำนักสงฆ์และนักบวชเบเนดิกตินขึ้นและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่นแทน
 
นักบุญลอเรนโซ รูอิซ (St. Lorenzo Ruiz 1594-1637) ท่านเป็นสามีและเป็นบิดา, ท่านเป็นคนธรรมดาที่รักการสวดสายประคำและทำงานเป็นช่างประดิษฐ์ตัวอักษร แต่หลังจากที่ถูกกล่าวหาอย่างผิดๆว่าฆ่าชายชาวสเปน, ลอเรนโซรู้ว่ากฎหมายจะไม่ให้ความคุ้มครองแก่ท่าน เพราะท่านมีเชื้อสายฟิลิปปินส์ + จีนไม่มีทางที่ศาลจะเชื่อคำพูดของเขามากกว่าคำพูดของผู้กล่าวหาท่านซึ่งเป็นชาวสเปน ลอเรนโซเลือกที่จะหนีออกนอกประเทศ แม้ว่าท่านจะพยายามไปประเทศจีนที่ซึ่งท่านสามารถทำมาหากินได้ แต่กลับพบว่าตัวเองต้องไปอยู่ที่โอกินาวาในญี่ปุ่นแทน ซึ่งเวลานั้นชาวคริสต์ในโอกินาวาถูกเบียดเบียนข่มเหงจากรัฐบาล ท่านถูกจับคุมขังและต้องพลีชีพเป็นมรณะสักขีในที่สุด
 
นักบุญโจเซฟ วาซ (St. Joseph Vaz ค.ศ. 1651-1711) เป็นบุตรชายของชายชาวโปรตุเกสกับสตรีชาวอินเดีย แต่จิตใจของท่านมักจะคิดถึงเกาะศรีลังกาเสมอ เวลานั้นพระสงฆ์คาทอลิกทั้งหมดถูกเนรเทศเมื่อ 30 ปีก่อน หลังจากบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว คุณพ่อโจเซฟเดินทางไปศรีลังกาอย่างลับๆ แต่ชาวดัตช์ที่ถือนิกายคาลวินนิสต์ได้สมคบคิดที่จะขัดขวางการปฏิบัติศาสนกิจคาทอลิกในศรีลังกา โดยบอกกับรัฐบาลพื้นเมืองว่าพระสงฆ์อาจมาเป็นสายลับของโปรตุเกส คุณพ่อโจเซฟถูกจับและคุมขัง แต่ต่อมาได้รับความเคารพนับถือจากกษัตริย์ เพราะการสวดอธิษฐานขอฝนของท่าน, ในเวลาที่เกิดความแห้งแล้ง จากนั้นก็มีฝนตกลงมาจนน้ำท่วมทุกที่ ท่านใช้เวลา 15 ปีต่อมาในการแพร่ธรรมอย่างอิสระ
 
นักบุญ อากาธา โน ชิน อี(St. Agatha Kwon Chin-i 1820-1840) เป็นลูกสาวของขุนนางเกาหลี เธอแต่งงานตอนอายุ 12 หรือ 13 ปี แต่สามีของเธอยากจนเกินกว่าจะพาเธอไปที่บ้านของเขา ดังนั้นอากาธาจึงยังคงเป็นสาวพรหมจารีอยู่ในบ้านของบิดา เมื่อ Fr. Pacificus Yu Pang-che เดินทางมาจากประเทศจีนซึ่งเป็นพระสงฆ์คนแรกที่เข้ามาในเกาหลีในรอบ 30 ปี อากาธาเริ่มทำงานเป็นแม่บ้านให้ท่าน เธอบอกกับ Fr. Pacificus ถึงความปรารถนาที่จะเป็นหญิงพรหมจารีและ Fr. Pacificus บอกเธอว่า “การแต่งงานที่แล้วมาของเธอถือเป็นโมฆะ” (แม้ว่าบันทึกจะไม่บอกว่าเขาทำตามขั้นตอนอะไรอย่างเป็นทางการ) แล้วเสียงเล่าลือเริ่มขึ้น เมื่ออากาธายังคงทำงานในบ้านของ Fr. Pacificus ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน เมื่อคุณพ่อนักบุญปีแอร์ เมอแบนท์(St. Pierre Maubant) มาถึง ท่านได้ส่ง Fr. Pacificus กลับไปยังประเทศจีน อากาธาเสียใจที่เธอไม่รอบคอบทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวและต้องการพลีชีพเป็นมรณะสักขี เมื่อเธออายุ 19 ปี, เธอถูกจับและคุมขังพร้อมกับแม่ของเธอนักบุญแม็กดาลีนฮัน ยง อี ทั้งสองเป็นมรณะสักขี
 
บุญราศีคุณพ่อ มีเกล โปร (Bl. Miguel Pro 1891-1927) มีชื่อเสียงในเรื่องอารมณ์ขันและการปลอมตัวท่านเป็นมรณะสักขีในระหว่างสงครามคริสเตอโร,ในเม็กซิโก ท่านถูกกล่าวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในความพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีของเม็กซิโก ถึงแม้ผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำนี้รับสารภาพและยืนยันว่าคุณพ่อโปรและพี่น้องของท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มันเป็นข้อกล่าวหาที่สะดวกสำหรับเจ้าหน้าที่ในการปิดการสืบสวนหาคนผิดที่ตามหามานาน หลังจากถูกตามล่าและจับกุมคุณพ่อโปรถูกประหารชีวิตโดยไม่มีการพิจารณาคดี
 
บุญราศีเซเฟอริโน กิมมีเนส มัลลา (Ceferino Giménez Malla 1861-1936) เป็นสามี, บิดาและพ่อค้าม้าชาวโรม ท่านมีชื่อเสียงว่าเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ครั้งหนึ่ง,ท่านถูกพบพร้อมกับล่อสองตัวที่ถูกขโมยไป ด้วยอคติ, ตำรวจเชื่อว่าท่านเป็นขโมย ท่านจึงถูกจำคุกโดยไม่มีโอกาสแสดงหลักฐานบิลจ่ายเงินจากการซื้อล่อ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าท่านได้ซื้อล่อมาจากขโมยตัวจริง ในที่สุดท่านก็ได้รับโอกาศให้พิสูจน์ความจริงและท่านก็พ้นผิด ท่านออกจากคุกและไปคุกเข่าที่มหาวิหารเพื่อขอบคุณพระเจ้า หลายปีต่อมา, ท่านถูกจับอีกครั้ง, คราวนี้ในข้อหาปกป้องพระสงฆ์ในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน; การจับกุมครั้งนั้นจบลงด้วยการเป็นมรณะสักขี

***************************

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น