วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

อัศจรรย์ดวงอาทิตย์

 
 
 
อัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา จากปากของผู้ที่เห็นเป็นพยานในวันนั้น
 
นายอเวลิโน (Avelino de Almeida) หัวหน้าบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ O Seculo ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่แอนตี้พระสงฆ์และเป็นหนังสือพิมพ์ของกลุ่มเมซอนนิคแห่งลิสบอน เขาได้เขียนข่าวรายงานไว้ดังนี้
 
ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนมากมายมารวมตัวกันด้วยความกล้าหาญเดินฝ่าพื้นดินที่เป็นโคลนตม เราได้เห็นฝูงชนมหาศาลมุ่งหน้าไปทางที่พระอาทิตย์ขึ้น ท้องฟ้ากระจ่างแจ้งไร้เมฆเหมือนสีจานเงิน มันสามารถมองดูได้โดยไม่ทำให้เคืองตา ไม่ทำให้ตาบอด มันเหมือนกับมีสุริยุปราคา และแล้วก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้น ฝูงชนที่อยู่ใกล้กับเราร้องดังขึ้นมาว่า “อัศจรรย์ อัศจรรย์...ประหลาด ประหลาดมาก” ต่อหน้าสายตาของประชาชนซึ่งทำให้เราคิดถึงเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ พวกเขาเพ่งมองดูท้องฟ้า ดวงอาทิตย์สั่นสะเทือน เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ ผิดกฏธรรมชาติ...”ดวงอาทิตย์เต้น”
 
อเวลิโน ได้รายงานข่าวในอีก 15 วันต่อมาในบทความของเขา Ilustração Portuguesa ครั้งนี้มีรูปภาพประกอบจำนวนมากของฝูงชนที่กำลังเพ่งมอง เขาใช้ชื่อบทความว่า “ฉันเห็น...ฉันเห็น...ฉันเห็น” และได้สรุปว่า “อัศจรรย์เกิดขึ้น ขณะที่ประชาชนร้องตะโกนหรือ? เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอกหรือ? ในเวลานั้น ผมได้แต่พูดว่า สิ่งที่ผมเห็นนั้น...อยู่นอกเหนือวิทยาศาสตร์และพระศาสนจักร”
 
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 1917 ผู้แสวงบุญเริ่มต้นเดิน (เพื่อเป็นการใช้โทษบาป) เพราะมีฝนตกตลอดทั้งคืน และ “ในทันทีทันใดอากาศก็เปลี่ยนไป ถนนที่เป็นดินก็กลายเป็นโคลนด้วยฝนที่ตกลงมา เป็นอุปสรรคในการเดินทางตลอดวัน แม้กระนั้นประชาชนก็ไม่ท้อถอยหรือสิ้นหวัง”
 
มีพยานที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก และเราไม่สามารถสัมภาษณ์ทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็น นี่เป็นความจริงที่น่าประหลาดใจที่ได้รวบรวมโดย ดร. อัลเมดา การ์เร็ต Dr. Almeida Garrett
 
มันเป็นเวลา 13.30 น. เมื่อเด็กทั้งสามมาถึง มีควันเบาบางละเอียดลอยขึ้นเหนือศีรษะพวกเขาและหายไป ปรากฏการณ์นี้เห็นได้ด้วยตาเปล่าในเวลาไม่กี่วินาที และไม่นานมันก็เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง และครั้งที่สาม..
 
ขณะนั้น “ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ความชื้นที่เกิดจากฝนที่ตกลงมาเป็นเวลานานค่อยลดลง” ในระหว่างที่มีการประจักษ์ ฝนได้หยุดลงอย่างสิ้นเชิง และท้องฟ้าก็กระจ่างแจ้ง “ดวงอาทิตย์ส่องแสงลอดกลุ่มเมฆที่เคยปิดบังไว้ แสงส่องสว่างเจิดจ้า” (จากคำบอกเล่าของ Dr. Almeida Garrett) การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศเป็นที่ประหลาดใจของประชาชนทั่วไป “มันเป็นวันที่ฝนตกอย่างหนักและต่อเนื่อง แต่ไม่กี่นาทีก่อนที่จะเกิดอัศจรรย์ ฝนก็หยุดตก” (คำบอกเล่าของ Alfredo da Silva Santos)
 
ต่อไปนี้เป็นคำพยานของนายแพทย์ Dr. Almeida Garrett,บุคคลที่รู้วิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี เขาได้บรรยายปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ที่ไม่อาจอธิบายถึงสาเหตุได้ซึ่งเกิดต่อสายตาประชาชนโดยไม่ทำให้สายตาเสีย “ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากประชาชนนับพัน ผมได้เห็นปรากฏการณ์ที่ใหญ่ไพศาลจากบริเวณที่ผมยืนอยู่...ประชาชนพากันมองไปที่ดวงอาทิตย์..ผมมองดูไปรอบๆและก็มองไปตรงจุดที่ประชาชนกำลังมองอยู่ ผมมองเห็นดวงอาทิตย์เหมือนจานที่มีขอบคม มันสว่างแต่ไม่ทำร้ายสายตา...มันไม่เหมือนกับการเห็นดวงอาทิตย์ผ่านสายหมอก (ไม่มีหมอกลงในเวลานั้น) และมันไม่ได้ถูกบังหรือมืดสลัวลง ที่ฟาติมายังคงสว่างและอบอุ่น สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือเราสามารถมองดูดวงอาทิตย์ได้เป็นเวลานาน ดวงอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้าและอบอุ่น โดยไม่ทำร้ายสายตา หรือทำร้ายเรตินา” (Dr. Almeida Garrett)
 
หนังสือพิมพ์ O Seculo บทความวันที่ 15 ต.ค. 1917 เขียนว่า “แล้วนั้นเราได้เห็นเป็นพยานเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจ เหลือเชื่อ และแทบไม่น่าเชื่อถ้าคุณไม่ได้เห็นด้วยตาของคุณเอง บนถนนนั้น...เราเห็นฝูงชนจำนวนมหาศาลมองไปที่ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่เบื้องบนท้องฟ้า ไร้เมฆ มันดูเหมือนจานที่ทำด้วยเงิน และสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าโดยไม่ทำให้ระคายเคืองตาเลย มันไม่เผาดวงตา ไม่ทำให้ตาบอด มันเหมือนเกิดสุริยุปราคา”
 
“ประชาชนสามารถมองดูดวงอาทิตย์เหมือนกับมองดูดวงจันทร์” (Maria do Carmo)
 
“ดวงอาทิตย์สั่นสะเทือน มันเหมือนกงล้อแห่งไฟ” (Maria da Capelinha)
 
“ดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปเหมือนกงล้อแห่งไฟ เปล่งแสงสีรุ้งออกมา” (Maria do Carmo)
 
“ดวงอาทิตย์เหมือนลูกกลมหิมะที่หมุนรอบตัวเอง” (Father Lourenco)
 
“จานสีไข่มุกเคลื่อนที่เหวี่ยงไปมา นี่ไม่เหมือนกับดวงดาวที่กระพริบ มันหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงยิ่ง” (Dr. Almeida Garrett)
 
“ในช่วงเวลาหนึ่ง ดวงอาทิตย์หยุดหมุนและเริ่มเต้น หมุน และก็หยุด และก็เต้น” (Ti Marto)
 
“ดวงอาทิตย์สาดแสงเป็นสีรุ้ง และทุกสิ่งบนพื้นโลกก็มีสีตามสีที่สาดนั้นด้วย บนใบหน้า บนเสื้อผ้า และบนพื้นดิน” (Maria do Carmo)
 
“แสงซึ่งมีสีเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา ได้สะท้อนไปบนประชาชนและสิ่งต่างๆ” (Dr. Pereira Gens)
 
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาซึ่งเป็นอัศจรรย์นั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยของเราเลย มันสามารถทำลายมนุษย์และโลกได้อย่างหมดสิ้นด้วยไฟจากท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะหลุดจากท้องฟ้าและตกลงมาบนโลกของเรา
 
“ทันใดนั้นเราได้ยินเสียงโห่ร้อง เหมือนเสียงร้องของความปวดร้าวออกมาจากฝูงชน ดวงอาทิตย์ที่กำลังหมุนอย่างรวดเร็วดูเหมือนจะหลุดจากตำแหน่งที่มั่นคงของมันและมีสีแดงเหมือนเลือด มันตกลงมายังโลกและบดขยี้พวกเราด้วยมวลมหึมาของมัน ความน่ากลัวนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที” (Dr. Almeida Garrett)
 
“ผมเห็นดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองและดูเหมือนจะตกลงมา มันเหมือนกับล้อรถจักรยาน” (John Carreira)
 
“ดวงอาทิตย์เริ่มเต้น และในเวลาหนึ่ง มันหลุดออกมาจากตำแหน่งของมันและมุ่งมาที่พวกเรา เหมือนกับล้อไฟ” (Alfredo da Silva Santos)
 
“ฉันเห็นมันตกลงมาราวกับจะชนโลกให้แหลก มันเหมือนกับหลุดจากท้องฟามุ่งมาที่พวกเรา มันมาหยุดที่ตำแหน่งระยะทางสั้นเหนือศีรษะพวกเรา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ...มันเหมือนใกล้ประชาชนมากและมันหมุนต่อไปในทิศตรงข้าม” (Maria do Carmo)
 
“ทันใดนั้น ดวงอาทิตย์ปรากฏคล้ายหลุดจากท้องฟ้า มันตกลงมาในระยะประมาณเมฆและเริ่มหมุนรอบตัวเองเหมือนลูกบอลไฟ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณ 8 นาที” (Father Pereira da Silva)
 
“ทันใดนั้นมันตกลงมายังโลกอย่างซิกแซก” (Father Lourenço)
 
“ผมเห็นดวงอาทิตย์ตกลงบนพวกเรา...” (Father John Gomes)
 
“ในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็หยุดและทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอก...” (Maria da Capelinha)
 
“จากปากของประชาชนนับพัน ฉันได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความยินดีและด้วยความรักต่อพระนางพรหมจารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง และฉันเชื่อว่า ไม่ได้ถูกหลอกลวงด้วยภาพมายาอย่างแน่นอน ฉันได้เห็นดวงอาทิตย์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน” (Mario Godinho, an engineer)
 
สิ่งน่าประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งคือ ประชาชนซึ่งก่อนหน้านี้เปียกโชกไปทั้งตัว พากันประหลาดใจและยินดีที่พบว่าเสื้อผ้าและร่างกายได้แห้งแล้ว
 
“สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือเสื้อผ้าของเราได้แห้งหมด” (Maria do Carmo)
 
“เสื้อผ้าของผมแห้งในทันที” (John Carreira)
 
ขุนนางชั้นสูง Marques da Cruz ได้กล่าวยืนยันดังนี้ – “ฝูงชนทั้งหมดต่างตัวเปียกปอน เพราะมีฝนตกไม่หยุดตั้งแต่เช้า แต่หลังจากอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ทุกคนรู้สึกสบายและพบว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ได้แห้งลงอย่างสิ้นเชิง ทำให้มีความประหลาดใจมาก...นี่เป็นความจริงที่ผู้คนจำนวนมากได้รับรอง”
 
                                                         **********
 
และสุดท้ายมีอัศจรรย์ของการที่คนจำนวนมากได้กลับใจ ในหนังสือของ จอห์น ฮัฟเฟริท์ Meet the Witnesses ได้เขียนไว้ว่า
 
หัวหน้านายทหารที่ควบคุมดูแลที่นั่นในเวลานั้นได้รับคำสั่งยับยั้งไม่ให้ประชาชนมารวมตัวกัน ได้กลับใจอย่างทันทีทันใด แม้แต่คนที่นั่นก็แทบไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ พวกเขาได้ให้การเป็นพยานว่า “มีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อได้มาอยู่ที่นั่นและใช้เวลาตลอดทั้งเช้าเยาะเย้ยผู้คนที่เดินทางมาว่า เป็นคน “โง่เง่า” ที่ไปดูเด็กธรรมดาในฟาติมา เวลานั้นพวกเขาตกตะลึงขณะที่มองดูดวงอาทิตย์ เขาเริ่มตัวสั่นตั้งหัวจรดเท้า และยกแขนขึ้นทรุดลงคุกเข่าอยู่ในโคลน ร้องเรียกหาพระเจ้า “.” (Father Lourenço)
 
“ผมอาศัยอยู่ห่างจากฟาติมา 18 ไมล์ และในเดือนพฤษภาคม 1917 เราได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์พิเศษของการประจักษ์ แต่ข่าวที่เราได้รับสับสนปนเปกับเรื่องนิยายของผู้คนต่างๆ ปกติแล้วเราย่อมไม่เชื่อ ผมเองคิดว่านี่เป็นแค่จินตนาการของคนบางคนเท่านั้น...ตามคำขอร้องของแม่ของผม ผมได้ไปที่โควา ดา อีเรีย มากกว่าหนึ่งครั้งในเดือนสิงหาคมในตอนที่มีการประจักษ์ ผมกลับบ้านด้วยความผิดหวังและท้อใจมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ในเวลานั้นเหตุการณ์ที่พิเศษก็เกิดขึ้น แม่ของผมที่มีเนื้องอกก้อนใหญ่ที่ตาข้างหนึ่งเป็นเวลานานหลายปีแล้ว บัดนี้ได้หายขาด หมอที่ดูแลแม่ของผมบอกว่า เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงหาย แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเรื่องการประจักษ์อยู่ดี ดังนั้นในเวลาที่ผมนั่งอยู่บนรถของผม ผมสังเกตเห็นทุกคนมองไปบนท้องฟ้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมลงจากรถและมองขึ้นไป่บนท้องฟ้าด้วย....ผมได้ยินเสียงจากผู้คนนับพันแสดงความเชื่อและความรักในพระแม่มารีย์ และผมก็เชื่อ” (Mario Godinho, an engineer)
 
มีเอกสารที่รายงานถึงการหายจากโรคอย่างอัศจรรย์และการกลับใจจำนวนมากซึ่งสามารถค้นหาได้ในหนังสือ Documentação Crítica de Fátima and Fatima from the Beginning
 
                                            *************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น