วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

วิญญาณในไฟชำระกำลังวอนขอเรา


 
เดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนที่เราระลึกถึงวิญญาณในไฟชำระเป็นพิเศษ พวกเขาอาจเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ของเราที่เสียชีวิตไปแล้ว และกำลังทนทุกข์ทรมานในไฟชำระ
 
สถานที่สำหรับการชำระล้าง
 
ความทุกข์ทรมานในไฟชำระไม่เหมือนการถูกสาปแช่งในนรก เพราะในนรกเป็นโทษทัณฑ์จากความยุติธรรมของพระเป็นเจ้า แต่ไฟชำระมาจากความรักของพระเป็นเจ้า
 
นักบุญโทมัสและนักบุญออกุสตินอธิบายว่า ความเจ้บปวดที่น้อยที่สุดของไฟชำระยังรุนแรงกว่าความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดในโลกนี้ เป็นเพราะความปรารถนาอันเร่าร้อนของวิญญาณที่ปรารถนาในพระเป็นเจ้า บันดาลให้เกิดความเจ็บปวดทรมานสุดประมาณเกินกว่าความเจ็บปวดใดๆบนโลกนี้ที่อาจสัมผัสและรู้สึกได้
 
ความทุกข์ทรมานทำให้เกิดความหวัง
 
นักบุญแคทเธอรีนแห่งเจนัว (1447-1510) ซึ่งได้รับความทรมานของไฟชำระบนโลกนี้ อธิบายว่า
 
ดิฉันเชื่อว่าไม่มีความสุขใดในโลกนี้ที่สามารถนำมาเปรียบกับความสุขที่วิญญาณในไฟชำระได้รับ ถึงแม้วิญญาณยังได้รับความทรมานอยู่ ยกเว้นแต่ความสุขของบรรดานักบุญในสวรรค์เท่านั้น พระเป็นเจ้าทรงเพิ่มเติมความสุขให้แก่วิญญาณเหล่านั้นทีละน้อยตามระยะเวลาที่เขาอยู่ในนั้น และมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งความสุขเต็มเปี่ยมและเขาพร้อมที่จะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ มลทินบาปเป็นเครื่องขัดขวาง และไฟได้เผาไหม้มลทินนั้นออกไปเรื่อยๆ จนวิญญาณสามารถเปิดเผยตนเองต่อพระเป็นเจ้าได้ วัตถุที่ถูกปกคลุมไว้ไม่สามารถตอบสนองรังสีแห่งดวงอาทิตย์ได้ ไม่ใช่เพราะมีจุดดับในดวงอาทิตย์ แต่เป็นเพราะสิ่งที่ปกคลุมได้ขวางกั้นแสงไว้ ถ้าสิ่งปกคลุมถูกทำลายไป สิ่งที่ซ่อนไว้อยู่ภายใต้การปกคลุมนั้นก็สามารถเปิดตัวมาอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ได้ บาปคือสิ่งที่ปกคลุมวิญญาณไว้ พระเป็นเจ้าทรงเป็นดวงอาทิตย์อันแท้จริง ความเจ็บปวดทรมานจากไฟชำระจะกำจัดมลทินบาปให้หมดไปทีละน้อยจนหมด และวิญญาณสามารถมาอยู่ในพระเป็นเจ้า สำหรับด้านจิตใจแล้ว วิญญาณไม่อาจพูดได้ว่าความเจ็บปวดทรมานชองไฟชำระเป็นความเจ็บปวดทรมาน
 
ระยะเวลารับโทษในไฟชำระ
 
นักบุญอันตนได้เล่าเรื่องของชายผู้หนึ่งซึ่งป่วยหนัก เขาเจ็บปวดมากและคิดว่าไม่มีใครแล้วที่เจ็บปวดมากเท่ากับเขา เขาสวดภาวนาขอให้ตายไปเสีย วันหนึ่ง ทูตสวรรค์องค์หนึ่งประจักษ์มาหาเขาและพูดว่า "พระเป็นเจ้าทรงให้เรามาหาท่านเพื่อให้ท่านเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งคือ ท่านจะทนทรมานในโลกนี้หนึ่งปี หรืออยู่ในไฟชำระเป็นเวลาหนึ่งวัน" ชายคนนั้นเลือกข้อหลัง เขาได้ตายไปและไปอยู่ในไฟชำระ
 
เมื่อทูตสวรรค์ไปเยี่ยมเขาในไฟชำระเพื่อปลอบประโลมใจ เขาร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดว่า "ท่านหลอกลวงข้าพเจ้า ท่านบอกว่าข้าพเจ้าจะอยู่ในไฟชำระเพียงวันเดียว แต่นี่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้อยู่ในนี้ไม่น้อยกว่า 20 ปีแล้ว มันช่างทรมานนี่กระไร"
 
ทูตสวรรค์ตอบเขาว่า "วิญญาณที่น่าสงสารเอ๋ย ศพของเธอที่อยู่บนโลกยังไม่ได้ถูกฝังเสียด้วยซ้ำไป"
 
การช่วยเหลือจากวิญญาณในไฟชำระ
 
มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับการช่วยเหลือจากไฟชำระ
 
เคาท์เตสแห่งแสตรทฟอร์ด เป็นโปรแตสแตนท์ชาวอังกฤษ เธอสงสัยในเรื่องการมีอยู่จริงของไฟชำระ จึงได้ปรึกษากับพระสังฆราชคาทอลิกแห่งอาเมียน ประเทศฝรั่งเศส เมื่อท่านได้ทราบถึงข้อกังขาของเธอ จึงตอบเธอว่า "จงไปบอกท่านสังฆราชแห่งลอนดอน (แองกลิกัน) ว่า ผมจะยอมทิ้งความเชื่อและไปถือตามแองกลิกัน ถ้าเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า นักบุญออกัสตินไม่เคยประกอบพิธีมิสซาหรือสวดภาวนาอุทิศให้แก่ผู้ตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทิศให้แก่มารดาของท่านเลย"
 
ท่านเคาท์เตสทำตามโดยเขียนจดหมายไปถามพระสังฆราชแห่งลอนดอน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา เธอจึงได้กลับใจมาเป็นคาทอลิก
 
นักบูญเทเรซา แห่งอาวิลา ในเวลาที่กำลังปฏิรูปคณะคาร์เมไลท์ เธอต้องการอารามสักหลังหนึ่ง และขุนนางผู้หนึ่งนามว่า เบอร์นาดีนแห่งโทเลโด ได้มอบสถานที่และอารามให้แก่นักบูญเทเรซา เมื่อขุนนางผู้นี้ตายไป เขาได้ประจักษ์มาหานักบูญเทเรซา บอกกับเธอว่า เขายังอยู่ในไฟชำระและจะพ้นจากไฟชำระได้ต่อเมื่อมิสซาแรกได้กระทำขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่เขาในอารามซึ่งเขาได้ถวายให้เธอ นักบุญเทเรซาทำตามโดยไม่รีรอ และในระหว่างพิธีมิสซานี้ เธอได้เห็นวิญญาณของขุนนางอยู่ด้านข้างพระสงฆ์ สว่างสุกใสงดงาม
 
-----------------------------
 
ปีค.ศ. 1870 ประเทศเบลเยี่ยมได้เข้าเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสในการทำสงครามต่อสู้กับเยอรมันนี
 
เดือนกันยายนในปีนั้น ซิสเตอร์มาเรีย เซราฟีนา ซึ่งอยู่ในคณะรีเด็มทอรีส Redemptorist ของเมืองมาไลน์ส Malines ประเทศเบลเยี่ยม ทันทีทันใดเธอก็รู้สึกเศร้าโศกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
 
ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็ได้รับข่าวว่าบิดาของเธอได้เสียชีวิตแล้วในสงคราม
 
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซิสเตอร์มักได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นร้องว่า "ลูกรัก, โปรดเมตตาช่วยพ่อด้วย"
 
พร้อมกันนั้น เธอยังได้รับความทรมานทางร่างกายอีกด้วย อย่างเช่น ปวดหัวอย่างรุนแรงแทบทนไม่ไหว วันหนึ่ง,ขณะที่เธอกำลังนอน เธอได้เห็นบิดาของเธอประจักษ์มากำลังทรมานอยู่ในเปลวไฟร้อนแรง เขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก"
 
เขาบอกว่า เวลานี้เขากำลังรับความทรมานอยู่ในไฟชำระ แต่ได้รับอนุญาตจากพระเป็นเจ้าให้มาหาลูกสาว เพื่อให้เธอช่วยสวดภาวนาและรับความทรมานแทนเขาได้ เขาพูดว่า
 
"พ่ออยากให้ลูกขอมิสซาอุทิศให้แก่พ่อ พร้อมทั้งสวดภาวนาและรับพระคุณการุญอุทิศให้แก่พ่อด้วย มองดูพ่อซิ พ่อจมอยู่ในโพรงแห่งเปลวไฟ โอ ถ้ามนุษย์รู้ว่าไฟชำระเป็นอย่างไรละก็ พวกเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้รอดพ้นจากสถานที่แห่งนี้หรือทำให้ความทุกข์ทรมานในนี้เบาบางลง ลูกเอ๋ย, จงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์มากมากเถิด จงปฏิบัติตามบัญญัติทุกประการ แม้แต่อันที่เล็กน้อยที่สุด เพราะไฟชำระสำหรับนักบวชนั้น ทุกข์ทรมานมากยิ่งกว่านี้มากนัก"
 
ซิสเตอร์มาเรียได้เห็นบึงที่เต็มไปด้วยไฟ มีหมอกควันปกคลุมไปทั่ว บิดาของเธอกำลังจมอยู่ในบึงนี้และถูกเผาจนไหม้เกรียม เขาทั้งรู้สึกอึดอัดและกระหายน้ำ เมื่อเขาเปิดปากออก เธอเห็นว่าลิ้นของเขาแห้งผากจนซีด
 
"พ่อกระหายน้ำ, ลูกเอ๋ย , พ่อกระหายเหลือเกิน"
 
วันต่อมา บิดาได้มาหาเธออีกและพูดว่า "ลูกเอ๋ย, เป็นเวลานานมากแล้วที่พ่อไม่ได้พบลูก, ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พ่อมาหาลูก"
 
"คุณพ่อคะ นั่นมันเพิ่งจะเมื่อวานนี้เองนี่คะ......" ซิสเตอร์ตอบ
 
"โอ มันเป็นเวลายาวนานเหมือนนิรันดร์กาลสำหรับพ่อ ถ้าพ่ออยู่ในไฟชำระนี้เพียงสามเดือน มันจะเหมือนเป็นนิรันดรเลยทีเดียว พ่อถูกพิพากษาให้ต้องชดใช้โทษเป็นเวลาหลายปี แต่...แม่พระทรงเข้ามาช่วยเหลือ โทษของพ่อจึงถูกลดลงเหลือเพียงไม่กี่เดือน"
 
พระหรรษทานที่ทำให้เขาได้รับอนุญาตให้สามารถกลับมายังโลกนี้ได้ มาจากการกระทำดีของเขาขณะที่มีชีวิตอยู่และเพราะเขามีความศรัทธาต่อแม่พระโดยรับศีลมหาสนิททุกครั้งในวันฉลองของแม่พระ
 
ซิสเตอร์มาเรียได้ถามคำถามหลายอย่างในระหว่างที่ได้เห็นบิดาประจักษ์มา
 
"วิญญาณในไฟชำระรู้หรือไม่คะว่าใครที่กำลังสวดภาวนาให้แก่เขา และผู้ที่อยู่ในไฟชำระสามารถสวดภาวนาสำหรับพวกเราได้หรือไม่?"
 
"ได้สิ ลูกรัก"
 
"วิญญาณเหล่านั้นเป็นทุกข์หรือไม่ที่รู้ว่าบุคคลในครอบครัวของเขาและมนุษย์ในโลกได้ทำผิดต่อพระเป็นเจ้า"
 
"ใช่แล้ว"
 
ซิสเตอร์ได้ถามบิดาตามคำแนะนำของผู้ใหญ่
 
"เป็นจริงหรือไม่ที่ความทุกข์ทรมานในไฟชำระ ร้ายแรงและสาหัสมากกว่าความทุกข์ทรมานทุกชนิดในโลกหรือแม้แต่ความทุกข์ทรมานของมรณะสักขี
 
"ใช่แล้ว ลูกเอ๋ย นั่นเป็นความจริงที่สุด"
 
ซิสเตอร์ถามต่อไปว่า จริงหรือไม่ที่ ถ้าใครก็ตามที่สวมสายจำพวกของแม่พระแห่งคาร์แมลติดตัวตลอดเวลา เขาจะรอดพ้นจากไฟชำระในวันเสาร์แรกหลังจากวันที่เขาเสียชีวิตและจะได้ไปสวรรค์
 
"ถูกต้อง" เขาตอบ "แต่เขาจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของการสวมสายจำพวกอย่างเคร่งครัดด้วยนะ"
 
"เป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ ที่มีบางคนจะต้องอยู่ในไฟชำระนานเป็นร้อยๆปี?"
 
"ใช่แล้ว บางคนถูกลงโทษให้อยู่ในไฟชำระจนกระทั่งวันสิ้นพิภพเลยทีเดียว วิญญาณเหล่านั้นทำผิดหนักมากและเขาถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง"
 
"สาเหตุสามประการที่ทำให้มนุษย์ได้รับโทษทัณท์อย่างหนักจากพระเป็นเจ้า คือ การที่มนุษย์ไม่ถือวันของพระเป็นเจ้าโดยการไปทำงานในวันนั้น การแพร่กระจายอย่างมากของบาปแห่งความไม่บริสุทธิ์ และการพูดและกระทำทุรจารต่อพระเป็นเจ้า โอ ลูกเอ๋ย การกระทำทุรจารเหล่านั้นนำการลงโทษของพระเป็นเจ้ามาสู่มนุษย์อย่างร้ายแรง"
 
ซิสเตอร์มาเรียได้สวดภาวนา, ทำพลีกรรมและขอมิสซาอุทิศแก่บิดาของเธอ เธอยอมรับความทรมานที่เกิดแก่เธอเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานแทนบิดาของเธอ เธอทำเช่นนี้เป็นเวลานานสามเดือน ในวันคริสต์มาสขณะที่พระสงฆ์ยกแผ่นศ๊ลขึ้นในระหว่างพิธีมิสซา ซิสเตอร์มาเรียได้เห็นวิญญาณบิดาของเธอส่องสว่างรุ่งเรืองดังดวงอาทิตย์ สวยงามไม่มีอะไรเทียบ
 
"การรับโทษทัณฑ์ของพ่อได้สิ้นสุดลงแล้ว พ่อมาเพื่อบอบคุณลูกและบรรดาซิสเตอร์ที่ช่วยสวดภาวนาและพลีกรรมอุทิศให้แก่พ่อ พ่อจะสวดภาวนาให้ลูกในสรวงสวรรค์"
 
บาปของมนุษย์เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความวิบัติสองประการคือ การสาปแช่ง (เมื่อเป็นบาปหนักซึ่งทำให้ตกนรก) หรือ การลงโทษเพียงชั่วคราวซึ่งเป็นพระหรรษทานที่มาจากความช่วยเหลือของพระเป็นเจ้า ถึงแม้ว่าการสารภาพบาปจะทำให้เรารอดพ้นจากการถูกสาปแช่ง แต่เรายังคงต้องทำกิจใช้โทษบาป ซึ่งอาจทำได้โดยการสวดภาวนา ตั้งใจร่วมพิธีมิสซา การทำพลีกรรมและการรับพระคุณการุญ คนที่ตายโดยมีบาปเบาหรือไม่ได้ทำการใช้โทษบาปอย่างเพียงพอ เขาจะต้องไปยังไฟชำระ
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น