วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

104 ปีการประจักษ์ที่ฟาติมา


          ความลึกลับยังคงอยู่
เมื่อ 104 ปีก่อน ในวันที่ 13 พฤษภาคม 1917 แม่พระทรงประจักษ์แก่เด็กเลี้ยงแกะสามคนเป็นครั้งแรกที่ฟาติมา,ประเทศโปรตุเกส  ในขณะที่เลนินได้เริ่มต้นการปฏิวัติรัสเซีย ในกรุงเปโตรกราด(Petrograd ปัจจุบันคือเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก)
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของ สาส์นความลับแห่งฟาติมา
สงครามโลกครั้งที่ 1 เวลานั้น ในตอนกลางปี 1917 เป็นยุคแห่งความเสื่อมโทรมของยุโรป  ชาติต่างๆในยุโรปเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาได้ 3 ปี   ชายหนุ่มนับร้อยนับพันต้องไปประจำการรบอยู่ที่แนวหน้าฝั่งตะวันตก  สมรภูมิบางแห่ง เช่นที่ เวอร์ดูน    ทหารนับพันคนต้องเสียชีวิตในสนามรบภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง  เมื่อทหารกลุ่มหนึ่งล้มลงที่แนวหน้า  ทหารกลุ่มใหม่ก็เข้าไปแทนที่ ทุกคนต่างมีชีวิตที่ปราศจากความหวัง
สถานการณ์ทางฝั่งตะวันตกมีการคุมเชิงในการรบกันอยู่
ส่วนสถานการณ์ทางฝั่งตะวันออก ประเทศรัสเซียได้เปลี่ยนรัฐบาลและถอนตัวออกจากสงคราม ทำให้เยอรมนีได้รับชัยชนะในสมรภูมิ
ประเทศรัสเซีย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า "รัสเซียอันศักดิ์สิทธิ์" ราชวงศ์โรมานอฟถูกกำจัดโดยเลนิน และลัทธิคอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นศาสนาของรัฐอย่างเป็นทางการ เป็นลัทธิซึ่งไม่เชื่อในพระเป็นเจ้า และทำให้ศาสนจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ถูกเบียดเบียนอย่างโหดเหี้ยม รัฐบาลใหม่ที่กุมอำนาจเปลี่ยนโบสถ์ให้กลายเป็นห้องส้วม

ในเยอรมนี ภายหลังสงคราม, ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐเวียร์มาร์  แทนที่การปกครองของพระเจ้าไกเซอร์ ซึ่งเป็นโปรแตสแตนท์ และไม่นานนักรัฐบาลก็ใช้นโยบายรัฐสังคมนิยมแห่งชาติ

ประเทศต่างๆในยุโรปหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยไปเป็นระบอบประชาธิปไตย อำนาจในการปกครองก็ไปอยู่ในมือของสภานิติบัญญัติและคณะรัฐมนตรี ทำให้ประเทศเหล่านั้นเข้าสู่ความเป็นวัตถุนิยมมากยิ่งขึ้น

เด็กสามคนแห่งฟาติมาไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเหตุการณ์เหล่านี้เลย ถึงแม้ผู้ใหญ่และพระสงฆ์ประจำโบสถ์อาจจะได้เคยพูดถึงความโหดร้ายของสงครามให้ฟังอยู่บ้าง รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นแทบทุกแห่งทั่วยุโรปอาทิเช่นการที่ประชาชนละทิ้งคุณค่าของขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา  หันไปฝักใฝ่ในลัทธิสังคมนิยมหรือไม่ก็วัตถุนิยม สิ่งนี้เกิดขึ้นแม้แต่ในประเทศโปรตุเกสของพวกเขาด้วย

ความลับข้อที่สองของฟาติมา ... คำทำนายของแม่พระได้สำเร็จตามที่ทรงแจ้งไว้ล่วงหน้า

เลือด! เลือด! เลือด!

ความลับประการที่ 2 ของพระแม่มารีย์แห่งฟาติมา, เครื่องหมายอันยิ่งใหญ่ของการลงโทษของพระเจ้า - ท้องฟ้าเป็นสีแดงเลือดในปี 1938, ฮิตเลอร์และสงครามโลกครั้งที่สอง

"สงคราม (สงครามโลกครั้งที่ 1) กำลังจะสิ้นสุดลง แต่ถ้าผู้คนไม่หยุดทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว,สงครามที่เลวร้ายยิ่งกว่าจะบังเกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระสันตะปาปาปีโอที่11(Pius XI) ในเวลาค่ำคืน,เมื่อลูกเห็นแสงสว่างไสวที่ไม่รู้จักบนท้องฟ้า จงรู้เถิดว่านี่คือ สัญญาณอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงประทานแก่ลูกซึ่งแสดงว่าพระองค์กำลังจะลงโทษโลกสำหรับการก่ออาชญากรรม,ด้วยสงคราม,ความอดอยาก,และการเบียดเบียนพระศาสนจักร" นี่คือข้อความในความลับประการที่สองของแม่พระแห่งฟาติมาในปี 1917

แม่พระทรงแจ้งให้โลกรู้ล่วงหน้าในความลับข้อที่สองนี้ว่าจะเกิดสงครามอีกครั้งในรัชสมัยของพระสันตปาปาปีโอที่ 11 และสงครามจะเริ่มขึ้นเมื่อท้องฟ้าจะสว่างไสวด้วย "แสงที่ไม่รู้จัก" นี่คือแสงออโรร่าบอเรียลิส(Aurora Borealis)ที่มีชื่อเสียงซึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1938 มันคือสัญญาณจากสวรรค์”

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กับทีมงานของเขาซึ่งอยู่ที่บ้านแบร์กโฮฟ(Berghof)ใน Obersalzberg ของเทือกเขาแอลฟ์บาวาเรีย,ใกล้กับเมืองเบิร์ชเทสกาเดน,รัฐบาวาเรีย,ประเทศเยอรมนี ประชาชนได้เห็นท้องฟ้าสีแดงเพลิงที่ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีปของยุโรป นักวิทยาศาสตร์เรียกแสงนี้ว่า "Aurora Borealis" หรือแสงเหนือ .. หญิงรับใช้คนหนึ่งของฮิตเลอร์ร้องออกมาว่า เลือด! เลือด! เลือด! ฮิตเลอร์มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตะลึงงันพลางพูดออกมาว่า “เวลานี้เราจะหลั่งเลือดแล้ว”

แสงเรืองรองที่อาบบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในออสเตรีย,เป็นภาพที่สวยงาม แต่ก็สร้างความหวาดกลัว ในโปรตุเกส,ชาวนาคิดว่ามันคือหายนะภัยและลำแสงสีแดงเลือดขนาดมหึมาได้กระจายความกลัวแบบเดียวกันในหมู่บ้านอัลไพน์ของสวิส

"แสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ทางเหนือของท้องฟ้าทำให้เจ้าหน้าที่ทางการของสวิสและฝรั่งเศสโทรศัพท์ติดต่อกันหลายพันครั้ง เพื่อถามว่า มันจะเกิดไฟไหม้,สงคราม,หรือวันสิ้นโลกใช่ไหม" สื่อหนังสือพิมพ์ Associated Press รายงานว่า ระบบโทรศัพท์หยุดลง,บริการทางสายของแคนาดาหยุดชะงัก,และการสื่อสารทางวิทยุข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกทั้งหมดหยุดทำงานจนถึงเวลาเกือบเที่ยงคืน

ในคอนแวนต์,ลูซีอารู้ทันทีว่านั่นคือสัญญาณ "หมายสำคัญ" ซึ่งแม่พระทรงทำนายไว้ที่ฟาติมา เธอเขียนจดหมายถึงพระสังฆราชของเธอว่า ถ้าพวกเขาตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป,นักวิทยาศาสตร์จะพบว่านั่นไม่ใช่แสงเหนือที่เกิดขึ้นตามปกติ เธอกล่าวว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ "พระเจ้าทรงแสดงต่อโลก" และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1938 หนึ่งสัปดาห์หลังจากแสงออโรร่า,ฮิตเลอร์ได้เลื่อนตัวเองขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในเยอรมนี และหนึ่งเดือนหลังจากนั้น,เขาได้สั่งให้กองทัพเดินทัพเข้าไปในออสเตรียซึ่งเป็นภูมิภาคที่แสงออโรร่าก่อให้เกิดความปั่นป่วน

มันเป็นการเข้ายึดครองประเทศอย่างชัดเจนและในหลายๆกลยุทธ์ เยอรมนีก็เริ่มสงครามกับประเทศต่างๆในยุโรป และในไม่ช้า,ฮิตเลอร์จะพบกับมุสโสลินีในอิตาลี,ซึ่งมีการออกกฎหมายต่อต้านชาวยิว และมีการจับกุมชาวยิวในเยอรมนี ไม่นานหลังจากนั้น,เยอรมนีก็ยกทัพเข้าสู่โปแลนด์ซึ่งเป็นสัญญาณของการถือกำเนิดอย่างเป็นทางการของมหาสงครามโลกครั้งที่สอง

*สงครามโลกครั้งที่สองเป็นความขัดแย้งทางทหารที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 60 ล้านคนซึ่งมากกว่า 2.5% ของประชากรโลก

แม่พระทรงเริ่มประจักษ์แก่เด็กทั้งสามทุกวันที่ 13 ของเดือนเป็นเวลา 6 เดือน วันที่ 13 ตุลาคม 1917 ถือเป็นจุดสำคัญของการประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง ในวันนั้นได้เกิด "อัศจรรย์ของดวงอาทิตย์" ต่อหน้าประชาชนประมาณ 70,000 คน มีทั้งคนที่ช่างสงสัยไม่เชื่ออะไรง่ายๆ   ปรากฏการณ์ซึ่งผิดธรรมดาและน่าอัศจรรย์ใจปรากฏแก่สายตาของประชาชนซึ่งมีทุกระดับชนชั้น, ทุกฐานะ, ทุกระดับสติปัญญา ช่างภาพได้ถ่ายรูปซึ่งถ่ายให้เห็นคนที่กำลังแหงนหน้ามองดูดวงอาทิตย์ด้วยความพิศวง

เราอาจเรียกเวลานั้นว่า เป็นเวลาแห่งพระพรของพระเป็นเจ้า , พระหรรษทาน, สิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานให้เปล่าๆให้แก่ คนที่มีใจถ่อมตน, คนไร้การศึกษา, คนยากจน, คนร่ำรวย, นักปราชญ์, นักวิทยาศาสตร์, นักการเมือง ฯลฯ

ในเวลานั้นไม่มีคนร่ำรวยหรือยากจน คนฉลาดหรือคนโง่ ไม่มีฐานะและชนชั้น ทุกคนได้รับพระพรได้เห็นอัศจรรย์จากพระเป็นเจ้า เช่นเดียวกับเด็กเลี้ยงแกะสามคนนั้น พวกเราซึ่งไม่ได้รับพระพรให้เห็นอัศจรรย์ดวงอาทิตย์เหมือนคนเหล่านั้น อาจรู้สึกอิจฉาพวกเขา

 *************

พระสันตปาปเบเนดิกต์และฟาติมา : เราไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงสนพระทัยในความลึกลับของการประจักษ์ที่ฟาติมา เมื่อ 13 พฤษภาคม 2010 พระองค์ทรงเสด็จเยือนฟาติมาในโอกาสครบรอบ 93 ปีของการประจักษ์ครั้งแรก คือในวันที่ 13 พฤษภาคม 1917

พระองค์ทรงตรัสแก่ประชาชนในวันนั้นว่า บางคนอาจรู้สึกอิจฉาเด็กสามคนนั้นที่ได้เห็นแม่พระ เพราะไม่มีโอกาสเช่นเดียวกันนั้นบ้าง

นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะทุกคนสามารถรับรู้ถึงพระฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้าได้

พระเป็นเจ้า....ทรงมีอำนาจที่จะมาหาเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจิตใต้สำนึกของเรา เพื่อที่จิตวิญญาณของเราจะได้รับการสัมผัสอย่างอ่อนโยนจากพระองค์จริงๆ สิ่งนี้อยู่เหนือประสาทสัมผัสธรรมดาที่จะรับรู้ได้

เพื่อที่เราจะสามารถรับรู้และสัมผัสพระเป็นเจ้า เราต้องบ่มเพาะฝึกฝนการพินิจไตร่ตรองภายในจิตใจของเรา เรามักไม่ตระหนักถึงพลังอำนาจของจิตใจ สาเหตุจากอิทธิพลของสิ่งต่างๆภายนอกและภาพมายาต่างๆซึ่งรบกวนจิตวิญญาณของเรา

พระราชดำรัสบางตอนของพระสันตปาปา พระองค์ทรงให้ข้อคิดที่น่าสนใจ นั่นคือสาส์นแห่งฟาติมานั้น ยังไม่ได้สิ้นสุด พระองค์ตรัสว่า "สาส์นนั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลง เพราะความจำเป็นในการสำนึกผิดกลับใจของโลกนี้ยังต้องดำเนินอยู่ต่อไป"

เวลาที่กำลังบินไปโปรตุเกสนั้น ขณะที่อยู่บนเครื่องบิน พระสันตะปาปาตรัสกับนักหนังสือพิมพ์ว่า คำทำนายแห่งฟาติมา เกี่ยวกับ ระยะเวลาแห่งความยากลำบากของพระศาสนจักรนั้น ส่วนหนึ่งหมายถึงวิกฤติการณ์ของปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายด้วย

"พระเยซูเจ้าทรงแจ้งให้เราทราบล่วงหน้าแล้วว่า พระศาสนจักรจะประสบความยากลำบากหลายอย่างอยู่เสมอ ตราบจนถึงเวลาอวสานของโลก จุดสำคัญคือ สาส์นซี่งเป็นคำตอบแห่งฟาติมานั้น ไม่ได้พูดกับผู้มีความเชื่อความศรัทธาเป็นการเฉพาะ แต่เรียกร้องให้มนุษย์ตอบสนองในเรื่อง การกลับใจอย่างถาวร, การสำนึกผิด, การสวดภาวนา และคุณค่าหลักสำคัญสามประการ นั่นคือ ความเชื่อ, ความไว้ใจและ ความรัก"

*******************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น