เมื่อ 104 ปีก่อน ในวันที่ 13 พฤษภาคม 1917 แม่พระทรงประจักษ์แก่เด็กเลี้ยงแกะสามคนเป็นครั้งแรกที่ฟาติมา,ประเทศโปรตุเกส ในขณะที่เลนินได้เริ่มต้นการปฏิวัติรัสเซีย
ในกรุงเปโตรกราด(Petrograd ปัจจุบันคือเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก)
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของ สาส์นความลับแห่งฟาติมา
สงครามโลกครั้งที่ 1 เวลานั้น ในตอนกลางปี 1917 เป็นยุคแห่งความเสื่อมโทรมของยุโรป ชาติต่างๆในยุโรปเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาได้
3 ปี ชายหนุ่มนับร้อยนับพันต้องไปประจำการรบอยู่ที่แนวหน้าฝั่งตะวันตก สมรภูมิบางแห่ง เช่นที่ เวอร์ดูน ทหารนับพันคนต้องเสียชีวิตในสนามรบภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เมื่อทหารกลุ่มหนึ่งล้มลงที่แนวหน้า ทหารกลุ่มใหม่ก็เข้าไปแทนที่
ทุกคนต่างมีชีวิตที่ปราศจากความหวัง
สถานการณ์ทางฝั่งตะวันตกมีการคุมเชิงในการรบกันอยู่
ส่วนสถานการณ์ทางฝั่งตะวันออก
ประเทศรัสเซียได้เปลี่ยนรัฐบาลและถอนตัวออกจากสงคราม ทำให้เยอรมนีได้รับชัยชนะในสมรภูมิ
ประเทศรัสเซีย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า
"รัสเซียอันศักดิ์สิทธิ์" ราชวงศ์โรมานอฟถูกกำจัดโดยเลนิน
และลัทธิคอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นศาสนาของรัฐอย่างเป็นทางการ
เป็นลัทธิซึ่งไม่เชื่อในพระเป็นเจ้า
และทำให้ศาสนจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ถูกเบียดเบียนอย่างโหดเหี้ยม
รัฐบาลใหม่ที่กุมอำนาจเปลี่ยนโบสถ์ให้กลายเป็นห้องส้วม
ในเยอรมนี ภายหลังสงคราม, ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐเวียร์มาร์ แทนที่การปกครองของพระเจ้าไกเซอร์ ซึ่งเป็นโปรแตสแตนท์
และไม่นานนักรัฐบาลก็ใช้นโยบายรัฐสังคมนิยมแห่งชาติ
ประเทศต่างๆในยุโรปหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยไปเป็นระบอบประชาธิปไตย อำนาจในการปกครองก็ไปอยู่ในมือของสภานิติบัญญัติและคณะรัฐมนตรี
ทำให้ประเทศเหล่านั้นเข้าสู่ความเป็นวัตถุนิยมมากยิ่งขึ้น
เด็กสามคนแห่งฟาติมาไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเหตุการณ์เหล่านี้เลย
ถึงแม้ผู้ใหญ่และพระสงฆ์ประจำโบสถ์อาจจะได้เคยพูดถึงความโหดร้ายของสงครามให้ฟังอยู่บ้าง
รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นแทบทุกแห่งทั่วยุโรปอาทิเช่นการที่ประชาชนละทิ้งคุณค่าของขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา หันไปฝักใฝ่ในลัทธิสังคมนิยมหรือไม่ก็วัตถุนิยม
สิ่งนี้เกิดขึ้นแม้แต่ในประเทศโปรตุเกสของพวกเขาด้วย
ความลับข้อที่สองของฟาติมา ... คำทำนายของแม่พระได้สำเร็จตามที่ทรงแจ้งไว้ล่วงหน้า
เลือด! เลือด! เลือด!
ความลับประการที่ 2 ของพระแม่มารีย์แห่งฟาติมา, เครื่องหมายอันยิ่งใหญ่ของการลงโทษของพระเจ้า - ท้องฟ้าเป็นสีแดงเลือดในปี 1938, ฮิตเลอร์และสงครามโลกครั้งที่สอง
"สงคราม (สงครามโลกครั้งที่ 1) กำลังจะสิ้นสุดลง แต่ถ้าผู้คนไม่หยุดทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว,สงครามที่เลวร้ายยิ่งกว่าจะบังเกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระสันตะปาปาปีโอที่11(Pius XI) ในเวลาค่ำคืน,เมื่อลูกเห็นแสงสว่างไสวที่ไม่รู้จักบนท้องฟ้า จงรู้เถิดว่านี่คือ สัญญาณอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงประทานแก่ลูกซึ่งแสดงว่าพระองค์กำลังจะลงโทษโลกสำหรับการก่ออาชญากรรม,ด้วยสงคราม,ความอดอยาก,และการเบียดเบียนพระศาสนจักร" นี่คือข้อความในความลับประการที่สองของแม่พระแห่งฟาติมาในปี 1917
แม่พระทรงแจ้งให้โลกรู้ล่วงหน้าในความลับข้อที่สองนี้ว่าจะเกิดสงครามอีกครั้งในรัชสมัยของพระสันตปาปาปีโอที่ 11 และสงครามจะเริ่มขึ้นเมื่อท้องฟ้าจะสว่างไสวด้วย "แสงที่ไม่รู้จัก" นี่คือแสงออโรร่าบอเรียลิส(Aurora Borealis)ที่มีชื่อเสียงซึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1938 มันคือสัญญาณจากสวรรค์”
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กับทีมงานของเขาซึ่งอยู่ที่บ้านแบร์กโฮฟ(Berghof)ใน Obersalzberg ของเทือกเขาแอลฟ์บาวาเรีย,ใกล้กับเมืองเบิร์ชเทสกาเดน,รัฐบาวาเรีย,ประเทศเยอรมนี ประชาชนได้เห็นท้องฟ้าสีแดงเพลิงที่ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีปของยุโรป นักวิทยาศาสตร์เรียกแสงนี้ว่า "Aurora Borealis" หรือแสงเหนือ .. หญิงรับใช้คนหนึ่งของฮิตเลอร์ร้องออกมาว่า เลือด! เลือด! เลือด!
ฮิตเลอร์มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตะลึงงันพลางพูดออกมาว่า “เวลานี้เราจะหลั่งเลือดแล้ว”
แสงเรืองรองที่อาบบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในออสเตรีย,เป็นภาพที่สวยงาม แต่ก็สร้างความหวาดกลัว ในโปรตุเกส,ชาวนาคิดว่ามันคือหายนะภัยและลำแสงสีแดงเลือดขนาดมหึมาได้กระจายความกลัวแบบเดียวกันในหมู่บ้านอัลไพน์ของสวิส
"แสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ทางเหนือของท้องฟ้าทำให้เจ้าหน้าที่ทางการของสวิสและฝรั่งเศสโทรศัพท์ติดต่อกันหลายพันครั้ง เพื่อถามว่า มันจะเกิดไฟไหม้,สงคราม,หรือวันสิ้นโลกใช่ไหม" สื่อหนังสือพิมพ์ Associated Press รายงานว่า ระบบโทรศัพท์หยุดลง,บริการทางสายของแคนาดาหยุดชะงัก,และการสื่อสารทางวิทยุข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกทั้งหมดหยุดทำงานจนถึงเวลาเกือบเที่ยงคืน
ในคอนแวนต์,ลูซีอารู้ทันทีว่านั่นคือสัญญาณ "หมายสำคัญ" ซึ่งแม่พระทรงทำนายไว้ที่ฟาติมา เธอเขียนจดหมายถึงพระสังฆราชของเธอว่า ถ้าพวกเขาตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป,นักวิทยาศาสตร์จะพบว่านั่นไม่ใช่แสงเหนือที่เกิดขึ้นตามปกติ เธอกล่าวว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ "พระเจ้าทรงแสดงต่อโลก" และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1938 หนึ่งสัปดาห์หลังจากแสงออโรร่า,ฮิตเลอร์ได้เลื่อนตัวเองขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในเยอรมนี และหนึ่งเดือนหลังจากนั้น,เขาได้สั่งให้กองทัพเดินทัพเข้าไปในออสเตรียซึ่งเป็นภูมิภาคที่แสงออโรร่าก่อให้เกิดความปั่นป่วน
มันเป็นการเข้ายึดครองประเทศอย่างชัดเจนและในหลายๆกลยุทธ์ เยอรมนีก็เริ่มสงครามกับประเทศต่างๆในยุโรป และในไม่ช้า,ฮิตเลอร์จะพบกับมุสโสลินีในอิตาลี,ซึ่งมีการออกกฎหมายต่อต้านชาวยิว และมีการจับกุมชาวยิวในเยอรมนี ไม่นานหลังจากนั้น,เยอรมนีก็ยกทัพเข้าสู่โปแลนด์ซึ่งเป็นสัญญาณของการถือกำเนิดอย่างเป็นทางการของมหาสงครามโลกครั้งที่สอง
*สงครามโลกครั้งที่สองเป็นความขัดแย้งทางทหารที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 60 ล้านคนซึ่งมากกว่า 2.5% ของประชากรโลก
แม่พระทรงเริ่มประจักษ์แก่เด็กทั้งสามทุกวันที่ 13 ของเดือนเป็นเวลา 6 เดือน วันที่ 13 ตุลาคม 1917
ถือเป็นจุดสำคัญของการประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง ในวันนั้นได้เกิด
"อัศจรรย์ของดวงอาทิตย์" ต่อหน้าประชาชนประมาณ 70,000 คน
มีทั้งคนที่ช่างสงสัยไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ปรากฏการณ์ซึ่งผิดธรรมดาและน่าอัศจรรย์ใจปรากฏแก่สายตาของประชาชนซึ่งมีทุกระดับชนชั้น,
ทุกฐานะ, ทุกระดับสติปัญญา
ช่างภาพได้ถ่ายรูปซึ่งถ่ายให้เห็นคนที่กำลังแหงนหน้ามองดูดวงอาทิตย์ด้วยความพิศวง
เราอาจเรียกเวลานั้นว่า
เป็นเวลาแห่งพระพรของพระเป็นเจ้า ,
พระหรรษทาน,
สิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานให้เปล่าๆให้แก่ คนที่มีใจถ่อมตน, คนไร้การศึกษา,
คนยากจน, คนร่ำรวย, นักปราชญ์,
นักวิทยาศาสตร์, นักการเมือง ฯลฯ
ในเวลานั้นไม่มีคนร่ำรวยหรือยากจน
คนฉลาดหรือคนโง่ ไม่มีฐานะและชนชั้น
ทุกคนได้รับพระพรได้เห็นอัศจรรย์จากพระเป็นเจ้า
เช่นเดียวกับเด็กเลี้ยงแกะสามคนนั้น พวกเราซึ่งไม่ได้รับพระพรให้เห็นอัศจรรย์ดวงอาทิตย์เหมือนคนเหล่านั้น
อาจรู้สึกอิจฉาพวกเขา
พระสันตปาปเบเนดิกต์และฟาติมา
: เราไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ
เพราะพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงสนพระทัยในความลึกลับของการประจักษ์ที่ฟาติมา เมื่อ
13 พฤษภาคม 2010 พระองค์ทรงเสด็จเยือนฟาติมาในโอกาสครบรอบ 93
ปีของการประจักษ์ครั้งแรก คือในวันที่ 13 พฤษภาคม 1917
พระองค์ทรงตรัสแก่ประชาชนในวันนั้นว่า
บางคนอาจรู้สึกอิจฉาเด็กสามคนนั้นที่ได้เห็นแม่พระ
เพราะไม่มีโอกาสเช่นเดียวกันนั้นบ้าง
นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
เพราะทุกคนสามารถรับรู้ถึงพระฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้าได้
พระเป็นเจ้า....ทรงมีอำนาจที่จะมาหาเราได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจิตใต้สำนึกของเรา
เพื่อที่จิตวิญญาณของเราจะได้รับการสัมผัสอย่างอ่อนโยนจากพระองค์จริงๆ
สิ่งนี้อยู่เหนือประสาทสัมผัสธรรมดาที่จะรับรู้ได้
เพื่อที่เราจะสามารถรับรู้และสัมผัสพระเป็นเจ้า
เราต้องบ่มเพาะฝึกฝนการพินิจไตร่ตรองภายในจิตใจของเรา
เรามักไม่ตระหนักถึงพลังอำนาจของจิตใจ
สาเหตุจากอิทธิพลของสิ่งต่างๆภายนอกและภาพมายาต่างๆซึ่งรบกวนจิตวิญญาณของเรา
พระราชดำรัสบางตอนของพระสันตปาปา
พระองค์ทรงให้ข้อคิดที่น่าสนใจ นั่นคือสาส์นแห่งฟาติมานั้น ยังไม่ได้สิ้นสุด พระองค์ตรัสว่า
"สาส์นนั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลง
เพราะความจำเป็นในการสำนึกผิดกลับใจของโลกนี้ยังต้องดำเนินอยู่ต่อไป"
เวลาที่กำลังบินไปโปรตุเกสนั้น
ขณะที่อยู่บนเครื่องบิน พระสันตะปาปาตรัสกับนักหนังสือพิมพ์ว่า คำทำนายแห่งฟาติมา
เกี่ยวกับ ระยะเวลาแห่งความยากลำบากของพระศาสนจักรนั้น
ส่วนหนึ่งหมายถึงวิกฤติการณ์ของปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายด้วย
"พระเยซูเจ้าทรงแจ้งให้เราทราบล่วงหน้าแล้วว่า
พระศาสนจักรจะประสบความยากลำบากหลายอย่างอยู่เสมอ ตราบจนถึงเวลาอวสานของโลก
จุดสำคัญคือ สาส์นซี่งเป็นคำตอบแห่งฟาติมานั้น ไม่ได้พูดกับผู้มีความเชื่อความศรัทธาเป็นการเฉพาะ
แต่เรียกร้องให้มนุษย์ตอบสนองในเรื่อง การกลับใจอย่างถาวร, การสำนึกผิด, การสวดภาวนา และคุณค่าหลักสำคัญสามประการ นั่นคือ ความเชื่อ, ความไว้ใจและ ความรัก"
*******************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น