วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

วิญญาณที่เฉื่อยชา

 

โดยนักบุญ ยอห์นมารีย์ เวียนเนย์,เจ้าอาวาสแห่งอารส์
 
พี่น้องทั้งหลาย, พ่อคิดว่าพวกลูกคงรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรคือวิญญาณที่เฉื่อยชา
 
วิญญาณที่เฉื่อยชายังไม่ใช่วิญญาณที่ตายแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะความเชื่อ,ความหวัง,และความรักซึ่งเป็นชีวิตฝ่ายจิตนั้นยังไม่ได้สูญหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่มันเป็นความเชื่อที่ปราศจากความเข้มแข็ง,เป็นความหวังที่ปราศจากความมั่นใจ,และเป็นความรักที่ปราศจากความเร่าร้อน
 
ไม่มีอะไรสัมผัสวิญญาณเช่นนี้ เขาได้ยินพระวาจาของพระเจ้า,แต่บ่อยครั้งมันสร้างความเบื่อหน่ายให้เขา วิญญาณเฉื่อยชารู้สึกลำบากใจไม่มากก็น้อยเมื่อได้ยินพระวาจา เหมือนคนที่คิดว่าเขารู้มากพอแล้วและไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้อีก
 
การสวดภาวนาเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลและไม่เป็นที่พอใจสำหรับเขา วิญญาณนี้เต็มไปด้วยความคิดถึงสิ่งต่างๆที่เขาเพิ่งทำหรือสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไป ความเบื่อหน่ายของการสวดภาวนานั้นช่างยิ่งใหญ่มากจนวิญญาณที่น่าสงสารนี้แทบจะตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่,เพียงแต่ไม่สามารถทำอะไรที่ดีเพื่อให้เหมาะสมที่จะได้มาซึ่งสวรรค์ วิญญาณเช่นนี้เต็มไปด้วยความตั้งใจที่ดีโดยไม่มีการกระทำใดๆเพื่อแก้ไขนิสัยเลวๆของเขา
 
มันก็เหมือนกับบางคนที่รู้สึกอิจฉาคนอื่นที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงในโลก,แต่พวกเขาไม่ได้ออกแรงใดๆแม้แต่จะยกเท้าเพื่อเดินไปให้ถึงความสำเร็จเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม,พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะปฏิเสธพระพรนิรันดร สำหรับคนของโลกเหล่านี้,พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะละทิ้งโลกนี้หรือไปสวรรค์ และถ้าหากเป็นไปได้,พวกเขาก็อยากจะให้เวลาผ่านไปโดยไม่ต้องแบกกางเขนหรือแบกรับความทุกข์ยากลำบาก พวกเขาไม่ต้องการละทิ้งโลกนี้ไปเลย ถ้าหากลูกได้ยินบางคนที่มีวิญญาณเฉื่อยชาเช่นนี้พูดว่าชีวิตนั้นช่างน่าอนาจและยาวนาน นั่นก็เป็นเพราะทุกสิ่งไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเขา และถ้าหากพระเจ้า,เพื่อบังคับให้วิญญาณเช่นนี้แยกตัวออกจากสิ่งทางโลก,ทรงส่งไม้กางเขนหรือความทุกข์ทรมานมาให้เขา มันก็จะกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าและเป็นความทุกข์สำหรับเขา เขาจะเอาแต่บ่นและบ่น,และบ่อยครั้งถึงกับสิ้นหวังหมดอาลัยตายหยาก ดูเหมือนว่าพวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงส่งการทดลองเหล่านี้มาเพื่อคุณความดีของพวกเขาเอง,เพื่อปลดเปลื้องพวกเขาออกจากพันธะของโลกนี้และดึงพวกเขาเข้ามาหาพระองค์ พวกเขาได้ทำอะไรดีหรือ,ถึงสมควรได้รับการทดลองเหล่านี้? ในสภาพเช่นนี้บางคนจะคิดในใจว่ามีคนอื่นๆอีกมากมายที่น่าตำหนิมากกว่าตัวเขา,ที่ไม่ต้องได้รับการทดลองดังกล่าว
 
ในช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรือง,วิญญาณที่เฉื่อยชาเหล่านี้ยังไม่ได้ไปไกลถึงขั้นลืมพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้ลืมตนเอง พวกเขารู้วิธีที่จะพูดโอ้อวดถึงความสามารถที่เขาใช้เพื่อบรรลุความเจริญรุ่งเรือง เขาเชื่อว่าคนอื่นๆหลายคนไม่สามารถประสบความสำเร็จแบบเดียวกันกับเขาได้ เขาชอบพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า,และฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความสำเร็จของเขา และทุกครั้งที่ได้ยิน,เขาก็มีความสุขสดชื่น บุคคลที่มีจิตวิญญาณเฉื่อยชาจะรู้สึกดีเมื่อคบหากับคนที่ประจบประแจงเขา แต่สำหรับคนที่ไม่เคารพนับถือเขาหรือไม่รู้สึกขอบคุณในความเมตตากรุณาของเขา, เขาจะทำเฉยเมยและเยือกเย็น เพื่อบ่งบอกให้คนเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขาเป็นคนเนรคุณซึ่งไม่สมควรได้รับความดีที่เขาได้ทำ
 
วิญญาณที่เฉื่อยชาจะมาถึงจุดที่พวกเขาไม่รู้สึกแยแสต่อการสูญเสียวิญญาณไป ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้พวกเขานอกจากความรักที่ปราศจากความอ่อนโยน,ปราศจากการกระทำ,และปราศจากพลังที่คอยค้ำจุนอย่างยากลำบาก,ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นทั้งหมดเพื่อความรอดพ้น พระหรรษทานทั้งมวลของพระเจ้าหมดสิ้นไปจากพวกเขาหรือแทบจะหมดสิ้นไป อนิจจา,พี่น้องทั้งหลายของพ่อ,,วิญญาณที่น่าสงสารซึ่งดื้อรั้นนี้,ก็เป็นเหมือนกับคนที่อยู่ในอาการหลับๆตื่นๆ เขาอยากจะทำ,แต่ก็ไม่มีแรงพอหรือขาดความกล้าหาญที่จะทำสิ่งที่ปรารถนาให้สำเร็จ
 
เขาอาจจะคุกเข่าลงทุกเช้าเพื่อสวดภาวนา เขาจะไปรับศีลมหาสนิททุกปีในระหว่างปัสกาและแม้แต่อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง แต่ในการกระทำเหล่านี้ทั้งหมดมันช่างรู้สึกจืดชืดไม่มีรสชาติ,เต็มไปด้วยความเกียจคร้านและความเฉยเมย,ขาดการเตรียมตัวและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต, เห็นได้ชัดว่าพวกเขากระทำเพราะถือเป็นหน้าที่,เป็นความเคยชินและเป็นเพียงกิจวัตรเท่านั้น....เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งเทศกาลและเป็นความเคยชินที่เขาจะต้องไปในเวลาเช่นนี้ การสารภาพบาปของเขาและการรับศีลมหาสนิทไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาไปสารภาพบาปและรับศีลมหาสนิทโดยไม่บังเกิดผล ซึ่งไม่ทำให้เขาบรรลุสู่ความดีสมบูรณ์เพียบพร้อมและเป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้า แต่มันกลับยิ่งทำให้เขาไม่คู่ควรมากขึ้น สำหรับการสวดภาวนาของเขา,พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบ...ว่าเขาทำสิ่งเหล่านี้โดยปราศจากการเตรียมจิตใจแต่อย่างใด
 
ในตอนเช้า,สิ่งที่ครอบครองความคิดของเขาไม่ใช่พระเจ้า,หรือความรอดของวิญญาณ เขาใช้ความคิดทั้งหมดไปในเรื่องการทำงาน จิตใจของเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งต่างๆบนโลกมากจนไม่มีที่สำหรับความคิดในเรื่องของพระเจ้า เขาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังจะทำในระหว่างวัน เช่นจะส่งลูกๆและพนักงานด้วยวิธีใดที่จะทำให้งานของเขาเสร็จได้เร็วที่สุด ในการสวดภาวนา,เขาคุกเข่าลง,แต่เขาไม่รู้ว่าจะวอนขออะไรจากพระเจ้า,หรืออะไรเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิญญาณของเขา เขาไม่ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้เลย ช่างเป็นวิญญาณที่น่าสงสารอย่างแท้จริง เพราะถึงแม้กำลังอยู่ในความลำบากสักเพียงไร,แต่ก็ไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรเลย,เขารักความยากจนของเขา เป็นคนป่วยอย่างยิ่งที่ดูถูกแพทย์และวิธีการรักษาและยึดติดกับความอ่อนแอของเขา
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น