วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ภาพนิมิตของนรกช่วยให้จิตรกรใหญ่กลับใจ

 

ซัลวาดอร์ ดาลีถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 และเป็นจิตรกรประเภทเหนือจริง(เซอร์เรียลิสต์ Surrealist)ที่มีชื่อเสียงที่สุด เขาได้รับความนิยมอย่างสูงในปี 1960 ดังนั้น The Blue Army of Our Lady of Fatima จึงได้ว่าจ้างเขาให้วาดภาพ Vision of Hell ตามคำบรรยายภาพนรกของเด็กผู้เห็นแม่พระแห่งฟาติมา( Lucia, Jacinta และ Francisco) ซัลวาดอร์ ดาลีซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เมื่อเขาได้อ่านจากบันทึกความทรงจำของซิสเตอร์ลูซีอา,ทำให้เขากลับใจเปลี่ยนมาสู่คริสตศาสนาคาทอลิกและเข้าศึกษาคำสอนในสามเณราลัย ภารกิจในการวาดรูปครั้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตและการทำงานของซัลวาดอร์ ดาลี และนำเขาจากความไม่เชื่อในพระเจ้ากลับไปสู่รากฐานของคาทอลิก
 

ดาลีเติบโตในสเปนใกล้ชายแดนฝรั่งเศสในแคว้นคาตาโลเนีย บิดาของเขาเป็นผู้ต่อต้านพระศาสนา,ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่มารดาของเขานับถือคาทอลิก เมื่อต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมระหว่างอิทธิพลของความเชื่อและความไม่เชื่อในพระเจ้า ดาลีจึงรู้สึกสับสนและไม่แน่ใจ ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า “สวรรค์อยู่ตรงกลางอกของคนที่มีความเชื่อ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีความเชื่อเลย และฉันกลัวว่าฉันจะตายโดยไม่ได้สวรรค์”
 
ตลอดชีวิตของเขา, ดาลีต้องต่อสู้กับความคิดเรื่องความตายของตัวเอง มันเป็นความกลัวที่เขาไม่สามารถสลัดให้หลุดไปได้ เขาศึกษาการค้นพบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับมิติที่สามซึ่งทำให้เขาแสวงหาการเข้าถึงมิติที่สี่และความเป็นอมตะ ผลงานของเขาเต็มไปด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความตายและความเสื่อมสลาย,แต่ยังรวมถึงหัวข้อทางศาสนาและหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้วย
 
เขาอายุ 55 ปีเมื่อได้รับการติดต่อจาก John Haffert ผู้ร่วมก่อตั้งคณะบลูอาร์มี่(Blue Army) เพื่อให้เขาวาดภาพ Vision of Hell สามเณรผู้หนึ่งสนับสนุนให้เขาไปหาดาลี Haffertได้พบกับดาลีที่โรงแรมใน New York และเล่าให้ฟังเกี่ยวกับภารกิจของ The Blue Army ในการเผยแพร่ข่าวสารของฟาติมา เขาอ่านเรื่องราวของฟาติมาจากงานเขียนของซิสเตอร์ลูซีอาและคำอธิบายเกี่ยวกับภาพของนรกให้ดาลีฟัง
 
Haffert บอกดาลีว่า “ขึ้นอยู่กับคุณที่จะนำเสนอภาพนิมิตนี้ตามความเป็นจริงและด้วยสายตาของคุณ คุณได้รับเลือกให้เป็นศิลปินของพระแม่มารีย์ เป็นผู้แปลภาพนิมิตสำหรับพระเจ้า”
 
ดาลีฟังอย่างตั้งใจแล้วสั่งอาหารจานเอสคาร์ก็อต(หอยทาก) เมื่อมาถึงเขาใช้ส้อมเขี่ยหอยทากและพูดกับฮัฟเฟิร์ตว่า ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่มักจะใช้ส้อมธรรมดาเพื่อพรรณนาถึงปีศาจในนรก แต่เขาจะใช้ส้อมเอสคาร์ก็อตแทน “วิญญาณของคนบาปเหมือนหอยทาก” เขาอธิบาย “มันม้วนตัวและห่อหุ้มไว้ในเปลือกและวิธีเดียวที่จะดึงมันออกมาได้คือการใช้ส้อมเอสคาร์ก็อต!”
 
ดาลีถูกนำไปที่ฟาติมาเพื่อดูสถานที่แม่พระทรงประจักษ์ เขายังได้มีโอกาสพบและพูดคุยกับซิสเตอร์ลูซีอาด้วย และในที่สุดดาลีก็ได้รับแรงบันดาลใจในการวาดภาพนิมิตของนรก
 
ก่อนที่จะจากฟาติมา,ดาลีได้ขอให้คุณพ่อแคนนอน กาลัมบาฟังการสารภาพบาปของเขา
 
อย่างไรก็ตาม,จากการศึกษาและตรวจสอบเพิ่มเติม,เชื่อว่าดาลีแสดงภาพตัวเองในภาพนิมิตและวาดภาพการกลับใจของตนเอง ในภาพนั้นแสดงให้เห็นถึงคนที่กำลังจะตายซึ่งก็คือวิญญาณของเขาเองเป็นสีแดง,โปร่งแสง,ถูกทรมานโดยปีศาจในนรกซึ่งกำลังแทงเขาด้วยส้อมเอสคาร์ก็อต,ปีศาจพยายามดึงวิญญาณของเขาออกมา ข้างใต้เป็นแผ่นดินที่มีรอยแยก และแม่พระทรงประทับยืนอยู่ข้างบน พระแม่ทรงแสดงพระพักตร์ที่ปวดร้าวเศร้าพระทัย,ทรงแสดงถึงความรักของพระนางก่อนที่วิญญาณจะสูญเสียไป มีรูปคนถือไม้กางเขนยกขึ้นสู่สวรรค์และสวดภาวนา
 
*************
 
ความลับข้อที่สองตามคำอธิบายของ ลูซีอา ซานโตส
 
ภาพน่าสยดสยองของนรก - การประจักษ์วันที่ 13 กรกฏาคม 1917
 
“แม่พระทรงกางพระกรออกเหมือนที่เคยทรงทำเมื่อสองเดือนที่แล้ว รังสีแสงออกมาจากพระหัตถ์ส่องลงมาและแทรกทะลุพื้นดิน และเรามองเห็นทะเลเพลิงขนาดใหญ่ดูเหมือนอยู่ใต้โลกของเรา ปีศาจและวิญญาณในร่างของมนุษย์กระโจนลงไปใน ทะเลเพลิงนี้ ร่างเหล่านี้มีลักษณะเป็นเถ้าถ่านที่กำลังลุกไหม้และโปร่งแสง ทั้งหมดเป็นสีดำหรือสีบรอนซ์มันเงา ล่องลอยอยู่เหนือกองเพลิงใหญ่ และเปลี่ยนไปลอยอยู่เหนือเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจากภายในร่าง และมีกลุ่มควันเป็นก้อน ๆ ขนาดใหญ่ แผ่ออกแล้วร่างเหล่านั้นก็ตกกลับลงไปชนด้านล่างข้าง เกิดประกายไฟเป็นลูกไฟขนาดมหึมาที่ไร้น้ำหนักและฉวัดเฉวียนไปมิขณะเดียวกันก็มีเสียงกรีดร้อง และเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดและหมดหวัง พวกเราตกใจกลัวจนปากคอสั่น ปีศาจเหล่านั้นมีรูปร่างเหมือนสัตว์ร้ายที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนต่างมีสภาพน่ากลัวจนขนลุกขนพอง ทุกตัวมีสีดำและโปร่งใส ภาพที่เห็นกินเวลาเพียงชั่วครู่ เราทั้งสามไม่รู้จะรู้สึกสำนึกบุญคุณเพียงพอได้อย่างไรต่อพระมารดาสวรรค์ผู้ใดดี พระนางสัญญาตั้งแต่การประจักษ์ครั้งแรกว่าได้เตรียมพาพวกเราไปสวรรค์ ดิฉันคิดว่าพวกเราคงเสียชีวิตกันหมดด้วยความกลัวและความสยดสยอง
 
จากนั้น เราก็เงยหน้ามองไปที่พระนางมารีย์ผู้กล่าวแก่เราอย่างนุ่มนวลและเศร้าสร้อยมากว่า “พวกเธอได้เห็นนรกซึ่งเป็นที่อยู่ของวิญญาณคนบาปที่น่าสงสารแล้ว เพื่อที่จะช่วยวิญญาณไม่ให้ตกนรกนั้น พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้โลกถวายความศรัทธาต่อดวงหทัยนิรมลของแม่ หากทำตามที่แม่บอกนี้ วิญญาณจำนวนมากจะรอดและมีสันติสุข สงครามจะยุติแต่หากพวกเขาไม่หยุดที่จะทำขัดเคืองพระทัยของพระเจ้า ก็จะมีสงครามเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ในสมณสมัยพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 (ค.ศ. 1922-1939) คืนใดที่เห็นแสงประหลาดเกิดขึ้น จงรู้เถิดว่านั่นคือเครื่องหมายสำคัญของพระเจ้าก่อนจะทรงลงอาญาอาชญากรรมที่โลกก่อขึ้น ซึ่งหมายถึงการทำสงคราม ความอดอยาก และการเบียดเบียนพระศาสนจักรและพระสันตะปาปา วิธีป้องกันไม่ให้เกิดการลงทัณฑ์ดังกล่าวคือ แม่ขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียให้กับดวงหทัยนิรมลของแม่ และการสนิทสัมพันธ์ของดวงหทัยของแม่และพระหฤทัยของพระเยซู เพื่อการชดเชยบาปหากปฏิบัติตามคำขอของแม่ ประเทศรัสเซีย จะกลับใจและเกิดสันติสุข มิฉะนั้นประเทศรัสเซียจะแพร่ความชั่วร้ายไปทั่วโลก จะเกิดสงครามและการเบียดเบียนศาสนา คนดีจะเป็นมรณสักขี พระสันตะปาปาจะทรงประสบความทุกข์อย่างแสนสาหัส หลายชาติจะถูกทำลายล้าง แต่ที่สุดดวงหทัยนิรมลของแม่จะมีชัย สมเด็จพระสันตะปาปาจะถวายประเทศรัสเซียให้แม่ และประเทศรัสเซียจะกลับใจและจะมีสันติภาพเกิดขึ้นในโลก”
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น