วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ 911

 

ในเหตุการณ์ก่อการร้ายบนแผ่นดินอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 เครื่องบินสี่ลำถูกจี้ให้ชนเป้าหมายสี่จุด อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 11 กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 175 ชนตึกคู่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ นิวยอร์ก, อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 77 ชนเพนตากอน และ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบิน 93 มีเป้าหมายที่เมืองหลวงวอชิงตัน แต่ผู้โดยสารต่อสู้กับคนร้าย ทำให้เครื่องบินตกที่เพนซิลเวเนียเสียก่อน รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดกว่าสามพันคน
 
สำหรับคนจำนวนหนึ่ง 11 กันยายน 2001 เป็นวันที่ไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิต เพราะเฉียดความตายที่สุด
 
วันนั้น แลร์รี ซิลเวอร์สไตน์ นักธุรกิจผู้มีสำนักงานที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ มีนัดกับหมอโรคผิวหนัง เขาไม่อยากไป แต่ภรรยาของเขาบังคับให้เขาไปหาหมอ
 
นักกีฬาว่ายน้ำโอลิมปิกชาวออสเตรเลีย เอียน ธอร์ป ไปเที่ยวนิวยอร์ก วันนั้นเขาตั้งใจขึ้นไปดูทิวทัศน์แมนฮัตตันจากดาดฟ้ายอดตึก เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ เขานึกได้ว่าลืมเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย จึงนั่งแท็กซี่กลับไปเอากล้องถ่ายรูปที่โรงแรม และเห็นข่าวร้ายทางโทรทัศน์
 
ไมเคิล โลโมนาโค เป็นพ่อครัวที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ วันนั้นเขามีนัดซ่อมแว่นตาตอนเที่ยง แต่เปลี่ยนใจไปก่อนกำหนด
 
ลอรา ลันด์สตรอม คลาร์ก เล่นรอลเลอร์เบลดที่ริมฝั่งแม่น้ำฮัดสัน นิวยอร์ก หลังจากนั้นเธอข้ามถนนแถว เวสต์ วิลเลจ เธอเห็นหญิงคนหนึ่งในรถเอสยูวีสีน้ำเงิน จำได้ว่าคนนั้นคือดาราหนัง กวินเนธ พัลโทรว์ เธอทักทายดาราหนังที่เธอชื่นชอบ กวินเนธก็คุยด้วย การคุยช่วงสั้น ๆ นั้นทำให้เธอพลาดรถไฟไปทำงานที่ เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์
 
นักร้อง แพตตี ออสติน กำหนดไปกับเที่ยวบิน 93 จากบอสตันไป ซาน ฟรานซิสโก แต่ต้องไปก่อนกำหนดเพราะแม่ป่วย
 
จูลี สตอฟเฟอร์ ทะเลาะกับแฟนในวันนั้น ทำให้ไปขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน 11 จากบอสตันไป ลอส แองเจลลิส ไม่ทัน
 
มาร์ก วอห์ลเบิร์ก นักแสดงอเมริกัน มีกำหนดขึ้นเที่ยวบิน 11 แต่ในนาทีสุดท้ายต้องเปลี่ยนแผนไปงานเทศกาลหนังที่โทรอนโตแทน
 
เซธ แม็คฟาร์เลน นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ มีกำหนดขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน 11 กลับ ลอส แองเจลลิส เอเยนต์เดินทางของเขาบอกเวลาขึ้นเครื่องผิดไปครึ่งชั่วโมง เป็นผลให้เขาไปถึงสนามบินช้ากว่ากำหนด และไม่ได้รับอนุญาตให้บินในเที่ยวบินนั้น
 
คนเหล่านี้รอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์
 
ประสบการณ์เฉียดตายมักทำให้คนรอดตายเชื่อว่ามีอำนาจบางอย่างที่พลิกชีวิตพวกเขา หลายคนมองว่าเป็น ‘การแทรกแซงจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์’ (divine intervention) หลังจากนั้นพวกเขามักรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากกว่าแค่กิน-อยู่-ทำงานไปวัน ๆ แล้วตายเมื่อถึงอายุขัย ราวกับเบื้องบนบอกว่าพวกเขามีพันธกิจบางอย่างที่ต้องทำ เช่น ทำงานช่วยเหลือสังคมในด้านต่าง ๆ
 
ทว่าโชคดีและเคราะห์ร้ายเป็นเพียงมุมมองของมนุษย์ เรื่องดีและเรื่องร้ายเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกวัน คำถามที่ว่าทำไมพวกเขารอดมาได้ ทำไมคนอื่นตาย ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ความเป็นความตายเกิดขึ้นทุกนาทีอยู่แล้ว ข้อแตกต่างคือ เรื่องร้ายขนาดใหญ่ทำให้รู้สึกว่าการรอดตายมีความหมายมากกว่า เช่น รอดตายจากเครื่องบินตกมีความหมายมากกว่ารอดตายจากรถยนต์ชน รอดตายจากรถยนต์ชนมีความหมายมากกว่ารอดตายจากก้างปลาติดคอ เป็นต้น ทั้งที่มันเป็นความตายเดียวกัน ไม่ว่าจะตายจากเครื่องบินตกหรือก้างปลาติดคอ คนรักก็โศกเศร้าเหมือนกัน
 
ผู้รอดตายเหล่านี้รู้สึกว่าตนเอง ‘โชคดีอย่างยิ่ง’ เพราะพวกเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ร้ายในสเกลใหญ่โดยตรง แต่ใครจะรู้? ถึงพวกเขาอยู่ในเรือไททานิกหรือในอาคาร เวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ ก็อาจอยู่ในกลุ่มที่รอดตายได้
 
มองอีกมุมหนึ่ง สมมุติว่าพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองรอดชีวิตมาได้จากอันตรายขนาดใหญ่นั้น มันจะเปลี่ยนมุมมองชีวิตของพวกเขาหรือไม่?
 
ตลอดชีวิตของเราทุกคน อาจมีสักครั้งหรือสองครั้งที่เราเดินผ่านกลุ่มเชื้อโรคร้ายแรงซึ่งลอยในอากาศ และรอดมาได้หวุดหวิด อาจมีเชื้ออีโบลาร้ายแรงติดมือมา แต่เราล้างมันออกทัน อาจพ้นจากการถูกรถชนตายเพราะมองสาวนุ่งมินิสเกิร์ตจนเดินช้าไปสิบวินาที อาจรอดจากการเดินตกท่อหัวฟาดพื้นเป็นอัมพาตเพราะมีคนที่เดินตกท่อก่อนเราห้าวินาที หรืออาจเดินผ่านคนที่ตรงสเป็คฯ แต่หลังแต่งงานจะกลายเป็นคนขี้เมา ซ้อมภรรยาเช้าเย็น แต่เนื่องจากเราไม่รู้เรื่องเหล่านี้ จึงไม่รู้สึกว่าตัวเองโชคดี
 
ยังมีอีกหลายเรื่อง ‘โชคดี’ ที่เราไม่ได้มองว่ามันเป็นความโชคดี หรือการแทรกแซงจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นหนึ่งในอสุจิห้าร้อยล้านตัวที่ไปถึงเส้นชัย กำเนิดเป็นตัวเราในวันนี้ ขณะที่อสุจิที่เหลือตายหมด
 
คนส่วนมากมองว่าโชคดีคือการถูกลอตเตอรี, การได้คู่ครองที่ดี, การรอดชีวิตจากภยันตราย แต่มักไม่มองเรื่องเล็ก ๆ ใกล้ตัว
 
ลองมองไปรอบตัวเรา เราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในยุคที่การแพทย์เจริญกว่ายุคโบราณ โชคดีแค่ไหนที่เกิดในเมืองไทย แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่ในทะเลทรายแห้งแล้งที่ต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อมีชีวิตรอด โชคดีแค่ไหนที่มีอาหารอร่อยให้กิน ไม่ใช่กินเนื้อดิบชุ่มเลือดเหมือนมนุษย์ยุคหิน โชคดีแค่ไหนที่มีโอกาสเรียนหนังสือ มีหนังสือนับล้าน ๆ เล่มให้อ่าน ขณะที่คนยุคห้าร้อยปีก่อนไม่มีโอกาสนี้ โชคดีแค่ไหนที่มีโอกาสเรียนรู้หลักธรรมดี ๆ หลายอย่าง ฯลฯ
 
เราโชคดีกว่าคนจำนวนมากทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โชคดีกว่าสิ่งมีชีวิตอีกหลาย ๆ สายพันธุ์
 
มองโลกแบบนี้แล้วจะรู้สึกว่าชีวิตน่าจะมีความหมายมากกว่าแค่กิน-อยู่-ทำงานไปวัน ๆ แล้วตายเมื่อถึงอายุขัย
 
เราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเราให้มีค่าเสมือนหนึ่งมี ‘การแทรกแซงจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์’ แต่มันเป็นการแทรกแซงโดยตัวเราเอง ด้วยเจตจำนงอิสระของเราเอง
 
โชคดีแค่ไหนที่เราสามารถเลือกทำอย่างนี้ได้!
 
จากหนังสือ #ยาเม็ดสีแดง
 
วินทร์ เลียววาริณ
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น