วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564

การกลับใจเพียงได้เห็นนักบุญแบร์นาแด็ต

 

ผมหวังว่าเรื่องราวต่อไปนี้จะทำให้คุณประทับใจเช่นเดียวกับผม มันมาจากหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่เล่าเกี่ยวกับนักบุญแบร์นาแด็ตและลูรดส์,ซึ่งถูกเขียนและรวบรวมโดยซิสเตอร์ของอารามแม่ในคณะที่นักบุญแบร์นาแด็ตสังกัดอยู่ นั่นคือคณะ Sisters of Charity and Christian Instruction of Nevers ที่อยู่ในฝรั่งเศส ในหนังสือเล่มนี้,ซิสเตอร์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของนักบุญแบร์นาแด็ตได้เล่าเรื่องของช่วงเวลาที่เธอเห็นเป็นพยานของการกลับใจที่เกิดขึ้นเพียงเพราะการได้เห็นแบร์นาแด็ต
 
“มันเป็นปี 1862; เราพักอยู่ที่โรงแรมซึ่งเป็นของครอบครัวคาทอลิกชาวอังกฤษ คนรับใช้ผู้ชายซึ่งเป็นคาทอลิกและเขาแต่งงานกับหญิงไอริชซึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ สามีเป็นผู้มีความเชื่อแรงกล้า,ปรารถนาเหนือสิ่งใดที่อยากเห็นภรรยาของเขากลับใจมาเป็นคาทอลิก ทั้งสองได้มาท่องเที่ยวที่ลูรดส์ในฝรั่งเศส ในทันทีที่มาถึงลูร์ด,ผู้เป็นสามีคนนี้รีบไปพบกับเบอร์นาเด็ตทันที และขอให้แบร์นาแด็ตช่วยสวดภาวนาสำหรับความตั้งใจดังกล่าวข้างต้นของเขา เมื่อก่อนเขาเคยบอกดิฉันถึงความปรารถนาของเขานี้และยังขอให้ดิฉันสวดภาวนาสำหรับความตั้งใจของเขาด้วย วันหนึ่งเขามาแนะนำภรรยาให้ดิฉันรู้จัก, เธอเป็นคนที่มีเสน่ห์,มีความเป็นกุลสตรีและเห็นได้ชัดว่าได้รับการศึกษาที่เหนือกว่าสามีของเธอ
 
“เมื่อทำความรู้จักกับเธอ,ฉันจึงชวนเธอไปเดินเล่นที่ถ้ำซึ่งแม่พระทรงประจักษ์แก่แบร์นาแด็ต พร้อมกับสามีของเธอ เธอตอบรับคำเชิญของดิฉันโดยไม่ลำบาก เมื่อเรามาถึงก้อนหินศักดิ์สิทธิ์,พวกเราทุกคนคุกเข่าลงสวดภาวนา,ยกเว้นแต่เธอเพียงคนเดียว ฉันทำทีว่าไม่สังเกตเห็นท่าทีของเธอ แต่เมื่อถึงเวลาที่พวกเรากำลังจะลาจากสถานที่นั้น,ดิฉันได้มอบน้ำศักดิ์สิทธิ์ของลูรดส์ให้เธอดื่ม เธอปฏิเสธอย่างสุภาพ ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงพูดว่า: 'ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะดื่มอย่างน้อยก็ขอให้คุณจุ่มนิ้วของคุณที่น้ำและทำสำคัญมหากางเขน'
 
เธอตอบว่า “ได้โปรด อย่าให้ฉันทำเลย เพราะฉันคงจะเสียใจที่ต้องปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง”
 
คำพูดนี้แสดงถึงการตัดสินใจที่แน่วแน่แล้ว เพราะฉะนั้นดิฉันจึงคิดว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะขอให้เธอทำ
 
“ระหว่างทางกลับบ้าน,เราเผชิญกับพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง ฝนตกลงมาอย่างหนักและเราไม่สามารถหาที่พักพิงได้ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นไม่มีบ้านพักหรือที่อยู่อาศัยบนถนนที่นำไปสู่ถ้ำแม่พระเลย 'มาดาม คะ.' ดิฉันพูดกับเธอ 'คุณจะได้รับพระหรรษทานอันยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าสายฝนที่ตกลงมาใส่เราเช่นนี้' ดิฉันกล้าพอที่จะคุยกับเธอในเรื่องทางศาสนา และดิฉันตำหนิเธอเบาๆที่ปฏิเสธที่จะดื่มน้ำจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่ถ้ำแม่พระ หรือแม้แต่การทำสำคัญมหากางเขน หลังจากที่มีการคัดค้านต่างๆเธอกล่าวเสริมว่า: "มาดมัวแซลค่ะ,ฉันกำลังมองหาความสว่าง, ฉันสัญญาว่าเมื่อฉันเห็นแสงสว่างแล้ว,ฉันจะไม่ปิดตาของฉัน '
 

“ในวันรุ่งขึ้น,มีข่าวที่แพร่ทั่วไปในเมืองว่าแบร์นาแด็ตกำลังใกล้จะเสียชีวิตและเธอได้รับศีลศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้สุภาพสตรีผู้นี้ได้พบกับแบร์นาแด็ตสักครั้งหนึ่ง ดิฉันจึงเสนอว่าจะพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมแบร์นาแด็ต อย่างไรก็ตาม,เธอปฏิเสธโดยสิ้นเชิงที่จะไป โดยกล่าวว่า: ‘ฉันไม่ได้มีความปรารถนาแม้แต่น้อยที่จะได้เห็นแบร์นาแด็ต; เธออาจจะตายไปแล้วและยิ่งไปกว่านั้นฉันไม่มีเวลาว่าง ฉันต้องรีบไปที่ Pau ด้วย'
 
ดิฉันตอบว่า “คุณอาจไม่มีความปรารถนาที่จะเห็นแบร์นาแด็ต แต่ฉันไม่ลังเลที่จะบอกคุณว่าฉันปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้คุณได้เห็นเธอ หากคุณจะทำให้ฉันพอใจ,ก็ขอให้คุณไปพร้อมกับฉันเถิด”
 
“ด้วยความสุภาพตามธรรมชาติของเธอ,หรืออาจจะเป็นเพราะพระหรรษทานของพระเจ้า,ทำให้เธอยินยอมที่จะไปพร้อมกับดิฉัน และเราก็ออกเดินทางไปโรงพยาบาลพร้อมกับสามีของเธอ
 
“อย่างไรก็ตาม,ทางโรงพยาบาลห้ามไม่ให้ต้อนรับผู้มาเยี่ยมโดยเด็ดขาด แต่บรรดาซิสเตอร์ซึ่งอยู่ที่นั่นไม่ไร้น้ำใจที่จะเมินคำขอร้องของดิฉัน เราจึงได้เข้าไปที่ห้องผู้ป่วยในช่วงเวลาพอดีที่แบร์นาแด็ตมีอาการกระตุกอย่างน่ากลัว
 
“ซิสเตอร์สองท่านคอยดูแลแบร์นาแด็ต และแบร์นาแด็ตก็มีลักษณะเหมือนจะสิ้นลมแล้วเพราะเธอหายใจไม่ค่อยออก 'ไปเถิดค่ะ’ สุภาพสตรีไอริชพูด 'ให้เรากลับกันเถอะ,คุณก็เห็นแล้วว่าเธอไม่อยู่ในสภาพที่จะพูดได้อีกต่อไป' 'ไม่เป็นไร' ดิฉันตอบ 'ถ้าเราไม่สามารถพูดกับเธอได้ อย่างน้อยเราก็เห็นเธอ' เมื่อพูดเช่นนี้,ดิฉันจึงนำเธอเข้าไปที่ปลายเตียงผู้ป่วย,ที่ซึ่งแบร์นาแด็ตนอนแน่นิ่งอยู่
 
“ในทันทีที่แบร์นาแด็ตรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย, ดิฉันก็เข้าไปเพื่อจูบมือเธอ ขณะที่ดิฉันเดินมาด้านข้าง ดิฉันก็เห็นสุภาพสตรีเพื่อนของดิฉันเดินมาที่เตียงอย่างรวดเร็วและคุกเข่าลงตรงข้างเตียงของแบร์นาแด็ต ที่นั่น,เธอหลั่งน้ำตาร้องไห้ซบหน้าบนฝ่ามือของเธอ,ราวกับว่าเธอรู้สึกละอายใจที่ไม่สามารถระงับอารมณ์ของเธอเอาไว้ได้
 
“แบร์นาแด็ต,ซึ่งถึงตอนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลย,หันหน้ามาและพูดอย่างให้กำลังใจว่า:‘โอ้! มาดามโปรดลุกขึ้นและหยุดร้องไห้เถิด ฉันทนไม่ได้ที่เห็นคุณเป็นทุกข์ใจมาก '
 
“ดิฉันลากเก้าอี้มาและขอให้เธอนั่ง ซึ่งเธอก็ทำตามโดยใช้มือปิดหน้าและร้องไห้ต่อไปอย่างขมขื่น
 
“ดิฉันอยากจะ” แบร์นาแด็ตพูด “ให้ของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆแก่มิตรของเรา ได้โปรดส่งไม้กางเขนและเหรียญของดิฉันให้ฉันหน่อยเถิด: ตอนนี้ขอให้เธอเลือกสิ่งที่เธอต้องการ'
 
สุภาพสตรีที่น่าสงสาร,เธอคร่ำครวญด้วยความเศร้าโศก,ไม่ได้สนใจและรู้ถึงสิ่งที่แบร์นาแด็ตพูด "มาดามคะ" ดิฉันพูดขึ้น "แบร์นาแด็ตต้องการให้ของที่ระลึกแก่คุณและขอให้คุณเลือกของที่คุณต้องการ" เธอลุกขึ้นอย่างกะทันหันและคุกเข่าลงอีกครั้งอุทานว่า: "ไม่! ไม่! ฉันไม่ต้องการอะไร; ฉันไม่สมควรได้รับอะไรเลย ฉันไม่คู่ควรกับมัน''
 
แน่นอน' ดิฉันพูด 'คุณคงไม่ต้องการทำร้ายความรู้สึกของแบร์นาแด็ตด้วยการปฏิเสธสิ่งที่เธอยินดีมากที่จะมอบให้คุณ''
 
เธอตอบว่า “ถ้าฉันต้องยอมรับ ก็ขอให้เธอเลือกให้แก่ฉันเถิด.'
 
“แบร์นาแด็ตเลือกไม้กางเขนและเหรียญๆหนึ่ง,และด้วยความอ่อนโยนที่ไม่มีคำพูดใดสามารถบรรยายได้ เธอกล่าวเสริมว่า: ‘ไม้กางเขนมีไว้สำหรับคุณมาดาม; ส่วนเหรียญเป็นการเตือนให้คุณนึกถึงฉันตลอดเวลา '
 

“น้ำตาและเสียงสะอื้นของสุภาพสตรีเริ่มขึ้นอีกครั้ง ดิฉันใช้ประโยชน์จากความรู้สึกลึกๆของเธอ,เตือนให้เธอนึกถึงคำพูดของเธอเมื่อวันก่อน ‘คุณกำลังมองหาแสงสว่าง,และตอนนี้มันส่องแสงอย่างชัดเจนต่อหน้าต่อตาคุณแล้ว จงอย่าปิดหัวใจของคุณ, แต่จงเปิดใจของคุณให้กับพระหรรษทานที่หลั่งไหลมาเถิด เมื่อวานนี้คุณปฏิเสธที่จะร่วมสวดภาวนาพร้อมกับฉัน ตอนนี้คุณจะยินยอมไปที่โบสถ์พร้อมกับบรรดาซิสเตอร์หรือไม่? เราทุกคนจะสวดภาวนาให้คุณ”
 
เธอตอบ ‘อา! มาดมัวแซล ฉันไม่สามารถปฏิเสธคุณได้อีก: ฉันพร้อมที่จะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ "
 
“เราลาแบร์นาแด็ต,ซึ่งมีอิทธพลต่อเราเป็นอย่างมาก, เธออาจไม่ทราบว่าพระเจ้าได้ทำอะไรให้สำเร็จผ่านทางเธอ
 
“ไม่นานหลังจากที่หญิงสาวชาวไอริชคนนี้ออกจากการเป็นโปรเตสแตนต์และกลายเป็นคาทอลิกที่เร่าร้อน สองปีต่อมาพระเจ้าทรงเรียกเธอกลับไปหาพระองค์
 
“ในสวรรค์,ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน,เธอต้องขอบคุณวันที่เธอได้พบกับแบร์นาแด็ตขณะที่อยู่บนโลก เพราะเป็นที่แน่นอนว่าพระเจ้าทรงใช้บุตรีผู้หนึ่งของพระแม่มารีย์ให้เป็นเครื่องมือในการกลับใจของเธอ”
 
- นำมาจาก Bernadette of Lourdes, พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกในปี 1914; St. Pius X Press Inc., 2012; pp. 170-173
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น