วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ทำไมพระรูปแม่พระจึงร้องไห้

 

From Forums of the Virgin Mary
 
ปรากฏการณ์พระรูปแม่พระร้องไห้จำนวนมากได้รับการยอมรับจากพระสังฆราชในท้องถิ่น ตัวอย่างกรณีที่น่าจดจำในเรื่องนี้ เช่น รูปปั้นแม่พระแห่งอาคิตะ ผู้ร้องไห้ 101 ครั้งในญี่ปุ่น
 
หรือตัวอย่างเช่น พระรูปแม่พระหลั่งน้ำตาแห่งซีราคิวส์, ประเทศอิตาลี ที่ซึ่งมีรูปพระแม่มารีย์หลั่งน้ำตาที่บ้านของคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงาน  และในเวลาต่อมาพระสังฆราชท้องถิ่นได้อนุญาติให้แสดงความศรัทธาได้
 
หรือพระรูปแม่พระแห่งซิวิตาเวคเชีย(Virgin of Peace of Civitavecchia) ในอิตาลีที่ร้องไห้ในบ้านของครอบครัวหนึ่ง พระสังฆราชสั่งให้พระสงฆ์ทำลายพระรูป เพราะท่านไม่เชื่อในเหตุการณ์อัศจรรย์แบบนี้ แต่แล้วท่านก็กลับคุกเข่าขออภัยเมื่อพระรูปแม่พระหลั่งน้ำตาขณะที่อยู่ในมือของพระสังฆราชเอง
 
เราได้ยกตัวอย่างเพียงสามตัวอย่างเท่านั้น แต่ยังมีเหตุการณ์ทำนาองนี้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในทศวรรษที่ 80 ของศตวรรษนี้ อัศจรรย์พระรูปแม่พระหลั่งน้ำตาเหล่านี้เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ในช่วงสองทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21, พระรูปแม่พระหลั่งน้ำตาเกิดขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน [นี่เป็นความเห็นของผู้เขียน]ในพระศาสนจักรนิกายอีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์ ปรากฏการณ์ต่างๆ เป็นที่รู้จักและแพร่หลายมากกว่าในตะวันตก,ที่ซึ่งพระศาสนจักรคาทอลิกมีจำนวนผู้นับถือมากกว่า อาจเป็นเพราะทางตะวันตกได้รับอิทธิพลมากขึ้นจากลัทธิเหตุผลนิยม ซึ่งขับไล่ความเชื่อในเรื่องสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
 
และลัทธิเหตุผลนิยมได้แทรกซึมเข้าไปในพระศาสนจักร
 
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะได้ยินพระสงฆ์คาทอลิกหลายองค์กล่าวว่าพวกเขาไม่เชื่อในเรื่องการประจักษ์ใดๆ และไม่พูดถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเขตวัดของพวกเขา
 
ผลไม้ที่เป็นพิษของต้นไม้แห่งความหลอกลวงนี้ได้แพร่เชื้อให้กับผู้อภิบาล,นักเทวศาสตร์, และสุดท้ายคือคือบรรดาฆราวาส ถึงแม้ยังมีบางสิ่งที่น่าพิศวงที่เกิดขึ้นทางฝั่งตะวันออก(ทางอิสเทรินออร์โธดอกซ์)
 
คนเหล่านี้กลายเป็นคนที่มีความเชื่อครึ่งๆกลางๆตั้งแต่เมื่อเริ่มเรียนคำสอน และลักษณะเช่นนี้ก็กระจายออกไปในพระศาสนจักรอย่างกว้างขวาง
 
พระรูปพระแม่มารีย์ร้องไห้ในสถานที่ต่างๆทั่วโลกนั้นไม่ใช่เรื่องหลอกลวง เพราะฉะนั้น,เราต้องตั้งคำถามว่าทำไมแม่พระจึงทรงทำเช่นนั้น?
 
พระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงกล่าวเป็นนัยไว้ให้แก่เราเมื่อคราวเสด็จเยือนสักการสถาน “แม่พระแห่งน้ำตา” ในเมืองซีราคิวส์ ทรงกล่าวในความหมายเดียวกับที่แม่พระทรงบอกกับคุณพ่อก็อบบี้(Gobbi), พระองค์ตรัสว่า
 
“น้ำตาของพระแม่มารีย์เป็นพยานถึงการประทับอยู่ของพระมารดา”
 
และพระแม่ทรงร้องไห้เมื่อเห็นลูกๆของพระนางกำลังถูกคุกคามโดยความชั่วร้ายฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายร่างกาย
 
มันเป็นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดสำหรับผู้ที่ปฏิเสธความรักของพระเจ้าและสำหรับมนุษยชาติที่ถูกกดขี่และถูกทำร้าย
 
มันเป็นน้ำตาแห่งการสวดภาวนาเพราะแม่พระทรงถวายคำภาวนาแด่พระเจ้าสำหรับผู้ที่ไม่สวดภาวนา,สำหรับผู้ที่ดื้อรั้นและปิดหูของเขาเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องฟังเสียงของพระเจ้า
 
และมันเป็นน้ำตาแห่งความหวังที่ปรารถนาจะทำให้ใจที่แข็งกระด้างอ่อนลง,เพื่อว่าคนเหล่านั้นจะได้กลับใจ และพระนางทรงร้องไห้เพื่อทุกคนที่ไม่ได้ร้องไห้เพราะบาปของพวกเขา
 
ซิสเตอร์ลูซีอาแห่งฟาติมาได้กล่าวในระหว่างที่พระนางพรหมจารีย์ทรงปรากฏมาในเมืองปอนเตเบดรา(Pontevedra)ว่าน้ำตาเหล่านั้นเป็นน้ำตาที่ออกมาจากหัวใจของพระแม่,หัวใจที่ถูกล้อมรอบด้วยหนามแหลม,สำหรับบาปความผิดต่างๆที่คนบาปได้กระทำต่อพระนาง
 
เพราะฉะนั้นเราสามารถพูดได้ว่าน้ำตาที่เราเห็นหลั่งออกมาจากพระรูปพระแม่มารีย์นั้น,มีสาเหตุมาจากความเจ็บปวดที่ลูกๆของพระนางเองได้กระทำต่อดวงหทัยของพระนาง,มาจากบาปของการไม่ยอมกลับใจ,ไม่ฟังคำเตือนของพระนาง,แถมยังดูถูกเหยียดหยามพระนางอีกด้วย
 
ในช่วงทศวรรษ 1990, คุณพ่อสเตฟาโน ก็อบบี้(Stefano Gobbi ผู้ได้รับสาส์นจากแม่พระในลักษณะเสียงจากภายใน) ท่านได้รับคำอธิบายจากแม่พระเองที่บอกท่านว่าน้ำตาของพระนางเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชำระล้างที่จะมาถึงมนุษยชาติด้วย
 
วันที่ 31 ธันวาคม 1990 แม่พระทรงขอให้ท่านสวดภาวนา
 
“เพื่อวอนขอความรอดของโลกนี้,ซึ่งขณะนี้ได้สัมผัสกับส่วนลึกที่สุดของความชั่วร้ายและความไม่บริสุทธิ์,ความอยุติธรรมและความเห็นแก่ตัว,ความเกลียดชังและความรุนแรง,บาปและความชั่วร้ายต่างๆมากมาย” แม่พระตรัส
 
แม่พระทรงบอกให้ท่านรู้ถึงความพยายามที่พระนางทำมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
 
“หลายครั้งหลายหนที่แม่ได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อกระตุ้นให้พวกลูกกลับใจและหันกลับมาหาพระเจ้า
 
“แม่ยืนอยู่ใต้ไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า และเวลานี้แม่อยู่ใต้ไม้กางเขนที่ลูกๆของแม่แต่ละคนกำลังแบกอยู่ แม่อยู่ใต้ไม้กางเขนที่พระศาสนจักรและคนบาปที่น่าสงสารเหล่านี้แบกอยู่ในทุกวันนี้ เพราะแม่เป็นแม่ที่แท้จริงและเป็นผู้ร่วมไถ่บาปที่แท้จริง”
 
ความช่วยเหลืออย่างหนึ่งของพระเยซูเจ้าคือผ่านการเผยแสดงให้เห็นในภาพพระรูปของแม่พระ
 
“จากดวงตาของภาพนี้เอง,เราได้ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัศจรรย์มากกว่าร้อยครั้งในตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
 
แต่แม่พระทรงแสดงถึงความเสียใจและความผิดหวังกับการสนองตอบของมนุษย์
 
“พวกเขาไม่ฟังแม่เลย,พวกเขายังคงดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งการปฏิเสธพระเจ้าและละเมิดกฎแห่งความรักของพระองค์ต่อไป พระบัญญัติสิบประการของพระเจ้าถูกละเมิดอย่างต่อเนื่องและทำอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ”
 
ดังนั้น,แม่พระจึงทรงร้องไห้เพราะมนุษยชาติไม่ยอมรับฟังคำร้องขอของพระมารดาให้กลับใจและให้หันกลับมาหาพระเจ้า
 
และมนุษยชาติยังคงดำเนินชีวิตอย่างดื้อรั้นในเส้นทางแห่งการเป็นกบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านกฎแห่งความรักของพระองค์
 
น้ำตา
 
“เพราะว่าวิญญาณของลูกๆของแม่จำนวนมากมายกำลังหลงทางและตกลงสู่นรก”
 
และเนื่องจากมีคนเพียงไม่กี่คนที่ทำตามคำขอของพระเจ้าที่ให้สวดภาวนา,ทำกิจชดเชยใช้โทษบาป,ทำพลีกรรมด้วยความสำนึกผิด
 
“พระเจ้าถูกปฏิเสธอย่างเปิดเผย,ถูกสบประมาทและดูหมิ่น พระมารดาบนสวรรค์ของพระองค์ถูกดูหมิ่นและเย้ยหยันอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ คำขอร้องของแม่ไม่ได้รับการยอมรับ ; พวกลูกไม่เชื่อในสัญญาณที่แม่มอบให้
 
การสูญเสียความเชื่อทำให้แม่พระทรงเจ็บปวดมากเป็นพิเศษ
 
“การละทิ้งความเชื่อแพร่ขยายออกไป,สิ่งที่ผิดพลาดในเวลานี้กำลังแพร่กระจายและได้รับการยอมรับโดยคนส่วนใหญ่ และความเชื่อของคนจำนวนมากได้หายไปแล้ว”
 
และพระเยซูเจ้าไม่เพียงแต่บ่นเกี่ยวกับความเหินห่างจากพระเจ้าและการสูญเสียความเชื่อเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงบ่นถึงพฤติกรรมของมนุษย์จำนวนมากด้วย พระองค์ตรัสว่า
 
“กฎแห่งความรักต่อเพื่อนบ้านถูกละเมิดทุกวันด้วยความเห็นแก่ตัว,ด้วยความเกลียดชัง,ความรุนแรง และความแตกแยกที่เข้ามาในครอบครัวและสังคม”
 
และด้วยเหตุนี้,สงครามที่รุนแรงและนองเลือดจึงเกิดขึ้นระหว่างประเทศต่างๆในโลก
 
พระองค์ยังทรงเปิดเผยด้วยว่าสวรรค์ร้องไห้ต่อสถาบันพระศาสนจักรว่า
 
“ท่านเดินตามเส้นทางแห่งความแตกแยก,เส้นทางการสูญเสียความเชื่อที่แท้จริง การละทิ้งความเชื่อและคำสอนที่ผิดพลาดแพร่กระจายมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีใครต่อต้านพวกมัน”
 
และแม่พระตรัสอีกว่า
 
“สิ่งที่แม่ทำนายไว้ที่ฟาติมาและสิ่งที่แม่ได้เปิดเผยที่นี่ในความลับข้อที่สามที่มอบให้กับลูกสาวน้อยๆของแม่,กำลังอยู่ในขั้นตอนของการบรรลุให้สำเร็จสมบูรณ์”
 
นี่อาจหมายถึงข้อความบางส่วนของความลับข้อที่สามแห่งฟาติมาที่ยังไม่ได้รับรู้ นั่นคือการละทิ้งความเชื่อในพระศาสนจักร
 
และพระเยซูเจ้าทรงบอกว่าแม่พระทรงร้องไห้เพราะในช่วงเวลานี้,แม่พระได้เข้าไปแทรกแซงหลายครั้ง,เพื่อขอรับพระพรจากพระเมตตาอันศักดิ์สิทธิ์จากพระเยซูเจ้า
 
แต่บัดนี้ถึงเวลาแล้ว,ถึงเวลาที่พระเมตตาจะมาพร้อมกับพระยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อการชำระโลกให้บริสุทธิ์
 
ดังนั้นแม่พระจึงทรงร้องให้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการกบฏต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนบ้าน แม่ตรัสกับคุณพ่อก็อบบี้ว่า
 
“ลูกได้เข้าสู่ช่วงเวลาที่เจ็บปวดของการชำระล้างและความทุกข์ทรมานจะต้องเพิ่มขึ้นสำหรับทุกคน
 
แม้แต่พระศาสนจักรของแม่ก็จำเป็นต้องได้รับการชำระล้างความชั่วร้ายที่ได้ทำร้ายพระศาสนจักรและทำให้พระศาสนจักรต้องประสบกับช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกและความทุกข์ทรมานอันเจ็บปวด”
 
และสถานการณ์ในช่วงเวลานี้บอกเราว่า
 
“สำหรับพระศาสนจักร,เวลาแห่งการทดสอบครั้งใหญ่ของเธอมาถึงแล้ว เพราะคนชั่วจะสถาปนาตนเองภายในเธอ และความน่าสะอิดสะเอียนแห่งความรกร้างจะเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
 
แม่พระกำลังพูดถึงแอนตี้ไครส์และประกาศกเท็จเทียม
 
และแม่พระทรงกล่าวเสริมว่า “เวลาที่พวกลูกกำลังจะมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเวลาที่เคร่งเครียดจริงจังและเจ็บปวดที่สุด”
 
แล้วแม่พระทรงขอให้เราใช้ความพยายามทำสิ่งเหล่านี้ซึ่งจะเป็นการเยียวยารักษา,แม่พระตรัสว่า
 
“จงสวดภาวนา, ทนทุกข์, มอบถวาย, เยียวยารักษาพร้อมกับแม่, ผู้เป็นมารดาแห่งการแทรกแซงช่วยเหลือและการเยียวยารักษา”
 
สำหรับคนเหล่านั้นที่ถวายตนทั้งครบแด่หทัยนิรมลของแม่พระและผู้ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง,แม่พระทรงขอให้พวกเขาเตรียมรับเสด็จพระคริสต์ผู้ทรงมาในพระสิริอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ เพราะวันอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้มาถึงแล้ว
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง,การชำระล้างให้บริสุทธิ์คือสิ่งที่จะนำเรามาสู่พระเยซูคริสต์
 
และนี่คือสิ่งที่ผมต้องการจะบอกคุณเกี่ยวกับสาเหตุที่พระรูปพระแม่มารีย์หลั่งน้ำตาและหลั่งน้ำมันและเลือด
 
และผมอยากถามคุณว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับคุณบ้างหรือไม่,พระรูปเคยหลั่งน้ำตา,หรือคุณเคยเห็นพระรูปที่เป็นเช่นนี้บ้างหรือไม่?
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น