วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564

นักบุญแอนโทนี่แห่งทะเลทราย

 

การได้เห็นเทวดาไม่ใช่อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่อะไร
แต่การเห็นความผิดพลาดของตัวเราเองนั่นแหละเป็นอัศจรรย์ 
- นักบุญแอนโธนี St Anthony the Great
 
St Anthony the Great
 
นักบุญแอนโธนี (ประมาณ 251–356) หรือที่รู้จักกันในนาม 'แอนโธนีแห่งอียิปต์', อับบา อันโตเนียส (Ἀββᾶς Ἀντώνιος) และบิดาของนักพรตฤาษีทั้งหมด เป็นนักบุญชาวอียิปต์,และผู้นำที่โดดเด่นในบรรดาปิตาจารย์แห่งทะเลทราย
 
ชีวประวัติของนักบุญแอนโธนีที่เขียนโดยนักบุญอธานาซิอุสแห่งอเล็กซานเดรียช่วยเผยแพร่แนวความคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของนักพรตฤาษีให้แก่ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปตะวันตกผ่านการแปลเป็นภาษาละติน ท่านมักจะถูกมองอย่างไม่ถูกต้องว่าเป็นนักพรตฤาษีคนแรก แต่เมื่อชีวประวัติของท่านชัดเจนขึ้นและด้วยข้อมูลอื่นๆก็ทำให้ทราบว่ายังมีนักพรตฤาษีหลายท่านที่ดำเนินชีวิตอยู่ก่อนหน้าท่าน อย่างไรก็ตาม แอนโธนีเป็นนักพรตฤาษีคนแรกที่เข้าไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร (ประมาณ ค.ศ. 270–271) ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตที่ทำให้ท่านมีชื่อเสียง เรื่องราวของนักบุญแอนโธนีที่อดทนต่อการประจญเหนือธรรมชาติระหว่างการไปอยู่ในทะเลทรายลิเบีย,เป็นแรงบันดาลใจในศิลปะและวรรณคดีตะวันตกเกี่ยวกับการประจญของนักบุญแอนโธนีที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ
 
มีการวอนขอการช่วยเหลือจากนักบุญแอนโธนี่ในเรื่องโรคติดเชื้อ,โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคผิวหนัง ในอดีต,ความทุกข์ยากเช่นนี้มีอยู่มากมาย เช่นโรคเนื้อตาย (ergotism),โรคไฟลามทุ่ง (erysipelas),และโรคงูสวัด (Shingles) การรักษาโรคเหล่านี้ถูกเรียกตามประวัติศาสตร์ว่าการรักษาด้วย ไฟของนักบุญแอนโธนี”
 
ชีวิตในวัยเด็ก : เรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญแอนโธนีส่วนใหญ่มาจากหนังสือที่เขียนเป็นภาษากรีกราวปี 360 โดยนักบุญอาธานาซีอุสแห่งอาเล็กซานเดรีย,ท่านบรรยายว่า แอนโธนี่เป็นผู้ที่ไม่รู้หนังสือและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในภูมิประเทศที่มีความเกี่ยวข้องแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงก่อนปี 374 อีวากรีอุสแห่งอันทิโอกได้แปลเป็นภาษาละติน การแปลภาษาละตินช่วยให้ชีวิตของแอนโธนี่กลายเป็นงานวรรณกรรมที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดชิ้นหนึ่งในโลกของคริสตชน และคงอยู่ตลอดยุคกลาง นอกเหนือจากชีวิตแล้ว บทเทศนาและจดหมายที่หลงเหลืออยู่หลายฉบับได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอัตชีวประวัติเพิ่มเติมของท่าน
 
แอนโธนีเกิดในเมืองโคม่า (Coma or Koma) ใกล้กับเมืองเฮราคลิโอโปลิส มักนาในอียิปต์ตอนล่างในปี 251 ,บิดามารดาเป็นเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่ง เมื่อเขาอายุได้ประมาณ 18 ปี พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตและทิ้งเขาไว้กับพี่สาวที่ยังไม่แต่งงาน หลังจากนั้นไม่นานท่าน ตัดสินใจทําตามพระวาจาของพระเยซูเจ้า, ที่ตรัสว่า “ถ้าท่านต้องกาจะเป็นผู้ที่ดีครบบริบูรณ์ จงขายทุกสิ่งที่มีแจกจ่ายให้แก่คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์;แล้วนั้นจงตามเรามาเถิด” [มธ 19:21] แอนโธนีปฏิบัติตามคำพูดเหล่านี้ตามตัวอักษร ท่านได้มอบที่ดินของครอบครัวบางส่วนให้กับเพื่อนบ้านของท่าน ขายทรัพย์สินที่เหลือบริจาคเงินให้กับคนยากจน ชวนน้องสาวของท่านให้ดำเนินชีวิตกับเหล่าสาวพรหมจารีคริสตชน, ซึ่งเป็นอารามของแม่ชี และตัวท่านเองได้เป็นศิษย์ของนักพรตฤาษีในท้องถิ่นนั้น
 
สมญานามที่เรียกท่านว่า “บิดาแห่งนักพรตฤาษี” อาจถือได้ว่าเป็นการเข้าใจผิด เนื่องจากก่อนหน้านี่,นักพรตฤาษีของคริสตศาสนิกชนก็ดำเนินชีวิตอยู่ในทะเลทรายของอียิปต์แล้ว ผู้สูงวัยบางคนจะดำเนินชีวิตเป็นนักพรตฤาษีในถิ่นทุรกันดารในเขตชานเมือง ในศตวรรษที่ 2 ก็มีนักพรตฤาษีชาวคริสต์ที่มีชื่อเสียงเช่นนักบุญเทคลา(Saint Thecla)
 
Therapeutae,ฤาษีนักพรตนอกศาสนาและบางคนในชุมชนได้มีการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันอย่างหลวๆ นี่เป็นการอธิบายโดย Philo of Alexandria ปราชญ์ชาวยิวในศตวรรษแรก ชุมชนเหล่านี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของทะเลสาบ Mareotis ที่อยู่ใกล้กับอเล็กซานเดรีย และในภูมิภาคอื่นๆที่เข้าถึงได้ยาก Philo ตั้งข้อสังเกตว่า “คนเหล่านี้อาจจะพบได้ในหลายๆแห่ง เพราะทั้งชาวกรีซและคนในประเทศป่าเถื่อนต่างแสวงหาความสุขทางใจจากความดีสมบูรณ์”
 
มีตำนานเล่าขานมากมายที่เล่าว่า แอนโธนี่ทำงานเป็นคนเลี้ยงสุกรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
 
การเป็นนักพรตฤาษี : นักบุญแอนโธนีตัดสินใจปฏิบัติตามธรรมประเพณีนี้และมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายไนเตรียน(alkaline Nitrian Desert ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่ตั้งของอาราม Nitria, Kellia และ Scetis) ทางตะวันตกของอเล็กซานเดรีย ประมาณ 95 กม. ริมขอบทะเลทรายตะวันตก ท่านอยู่ที่นี่ประมาณ 13 ปี
 
แอนโธนีมีชื่อเสียงในฐานะนักพรตฤาษีรุ่นแรกที่พยายามดำเนินชีวิตในทะเลทราย, ถูกตัดขาดจากอารยธรรมโดยสิ้นเชิง วิถีชีวิตฝ่ายจิตของท่านเข้มงวดมากกว่าคนรุ่นก่อนท่าน ดังนั้น,ก็เป็นการสมควรที่ท่านจะได้รับสมญานามว่าบิดาแห่งนักพรตฤาษี เนื่องจากท่านได้เป็นแรงบันดาลใจให้ชายหญิงหลายร้อยคนมาดำเนินชีวิตในทะเลทรายตามรอยของท่าน และต่อมาการดำเนินชีวิตเช่นนี้ได้ถูกจัดระเบียบอย่างหลวมๆให้เป็นชุมชนเล็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดย Macarius ลูกศิษย์ของท่านเอง
 
ตามคำกล่าวของอาธานาซีอุส,ปีศาจได้ประจญล่อลวงนักบุญแอนโธนีโดยทรมานท่านด้วยความเบื่อหน่าย,ความเกียจคร้าน,และภาพหลอนของหญิงสาว ซึ่งท่านเอาชนะได้ด้วยพลังแห่งการสวดภาวนา และนี่เป็นหัวข้อที่ถูกใช้ในศิลปะคริสต์ หลังจากนั้นท่านนักบุญได้ย้ายไปอยู่ในถ้ำซึ่งท่านพักอาศัยและปิดประตูขังตัวเองไว้,มีชีวิตขึ้นอยู่กับชาวบ้านในท้องถิ่นบางคนที่นำอาหารมาให้ท่าน เมื่อปีศาจรับรู้ถึงชีวิตนักพรตของท่านและท่านได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากช่วบ้าน,มันก็อิจฉาและทุบตีท่านอย่างไร้ความปราณี ทำให้ท่านหมดสติ เมื่อเพื่อนของท่านจากหมู่บ้านแถวนั้นมาเยี่ยม,ก็พบท่านในสภาพเช่นนี้ พวกเขาก็พาท่านไปที่โบสถ์
 
หลังจากที่ท่านหายดีแล้ว,ท่านได้พยายามเป็นครั้งที่สองและเดินทางกลับเข้าไปในทะเลทราย,ไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไปอีกด้านหนึ่งซึ่งเรียกว่า Pispir ซึ่งปัจจุบันคือ Der el Memun ตรงข้ามกับ Crocodilopolis ท่านอาศัยอยู่ที่ป้อมโรมันเก่าที่ถูกทิ้งร้าง,ดำเนินชีวิตอย่างเข้มงวดเป็นเวลายี่สิบปี ตามคำกล่าวของอาธานาซีอุส,ปีศาจได้กลับมาทำสงครามกับนักบุญแอนโธนีอีกครั้ง เฉพาะครั้งนี้มันสร้างภาพหลอนของสัตว์ป่าเช่น หมาป่า,สิงโต,งู,และแมงป่อง ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะโจมตีท่านหรือสับท่านให้เป็นชิ้นๆ แต่นักบุญแอนโธนี่หัวเราะเยาะพวกมันอย่างเหยียดหยามและกล่าวว่า “ถ้าเพียงตัวเดียวในพวกเจ้าที่มีอำนาจเหนือข้า, ตัวนั้นคือผู้ที่จะต่อสู้กับข้าได้” เมื่อท่านพูดเช่นนี้ ปีศาจทั้งหมดก็หายตัวไปเหมือนควัน นี่ถือเป็นชัยชนะที่พระเจ้าทรงประทานให้ ขณะอยู่ในป้อมปราการนี้,แอนโธนี่ติดต่อโลกภายนอกผ่านทางผนังรอยแยกซึ่งอาหารจะถูกส่งเข้ามาและท่านจะพูดเพียงสองสามคำ นักบุญแอนโธนีจะเตรียมขนมปังจำนวนหนึ่งไว้เลี้ยงชีวิตเป็นเวลาหกเดือน ท่านไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปในห้องของท่าน ผู้ที่มาหาท่านต้องยืนอยู่ข้างนอกและฟังคำแนะนำของท่าน
 
วันหนึ่งท่านออกมาจากป้อมปราการด้วยความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่พังประตูเข้าไป มาถึงตอนนี้,คนส่วนใหญ่คิดว่าท่านคงจะต้องเสียชีวิตหรือเป็นบ้าไปแล้วเพราะการกักขังตัวเอง แต่ท่านกลับมีสุขภาพแข็งแรง,มีความสงบสุข,และบรรลุถึงความรู้แจ้ง ทุกคนประหลาดใจที่ท่านผ่านการทดลองเหล่านี้ได้และมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ และจากนี้ไป ตำนานของนักบุญแอนโธนีก็เริ่มแผ่ขยายไปทั่ว
 
แอนโธนีได้ไปที่ Fayyum และให้การสนับสนุนบรรดาพี่น้องที่นั่นในความเชื่อของคริสตชน ต่อจากนั้น,ท่านกลับไปที่ป้อมปราการโรมันเก่าของท่าน ในปี 311 แอนโธนีปรารถนาที่จะเป็นมรณสักขีและออกเดินทางไปที่อเล็กซานเดรีย ท่านไปเยี่ยมผู้ถูกจองจำเพราะเห็นแก่พระคริสต์และทรงปลอบโยนพวกเขา เมื่อผู้ว่าราชการเห็นว่าท่านกำลังเทศนาสั่งสอนคริสตศาสนาอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ โดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวท่านเอง, เขาจึงสั่งนักบุญแอนโธนี่ไม่ให้มาปรากฏตัวในเมืองอีก อย่างไรก็ตาม,ท่านนักบุญไม่สนใจคำขู่ของเขา ท่านเผชิญหน้ากับผู้ว่าราชการและโต้เถียงกับเขาเพื่อกระตุ้นความโกรธของเขา และเพื่อที่ท่านจะถูกทรมานและเสียชีวิตเป็นมรณะสักขี, แต่เรื่องนี้ก็ไม่เกิดขึ้น
 
บิดาแห่งนักพรตฤาษี : นักบุญแอนโธนี่เดินทางออกจากเมืองอเล็กซานเดรียเพื่อกลับไปยังป้อมปราการโรมันเก่าเมื่อสิ้นสุดการเบียดเบียนคริสตชน หลายคนมาเยี่ยมและฟังคำสอนของท่านที่นี่ แต่ท่านกลับเห็นว่าการมาเยี่ยมเหล่านี้ทำให้ท่านเหินห่างจากการนมัสการพระเจ้า ด้วยเหตุนี้,ท่านจึงเดินทางไปไกลถึงทะเลทรายตะวันออกของอียิปต์ ท่านเดินทางไปยังถิ่นทุรกันดารชั้นในเป็นเวลาสามวัน จนกระทั่งพบแหล่งน้ำและต้นอินทผลัม แล้วท่านก็เลือกที่จะตั้งถิ่นฐานที่นั่น ไม่นานเหล่าสาวกก็เริ่มมาหาท่านอีก,เพื่อแสวงหาการสั่งสอนฝ่ายจิต จากหยดน้ำก็กลายเป็นน้ำท่วม และในไม่ช้าก็มีคนนับในร้อยมาอาศัยอยู่กับท่าน สถานที่แห่งนี้ปัจจุบันเป็นอารามของนักบุญแอนโธนีผู้ยิ่งใหญ่
 
ที่นั่น,นักบุญแอนโธนี่ได้ใช้กฎระเบียบแบบเดียวกับของนักบุญเบเนดิกต์แห่งนูร์เซีย(Benedict of Nursia)ซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกประมาณ 200 ปีต่อมานั่นคือ “สวดภาวนาและทำงาน” โดยที่ท่านเองและลูกศิษย์หรือสาวกต้องใช้แรงงาน แอนโธนีเองได้ปลูกพืชสวนและทอเสื่อกก ตัวท่านและเหล่าศิษย์จะแสวงหาถ้อยคำที่ส่งเสริมจิตใจอยู่เป็นประจำ และถ้อยคำเหล่านี้จะถูกรวบรวมไว้ในหนังสือถ้อยคำของบิดาแห่งทะเลทราย กล่าวกันว่าแอนโธนีเองได้พูดกับผู้ที่มีอุปนิสัยฝ่ายวิญญาณเป็นการส่วนตัว โดยทิ้งหน้าที่การกล่าวปราศรัยต่อผู้มาเยือนชาวโลกที่มายังมาการิอุส ในบางครั้งท่านก็จะไปโบสถ์ที่อยู่ชานเมืองทะเลทรายข้างแม่น้ำไนล์เพื่อเยี่ยมบรรดาพี่น้อง,หลังจากนั้นก็จะกลับไปที่อารามของท่าน
 
เรื่องราวเบื้องหลังของจดหมายที่ยังหลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่งซึ่งส่งตรงไปยังจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 เล่ากันว่าชื่อเสียงของนักบุญแอนโธนีแพร่กระจายไปถึงต่างประเทศและเข้าถึงพระกรรณของจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิจึงทรงเขียนจดหมายถึงนักบุญแอนโทนี่,สรรเสริญท่านและขอให้ท่านสวดภาวนาเพื่อพระองค์ด้วย บรรดาพี่น้องนักพรตต่างพอใจกับจดหมายของจักรพรรดิ แต่แอนโธนีไม่ได้ใส่ใจกับจดหมายนั้น และพูดกับพวกเขาว่า “หนังสือของพระเจ้า,ผู้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย,ทรงเป็นเจ้านายแห่งเจ้านายทั้งปวง, พระองค์ทรงสั่งเราอยู่ทุกวัน,แต่เรากลับไม่ฟังสิ่งที่พระองค์ทรงบอกเราและเราหันหลังให้กับพระบัญชาของพระองค์” บรรดาพี่น้องนักพรตเหล่านั้นพยายามบอกกับแอนโทนี่ว่า “จักรพรรดิคอนสแตนตินรักพระศาสนจักร” ท่านจึงยอมรับที่จะเขียนจดหมายอวยพรจักรพรรดิและจะสวดภาวนาเพื่อสันติภาพและความปลอดภัยของจักรวรรดิและพระศาสนจักร
 
ตามที่อาธานาซีอุสได้เขียนไว้ นักบุญแอนโธนี่ได้ยินเสียงบอกท่านว่า “จงออกไปและดู” ท่านจึงออกไปและเห็นทูตสวรรค์ที่สวมผ้าคาดเอวที่มีไม้กางเขนซึ่งมีรูปร่างคล้ายเอสเคมาศักดิ์สิทธิ์(holy Eskiem,Tonsure หรือ Schema) และบนศีรษะของทูตสวรรค์มีผ้าคลุมศีรษะ (Kolansowa) ท่านนั่งอยู่และกำลังถักใบตาล,ต่อจากนั้นก็ยืนขึ้นสวดภาวนา, แล้วนั่งถักอีกครั้ง มีเสียงหนึ่งพูดว่า “แอนโธนี่ จงทำแบบนี้แล้วท่านจะได้พักผ่อน” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา,แอนโธนี่ก็เริ่มสวมเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่ท่านเห็นและเริ่มถักใบตาลและไม่เคยเบื่อหน่ายเลย นักบุญแอนโธนีเคยทำนายเกี่ยวกับการเบียดเบียนที่จะเกิดขึ้นกับพระศาสนจักรและการเข้ามารุกรานของพวกนอกศาสนาที่กระทำต่อพระศาสนจักร,ชัยชนะของพระศาสนจักรและการหวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต,การสิ้นสุดของยุคสมัย เมื่อนักบุญมาคาริอุสไปเยี่ยมนักบุญแอนโธนี นักบุญแอนโธนีก็สวมเครื่องแต่งกายของพระสงฆ์ และแจ้งล่วงหน้าว่าเขาจะเป็นเช่นไร เมื่อใกล้ถึงวันจากไปของนักบุญเปาโล,นักพรตฤาษีคนแรกในทะเลทราย นักบุญแอนโธนีก็ไปหาท่านและฝังร่างของท่าน,หลังจากที่สวมเสื้อคลุมให้ท่านซึ่งเป็นของขวัญจากนักบุญอาธานาซีอุสผู้เผยแพร่ศาสนา,สังฆราชองค์ที่ 20 แห่งอเล็กซานเดรีย
 
ในปี338,แอนโธนี่ถูกเรียกตัวโดยอาธานาซีอุสแห่งอเล็กซานเดรียเพื่อให้มาช่วยหักล้างคำสอนของอาริอุส(Arius)
 
วาระสุดท้าย : เมื่อนักบุญแอนโธนีรู้สึกว่าใกล้จะถึงวันที่ท่านจะต้องจากไปแล้ว ท่านสั่งให้ลูกศิษย์มอบไม้เท้าให้กับนักบุญมาคาริอุส และมอบเสื้อคลุมหนังแกะชุดหนึ่งแก่นักบุญอาธานาซีอุส และเสื้อคลุมหนังแกะอีกชุดหนึ่งแก่นักบุญเซราปิออน,ลูกศิษย์ของท่าน ท่านยังสั่งเหล่าศิษย์ให้ฝังศพของท่านในหลุมศพที่เป็นความลับไม่มีเครื่องหมายใดๆ
 
นักบุญแอนโธนี่จะพูดเพียงภาษาพื้นเมืองของท่านคือคอปติกเท่านั้น แต่คำพูดของท่านถูกเผยแพร่เป็นภาษากรีก ตัวท่านเองไม่มีงานเขียนใดๆ ชีวประวัติของท่านถูกเขียนโดยนักบุญอาธานาซีอุสและมีชื่อว่า Life of Saint Anthony the Great มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับท่านในหนังสือที่รวบรวมถ้อยคำต่างๆของบรรดาปิตาจารย์แห่งทะเลทราย
 
ถึงแม้ว่าแอนโธนีเองไม่ได้จัดตั้งหรือสร้างอาราม แต่ชุมชนรอบๆตัวท่านเติบโตขึ้นโดยอิงจากแบบอย่างของท่านในการใช้ชีวิตแบบนักพรตฤาษีและการใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยว หนังสือชีวประวัติโดยอาธานาซีอุสได้ช่วยเผยแพร่ความคิดอุดมคติของนักบุญแอนโธนี่ อาธานาซีอุสเขียนว่า “สำหรับบรรดานักพรตฤาษีแล้ว, ชีวิตของนักบุญแอนโทนี่เป็นแบบอย่างที่เพียงพอของการบำเพ็ญชีวิตแบบนักพรตฤาษีที่ศักดิ์สิทธิ์”
 
การประจญล่อลวงของปีศาจ : เป็นที่เลื่องลือว่าแอนโธนีต้องเผชิญหน้ากับการยั่วยวนที่เหนือธรรมชาติหลายครั้งในระหว่างที่ท่านไปแสวงบุญที่ทะเลทราย หนังสือที่เล่าถึงการประจญเล่มแรกเป็นหนังสือของอาธานาซีอุสผู้มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยของท่าน อย่างไรก็ตาม,นักวิชาการสมัยใหม่บางคนแย้งว่าเรื่องของการประจญล่อลวงที่แอนโธนีได้รับนั้น,ถูกเล่าโดยผู้แสวงบุญธรรมดาบางคนที่มาเยี่ยมแอนโธนี่,และได้ถ่ายทอดสิ่งที่พวกเขาได้รับรู้ให้แก่อาธานาซีอุสได้ทราบ
 
ซาตรีย์และเซนทอร์:นักบุญแอนโธนีเดินทางในทะเลทรายเพื่อไปพบกับนักบุญเปาโลแห่งธีบส์ผู้ที่มาอยู่ก่อน ขณะที่นักบุญแอนโธนีรู้สึกว่าท่านเป็นคนแรกที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย อย่างไรก็ตาม,แอนโธนี่ได้รับนิมิต,ท่านถูกเรียกให้ไปในทะเลทรายเพื่อค้นหานักบุญเปาโลผู้ที่มาอยู่ก่อน ระหว่างทางไปที่นั่น,แอนโธนี่ได้พบกับปีศาจสองตัวในรูปของเซนทอร์และซาตรีย์ งานศิลปะหลายชิ้นแสดงให้เห็นภาพของนักบุญแอนโธนีที่พบกับเซนทอร์และซาตรีย์ เทววิทยาตะวันตกถือว่าปีศาจเหล่านี้เป็นการประจญ ท่านถามปีศาจว่า “เจ้าเป็นใคร?” ซาตรีย์ตอบว่า “ข้าเป็นซากศพ,ซึ่งคนต่างศาสนาเรียกว่าซาตรีย์ และเราทำให้คนเหล่านั้นติดกับดักการบูชารูปเคารพ” ซาตรีย์พยายามขู่ขวัญนักบุญในขณะที่เซนทอร์ต้องสยบต่อพระอำนาจของพระเจ้า ในท้ายที่สุด, เซนทอร์ก็แสดงให้นักบุญแอนโธนีเห็นเส้นทางที่นำไปยังจุดหมายปลายทางของท่าน ส่วนซาตรีย์ลงเอยด้วยการขอให้นักบุญแอนโธนีอวยพรมัน 
 
เงินและทอง : อีกครั้งหนึ่งที่นักบุญแอนโธนีกำลังเดินทางไปในทะเลทราย ท่านพบแผ่นเหรียญเงินในระหว่างทาง ท่านพิจารณาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งว่าทำไมแผ่นเหรียญเงินถึงมาอยู่ในทะเลทรายที่ไม่มีใครเดินทางผ่าน จากนั้นท่านก็ตระหนักว่าเป็นปีศาจที่วางมันไว้ที่นั่นเพื่อทดลองท่าน แอนโธนี่พูดว่า “ฮา! เจ้าปีศาจ เจ้าพยายามล่อลวงข้าและหลอกข้า แต่มันจะไม่อยู่ในอำนาจของเจ้า” เมื่อท่านพูดอย่างนี้ แผ่นเหรียญเงินก็หายไป นักบุญแอนโธนีเดินทางต่อไปและเห็นทองคำกองหนึ่งขวางทางอยู่ ซึ่งปีศาจนำมาวางไว้ที่นั่นเพื่อหลอกล่อท่าน นักบุญแอนโธนีโยนกองทองคำลงในกองไฟ และมันก็หายไปเหมือนกับเหรียญเงิน หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ นักบุญแอนโธนีได้เห็นนิมิตที่ทั้งโลกเต็มไปด้วยกับดัก ท่านร้องทูลต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ใครเล่าจะรอดจากบ่วงเหล่านี้ได้?” เสียงหนึ่งกล่าวกับท่านว่า “ความอ่อนน้อมถ่อมตนจะช่วยให้รอดพ้นและมันจะไม่มีอีกต่อไป“
 
ปีศาจในถ้ำ : ครั้งหนึ่งนักบุญแอนโธนีพยายามซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเพื่อหนีจากปีศาจที่มาก่อกวนท่าน มีปีศาจตัวเล็กๆอยู่มากมายในถ้ำ คนรับใช้ของนักบุญแอนโธนีต้องแบกนักบุญออกไปเพราะพวกปีศาจได้เฆี่ยนตีท่านจนตาย เมื่อเหล่านักพรตฤาษีมารวมกันที่ศพของนักบุญแอนโธนีเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไป,นักบุญแอนโธนีก็ฟื้นขึ้นมา ท่านเรียกให้คนรับใช้พาท่านกลับไปที่ถ้ำที่พวกปิศาจโจมตีท่าน เมื่อไปถึงที่นั่น,ท่านก็ร้องเรียกพวกปิศาจ พวกมันก็กลับมาเหมือนสัตว์ป่าเพื่อฉีกท่านให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทันใดนั้น,ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมา และพวกปีศาจก็วิ่งหนีไป นักบุญแอนโธนีรู้ว่าแสงต้องมาจากพระเจ้า และท่านถามพระเจ้าว่าพระองค์ทรงอยู่ที่ไหนก่อนที่ปีศาจโจมตีท่าน พระเจ้าตอบว่า “เราอยู่ที่นี่ แต่เราอยากจะเห็นและดูการต่อสู้ของเจ้า, และเพราะเจ้าต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย และต่อสู้อย่างดี,เราจะทำให้ชื่อของเจ้ากระจายไปทั่วโลก” 
 
ความเลื่อมใส : พระธาตุร่างกายของนักบุญแอนโธนี่ถูกฝังอย่างลับๆ บนยอดเขาที่ท่านเลือก มีรายงานว่าร่างของท่านถูกค้นพบในปี 361 และถูกย้ายไปยังอเล็กซานเดรีย ต่อมาไม่นาน,ประชาชนได้ย้ายพระธาตุร่างกายของท่านนักบุญจากอเล็กซานเดรียไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล เพื่อที่ประชาชนจะได้รอดพ้นจากการทำลายล้างจากการรุกรานของชาวซาราเซ็นส์ ต่อมาในศตวรรษที่ 11 จักรพรรดิไบแซนไทน์ได้มอบพระธาตุร่างกายของนักบุญแอนโธนี่ให้กับเคานต์ Jocelin ชาวฝรั่งเศส เคานต์ Jocelin ได้ย้ายพระธาตุไปที่ La-Motte-Saint-Didier ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Saint-Antoine-en-Dauphiné
 
ความเลื่อมใสของนักบุญแอนโธนีในศาสนจักรตะวันออกนั้นถูกจำกัดมากขึ้น ท่านนักบุญได้รับการยกย่องว่าเป็น "อาจารย์คนแรกแห่งทะเลทรายและเป็นต้นแบบของผู้ดำเนินชีวิตเป็นนักพรตฤาษีที่ศักดิ์สิทธิ์"
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น