โดย Adam Blai
มีตัวอย่างหนึ่งทางประวัติศาสตร์ที่ปิศาจสร้างนักบุญปลอมขึ้นมา และเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงอันตรายของการยอมรับอย่างง่ายๆในคนที่อ้างว่าได้รับนิมิตและสามารถทำอัศจรรย์ได้ นอกจากนี้,ยังช่วยอธิบายด้วยว่า เพราะเหตุใดพระศาสนจักรจึงชักช้าในการประกาศปรากฏการณ์เหล่านี้ว่าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติหรือประกาศว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นนักบุญเพียงอาศัยหลักฐานจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติโดยมิได้พิสูจน์ให้แน่ชัดเสียก่อนว่า อัศจรรย์เหล่านั้นมีที่มาจากแหล่งใดกันแน่
นักบุญจอมปลอม: ซิสเตอร์มักดาเลนาแห่งไม้กางเขน
ซิสเตอร์มักดาเลนาแห่งไม้กางเขน(Sr. Magdalena of the Cross) เกิดในสเปนในปี 1487 เธอเป็นแม่ชีฟรังซิสกันที่มีชื่อเสียงไปทั่วสเปนและยุโรป เธอมีชื่อเสียงในเรื่องอัศจรรย์ที่เธอทำอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้เธอยังมีชื่อเสียงในเรื่องการทำพลีกรรมอย่างหนัก เธอถูกเรียกว่าเป็นนักบุญที่มีชีวิต และเช่นเดียวกับนักบุญที่แท้จริงทั้งหลาย เธอเริ่มได้รับนิมิตตั้งแต่อายุยังน้อย - ประมาณห้าขวบ ในเวลาที่เธอกำลังสวดภาวนาอยู่ในโบสถ์ และปรากฏภาพของชายหนุ่มผู้สดใสผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวต่อเธอ
เมื่อเธอเล่าถึงสิ่งที่เธอเห็นให้คนใกล้ชิด,หลายคนคิดว่าเป็นพระเยซูที่ทรงปรากฏต่อเธอ และชื่อเสียงของเธอก็เริ่มแพร่กระจายไป ต่อมา,ภาพของชายหนุ่มคนเดิมก็ปรากฏแก่เธออีกและบอกให้เธอลดการทำพลีกรรมชดเชยใช้โทษบาปลงเพื่อป้องกันสุขภาพของเธอ หลังจากนั้น,เธอได้ช่วยพยุงชายพิการที่เป็นง่อยคนหนึ่งขึ้นบันไดโบสถ์ และดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการเยียวยารักษาให้หายเป็นปกติ ต่อจากนั้นไม่นาน, คนใบ้คนหนึ่งก็สามารถพูดได้ด้วยการช่วยเหลือจากเธอ
เมื่อเธอมีอายุสิบขวบ,มีรายงานว่าเธอทำบางอย่างที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก มักดาเลนาพยายามตรึงกางเขนตัวเองกับผนังห้องนอนเพื่อเป็นการทำพลีกรรมตามคำขอร้องของเด็กที่สวยงามผู้หนึ่งซึ่งปรากฏต่อเธอ เธอได้รับบาดแผลที่ร้ายแรงจากการกระทำนี้ แต่ต่อมา,เธอบอกว่าพระเยซูทรงรักษาเธอให้หายแล้ว ก่อนถึงเวลาการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของเธอ,เธอทำการอดอาหารเป็นเวลาสามเดือน แต่เมื่อถึงเวลาที่เธอจะรับศีลมหาสนิท,ร่างกายของเธอก็ทรุดลงกับพื้นโบสถ์ทำให้ไม่สามารถรับศีลในโบสถ์ได้ ในเวลาต่อมา,เธออ้างว่าพระเยซูทรงได้มามอบศีลมหาสนิทให้กับเธอด้วยพระองค์เอง ดังนั้น,เธอจึงสามารถหลีกเลี่ยงการรับพระองค์จริงๆในโบสถ์
เมื่ออายุได้สิบเจ็ดปี,มักกาเลนาได้เข้าอารามและบวชเป็นแม่ชีฟรังซิสกัน แต่ในไม่ช้าพฤติกรรมของเธอก็ก่อให้เกิดความกังวลแก่ผู้คนในคอนแวนต์ เธอทำพลีกรรมอย่างหนักจนสุดโต่ง บางครั้งเธอแบกกางเขนหนักๆไปรอบๆอาราม แล้วเธอก็หยุดการกินอาหารอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่แสดงออกให้บุคคลภายนอกเห็น (สิ่งเหล่านี้เป็นการทำพลีกรรมในที่สาธารณะ ซึ่งไม่เหมือนกับการทำพลีกรรมของบรรดานักบุญที่แท้จริงซึ่งจะกระทำเป็นส่วนตัวไม่ให้คนอื่นเห็น) โดยปกติแล้ว,ทางคณะจะไม่อนุญาตให้ผู้ที่อยู่ในคณะกระทำ, เพราะมันมักจะเบี่ยงเบนความสนใจของบุคคลนั้นและของผู้อื่นจากความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม มักดาเลนาได้รับอนุญาตให้กระทำต่อไปได้ และชื่อเสียงของเธอในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ก็เพิ่มขึ้น
มีชื่อเสียงมากขึ้น
เมื่อถึงเวลาที่มักดาเลนาเข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีวิตในคณะฟรังซิสกัน, มีผู้คนจำนวนมากจากแดนไกลเดินทางมาร่วมพิธีด้วย ในระหว่างพิธี,นกพิราบตัวหนึ่งบินลงมาจากเพดานของมหาวิหารและเกาะที่ไหล่ของเธอ จากนั้นจึงบินขึ้นไปข้างบนเพดานและนิ่งอยู่เฉยๆ เมื่อเสร็จพิธี,มันก็บินออกไปด้านนอกและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เรื่องราวนี้แพร่กระจายไปทั่ว และชื่อเสียงของเธอก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง และเนื่องจากชื่อเสียงของซิสเตอร์มักดาเลนานี้เอง จึงทำให้มีผู้อุปถัมภ์หลายคนบริจาคเงินให้กับอารามจำนวนมาก
ขณะที่ดำเนินชีวิตในคอนแวนต์, มักดาเลนาเริ่มแสดงให้เห็นถึงความรู้ในสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนอาทิเช่น: เหตุการณ์ในเมือง, เหตุการณ์ในคอนแวนต์อื่นๆของฟรังซิสกัน และเหตุการณ์ในตระกูลขุนนาง เธอเริ่มทำนายอนาคต เช่น การเสียชีวิตของนักการเมืองและการแต่งตั้งพระคาร์ดินัล ต่อจากนั้น,ในวันฉลองแม่พระทรงรับสารในปี ค.ศ. 1518, เธอได้แจ้งคุณแม่อธิการคณะของเธอว่าโดยพระจิตเจ้า,เธอได้ตั้งครรภ์พระเยซูภายในตัวเธอเองเมื่อคืนก่อน คุณแม่อธิการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น และในไม่ช้าท้องของมักดาเลนาก็เริ่มแสดงสิ่งที่ดูเหมือนจะตั้งครรภ์ บรรดาซิสเตอร์ในคอนแวนต์ได้รับการบอกกล่าวให้รู้ถึงเรื่องนี้ เกิดการโต้เถียงกันขึ้นในคอนแวนต์ แม้จะมีคำสั่งจากคุณแม่อธิการไม่ให้พูดถึงสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ แต่ความลับก็รั่วไหลออกไปสู่โลกภายนอก ในขณะเดียวกัน มักดาเลนาได้เพิ่มการทำพลีกรรมอย่างน่าสยดสยอง รวมถึงการเดินไปบนเศษแก้วและการเฆี่ยนตีตัวเองอย่างรุนแรง
เมื่อพระอัครสังฆราชได้ยินเรื่องราวของซิสเตอร์ผู้นี้ ท่านส่งผู้หญิงที่เป็นหมอตำแยสามคนไปตรวจร่างกายของเธอ พวกเขาตัดสินว่าเธอตั้งครรภ์จริงๆ และพรหมจรรย์ของเธอก็ยังไม่สูญเสียไปด้วย มักดาเลนาทำนายว่าเธอจะคลอดบุตรในวันคริสต์มาสอีฟ ค.ศ. 1518 และเธอจะต้องทำตามลำพัง บรรดาซิสเตอร์ได้เตรียมบ้านหลังเล็กไว้ให้เธอ และเธอก็อยู่ที่บ้านนั้นเพียงคนเดียวในเวลาที่คลอด เมื่อถึงเวลาคลอด,ปรากฏว่าเด็กได้หายไปโดยไร้ร่องรอย เธอเล่าเรื่องแปลกๆเกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็ก ซิสเตอร์บางคนและผู้คนที่ติดตามเธอก็เชื่อเธอ นี่เป็นอีกครั้งที่ชื่อเสียงของเธอเพิ่มขึ้น เหตุการณ์ที่ประหลาดมากกว่านั้นเกิดขึ้นอีกหลายอย่าง เธอได้รับการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าการเข้าญาณฝ่ายจิตของเธอนั้นเป็นจริง รวมทั้งเรื่องการที่เธอมีชีวิตอยู่โดยไม่ได้รับประทานอาหาร การเข้าญาณได้รับการทดสอบโดยดูว่าเธอจะตอบสนองต่อความเจ็บปวดหรือไม่ขณะที่อยู่ในญาณ,และปรากฏว่าเธอยังคงเจ็บปวด มีการตรวจสังเกตเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้รับประทานอาหารในห้องพักส่วนตัวของเธอ, แต่ผลลัทพ์ที่ได้ไม่ค่อยดีนัก
เงินยังคงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องและอารามก็ร่ำรวยที่สุดในสเปน บรรดาซิสเตอร์ช่วยกันหาทุนสร้างมหาวิหารแห่งใหม่ ซึ่งทำให้ได้รับความชื่นชอบจากทางอัครสังฆมณฑล และอิทธิพลของซิสเตอร์มักดาเลนาก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก ในปี ค.ศ. 1533 เธอได้รับเลือกให้เป็นคุณแม่อธิการ ในทันทีเธอก็เริ่มแสดงความเป็นเผด็จการ เธอบังคับให้บรรดาซิสเตอร์ทำพลีกรรมอย่างหนักเกินกำลังของพวกเขาจะทนได้ โดยกล่าวหาว่าพวกเขาทำบาปมากกว่าที่พวกเขาสารภาพไป การกระทำนี้ส่งผลให้ซิสเตอร์บางคนมีอาการเครียดจัดจนอยู่ในสภาพเหมือนกับถูกผีสิง ต่อมา,คุณแม่อธิการก็อ้างว่านักบุญฟรังซิสได้มาปรากฏแก่เธอและบอกกับเธอว่าบรรดาซิสเตอร์ไม่จำเป็นต้องไปสารภาพบาปต่อพระสงฆ์อีกต่อไป แต่ให้ซิสเตอร์มาสารภาพบาปกับเธอทุกคืนในห้องพักส่วนตัวของเธอ
พระสงฆ์ผู้ทำพิธีขับไล่ปีศาจถูกเรียกมา
ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ดังกล่าว,แต่ชื่อเสียงของเธอก็ยังคงแพร่กระจายไปในโลกภายนอก อย่างไรก็ตาม ภายในอาราม,เธอสูญเสียการสนับสนุนจากบรรดาซิสเตอร์อันเนื่องมาจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ในที่สุด,เธอถูกถอดออกจากตำแหน่งคุณแม่อธิการ หลังจากนั้นไม่นานมักดาเลนาก็ป่วยหนัก พระสงฆ์องค์หนึ่งได้มาฟังคำสารภาพบาปก่อนตายของเธอ เมื่อพระสงฆ์เอาผ้าสโตล(ผ้าสีม่วงที่พระสงฆ์วางพาดบนไหล่)มาวางบนตัวเธอ, เธอก็เข้าสู่ภวังค์ของ "ญาณ" ที่น่าสงสัย พระสงฆ์สงสัยว่านี่เป็นการตอบสนองของปีศาจต่อวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงทดสอบเธอด้วยการสาดน้ำเสกไปที่เธอ,ทำให้เธอยกมือปัดป้องออกไป จากนั้นเธอก็เริ่มพูดดูหมิ่นศาสนาและตัวก็ลอยขึ้นไปบนอากาศเหนือเตียงแล้วก็ตกลงมาอย่างรุนแรง พระสงฆ์จึงเรียกคุณพ่อผู้ทำพิธีขับไล่ปีศาจมาทันที
ในระหว่างพิธีขับไล่ปีศาจ, เป็นที่ชัดเจนว่ามักดาเลนาถูกปีศาจสองตัวเข้าสิง ปีศาจตนหนึ่งรู้สึกดีใจในปัญหาที่มันก่อขึ้นโดยอาศัยมักดาเลนา อย่างไรก็ตาม,ในที่สุด,การขับไล่ปีศาจก็ประสบความสำเร็จ ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายศาสนจักรได้มาสอบสวนและบันทึกรายละเอียด ซิสเตอร์มักดาเลนาใกล้จะเสียชีวิตแล้ว และเธอยอมรับว่าชายหนุ่มที่มาหาเธอเมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็กคือปีศาจ และมันสัญญาว่าจะให้ชื่อเสียงและความเคารพแก่เธอ ถ้าหากเธอจะเชื่อฟังมัน เธอยอมรับต่อไปว่าพวกปิศาจได้ให้การสนับสนุนในการกระทำต่างๆของเธอ เช่นการอดอาหาร,การเข้าญาณและนิมิตทั้งหมด
แต่การกระทำของปีศาจยังไม่จบ,เธอเริ่มพูดดูถูกผู้สอบสวนอย่างหยาบคายอีกครั้ง จึงได้มีการประกอบพิธีขับไล่ปีศาจต่อไป และปีศาจตัวที่สองก็ถูกขับไล่ออกไป ในที่สุด,มักดาเลนาก็พ้นจากการถูกปีศาจครอบครองซึ่งทำให้เธอกลายเป็นทาสของมันมาเป็นเวลาสี่สิบปีโดยสมบูรณ์ มักดาเลนาสำนึกในความผิดของเธอ, เป็นเวลาหลายทศวรรษที่เธอสมัครใจร่วมมือกับพวกปิศาจ เธอใช้ชีวิตที่เหลือด้วยการทำพลีกรรมชดใช้บาปและสวดภาวนา เธอไม่เคยแสดงความคิดที่ไม่ถูกต้องหรือพูดสิ่งที่เป็นการทำนายอีกเลย
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากซิสเตอร์มักดาเลนา
เรื่องราวของซิสเตอร์มักดาเลนาเปิดเผยให้เห็นว่าปีศาจสามารถแสดงเครื่องหมายและเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาได้อย่างไร แม้แต่ผู้ที่มีความรู้ก็ยังเชื่อว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นงานศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า แต่ด้วยการตรวจสอบ,จะพบว่า สิ่งเหล่านี้มักจะบิดเบือนความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง นั่นคือมันเป็นการบิดเบือนที่ต้องการดึงดูดผู้คนให้มาสนใจและมีส่วนร่วม แต่แล้วมันจะสร้างความเสียหายมหาศาลอย่างแน่นอน เหล่าปิศาจที่เข้าสิงซิสเตอร์มักดาเลนาต้องการทำลายความดีทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ โดยดึงผู้คนที่มีความตั้งใจดีมาสู่เธอ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาซิสเตอร์ในคณะ,มิตรสหายผู้มีอำนาจ,และผู้มีความเชื่อทั้งหลาย มันหลอกลวงพวกเขาทุกๆวันและเป็นเวลานานให้มากที่สุด และพวกมันก็ทำได้สำเร็จ นอกจากนี้,คนที่ซิสเตอร์มักดาเลนาได้หลอกลวงนั้นมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เธอทำให้ความเชื่อของพวกเขาสั่นคลอนด้วยการเปิดเผยถึงบางสิ่งแก่พวกเขาซึ่งเป็นการหลอกลวงของเธอ
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างถึงเหตุผลว่าทำไมพระศาสนจักรจึงถือว่าการอ้างถึงประสบการณ์เหนือธรรมชาติทั้งหลายนั้นจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เรื่องราวของซิสเตอร์มักดาเลนาเป็นเรื่องที่พิเศษมาก — ขอบคุณพระเจ้า,ที่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร เรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้พวกเราผู้มีความเชื่อและพระสงฆ์ผู้นำฝ่ายวิญญาณทุกคนให้ระมัดระวังตัว
เราจะแยกแยะได้อย่างไรระหว่างอัศจรรย์ที่แท้จริงและอัศจรรย์เท็จ?
เราสามารถแยกแยะระหว่างอัศจรรย์ที่แท้จริงกับการปลอมแปลงของปีศาจได้สองสามวิธี:
1. เหตุการณ์นี้ดึงดูดเราให้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นหรือไม่? หรือใกล้ชิดกับวิญญาณอื่นที่แอบแฝงเข้ามาอยู่ตัวเรามากขึ้น? อัศจรรย์ที่แท้จริงดึงดูดเราไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับพระเจ้า อัศจรรย์ยืนยันความเป็นจริงของพระเจ้าและความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา อัศจรรย์ปลอมจะดึงดูดเราให้ห่างออกจากพระเจ้าหันไปสนใจวิญญาณที่เข้ามาอยู่ในตัวเราหรือหันความสนใจมาอยู่กับตนเองและอำนาจของเราเอง
2. เหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความชัดเจนและความสงบสุขหรือไม่? หรือสร้างความสับสนและความทุกข์ใจ? อัศจรรย์แท้จริงนำมาซึ่งสันติสุข,ความสงบ และความชัดเจน อัศจรรย์ปลอมนำมาซึ่งความพึงพอใจชั่วครู่ชั่วยามในระยะสั้นๆ ในไม่ช้ามันจะนำมาซึ่งความวิตกกังวลและความทุกข์ภายในจิตใจ มันนำมาซึ่งความสับสนมากกว่าความชัดเจน
3. เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นโดยผู้ที่ชี้นำให้มาหาพระเจ้าหรือไม่? หรือผู้นั้นชักนำผู้อื่นให้มาหาตนเอง? พระเจ้าจะไม่ทรงสำแดงสัญญาณเพื่อดึงผู้คนให้ออกห่างจากพระองค์ ของปลอมมักเกิดกับบุคคลในที่ส่วนตัว แต่บางครั้งสิ่งปลอมแปลงก็เกิดขึ้นในที่สาธารณะเพื่อหลอกให้ผู้อื่นเชื่อ บางคนใช้ความคิดเรื่องอัศจรรย์ในทางที่ผิดและหลอกให้คนอื่นคิดว่าเขามีฤทธิ์อำนาจ บางครั้งปีศาจก็สร้างภาพมายาเพื่อสนับสนุนคนเหล่านี้ มันมักจะสร้างเหยื่อล่อและสร้างกับดักที่มีพลังโดยรวมเอากลอุบายฝ่ายจิตของมันเข้ากับการหลอกลวงของมนุษย์
* บทความนำมาจากหนังสือ The Catholic Guide to Miracles: Separating the Authentic from the Counterfeit. เขียนโดย Mr. Adam Blai
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น