วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2564

อย่ากลับไปเป็นเหมือนเดิม

 


 
โดย - Constance T. Hull
 
หลังจากโรคระบาดโควิด-19 พระศาสนจักรจะกลับไปสู่สภาวะปกติเหมือนสมัยก่อนโควิด-19 ระบาดหรือไม่?
 
เราไม่สามารถกลับสู่สภาวะปกติเหมือนสมัยก่อนโควิด-19ระบาดได้,ถึงแม้จะมีเสียงวิงวอนร่ำไห้ในพระศาสนจักรเพื่อขอให้สถานการณ์กลับมาสู่สภาวะเหมือนสมัยเดิม  และถึงแม้ในขณะนี้ที่มีการฉีดวัคซีนไปมากแล้วและทำให้ความกลัวต่อโควิด-19 ค่อยๆลดลง,เราก็ไม่สามารถที่จะกลับไปสู่ภาวะปกติเหมือนสมัยก่อนโควิด-19ระบาดได้ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19นั้นได้ฆ่าจิตวิญญาณของคริสตชนคาทอลิกไปจำนวนมาก พวกเราดำรงชีวิตในรูปแบบของคนที่เฉื่อยชา, ขาดความกระตือรือรัน,ไม่สนใจที่จะปฏิบัติกิจศรัทธาทางศาสนา และฝักใฝ่ทางโลก ในพระเมตตาของพระเยซูเจ้า,พระองค์ทรงประทานโอกาสแก่เราให้เริ่มต้นใหม่
 
ตามสถิติเกี่ยวกับสถานะของพระศาสนจักรในอเมริกาที่กำลังเข้าสู่การระบาดใหญ่นั้นน่าประหลาดใจมาก เกือบ 70% ของชาวคาทอลิกปฏิเสธการมีอยู่จริงของพระคริสต์ในศีลมหาสนิท นี่เป็นศูนย์กลางของความเชื่อของเราที่สำคัญที่สุด แต่ชาวคาทอลิกส่วนใหญ่ปฏิเสธความจริงข้อนี้และคิดว่าเรามาร่วมพิธีมิสซาเพียงเพื่อกินปังและดื่มเหล้าองุ่น ยัญบูชาของพระคริสต์บนไม้กางเขนที่เกิดขึ้นในทุกๆมิสซานั้นสูญหายไปจากจิตใจของชาวคาทอลิกส่วนใหญ่ ความจริงข้อนี้ทำให้ใจของเราผู้มีความเชื่อแตกสลายและจุดไฟเผาเราด้วยความโกรธอันชอบธรรมว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
 
ในการศึกษาวิจัยของ Pew Research Study ในปี 2016 ระบุว่า ชาวคาทอลิก 89% ปฏิเสธคำสอนของพระศาสนจักรเรื่องการคุมกำเนิด ชาวคาทอลิกเกือบ 64% กล่าวว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นที่ยอมรับได้ และ 47% บอกว่าบุคคลข้ามเพศควรเข้าห้องน้ำได้ตามที่เขาเลือก ตัวเลขเหล่านี้มาจากเมื่อห้าปีที่แล้ว และเมื่อพิจารณาถึงสภาพของวัฒนธรรมและพระศาสนจักรในปัจจุบัน, ความคิดของพวกเขาได้เปลี่ยนไปไกลจากคำสอนของพระศาสนจักรในระดับหนึ่ง
 
นี่คือสถานะของพระศาสนจักรของพระคริสต์ในสหรัฐอเมริกา ชาวคาทอลิกส่วนใหญ่อยู่ตรงข้ามกับคำสอนของพระศาสนจักรหรือมีความคลุมเครือเกี่ยวกับคำสอนเหล่านั้น นี่หมายความว่าชาวคาทอลิกจำนวนมากไม่เข้าใจหลักความเชื่อของเรา และไม่เข้าใจจุดประสงค์ของบทบัญญัติ,ธรรมประเพณี, คำสอนเรื่องการแต่งงาน, ชีวิตครอบครัว และเสรีภาพทางศาสนา กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชาวคาทอลิกเหล่านี้จะเบียดเบียนข่มเหงพี่น้องของตนในพระคริสต์ เพื่อปกป้อง “เสรีภาพ” ของผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในบาปหนักโดยบอกว่าพวกเขามีความคิดที่เป็นกลาง ชาวคาทอลิกกว่าครึ่งคือ 54% กล่าวว่าบริษัทต่างๆ ควรถูกบังคับให้ยอมให้บริการแก่คู่รักเกย์ที่ละเมิดความเชื่อทางศาสนา แต่อย่าลืมว่าเราถูกเรียกร้องให้รับใช้พระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์
 
สภาพของสิ่งต่างๆเหล่านี้ บอกเราว่าเราควรกลับสู่ภาวะปกติหรือไม่? การกลับไปสู่สถานะเป็นกลางที่เราเคยอยู่ก่อนการระบาดใหญ่ครั้งนี้เป็นเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่? ชีวิตที่มีแต่ความสะดวกสบาย, มีความปลอดภัย,มีความเพลิดเพลิน และการใช้เสรีภาพที่ผิดๆ ได้นำพระศาสนจักรไปยังที่ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ของพระศาสนจักรไม่เชื่อในคำสอนของพระคริสต์อีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระองค์ พวกเขาไม่ประกาศพระวรสาร พวกเขาใช้ชีวิตแบบแบ่งเป็นส่วนๆ โดยที่พวกเขามาร่วมพิธีมิสซาในวันอาทิตย์ และทำบาปด้วยการรับศีลมหาสนิทโดยไม่คำนึงว่าพวกเขากำลังรับผู้ใด พวกเขาไม่ไปสารภาพบาป แล้วออกจากประตูโบสถ์เพื่อใช้ชีวิตแบบโลกียนิยมเหมือนเดิม
 
ปัญหาเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 1.5 ปีที่ผ่านมาของการระบาดใหญ่ พิธีมิสซาและศีลศักดิ์สิทธิ์ถูกล็อกให้อยู่ห่างจากชาวคาทอลิกจำนวนมากที่ได้รับคำสั่งให้ร่วมพิธีมิสซาผ่านทางการถ่ายทอดสด พระหรรษทานและการบำรุงเลี้ยงทางจิตวิญญาณที่เราจำเป็นต้องได้รับเพื่อความก้าวหน้าในความศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนไม่มีความสำคัญอีกต่อไปหรือเป็นเพียงแค่ทางเลือก เป็นเวลาหลายเดือนที่พระสังฆราชบอกให้เรา “ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย” และทำให้ร่างกายอยู่เหนือวิญญาณ สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือการเน้นย้ำถึงความปลอดภัย, ความรับผิดชอบ, ความมั่นคง, และเงินที่ต้องมีในช่วงของโรคระบาดใหญ่ ซึ่งทำให้ชาวคาทอลิกผู้ศรัทธาหลายคนรู้สึกถูกทอดทิ้งและรู้สึกเหมือนเด็กกำพร้าฝ่ายจิตวิญญาณ
 
ตอนนี้ซึ่งมีการฉีดวัคซีนไปมากแล้ว ทำให้เราสามารถเข้าร่วมพิธีมิสซา รับศีลศักดิ์สิทธิ์ และร่วมกิจกรรมของโบสถ์ได้มากขึ้น มีความตื่นเต้นที่จะกลับคืนสู่สภาพปกติ แต่มันเป็นเรื่องปกติที่ฆ่าจิตวิญญาณของพี่น้องส่วนใหญ่ในพระคริสต์ของเรา ดังนั้นจึงไม่ควรให้กลับไปสู่สภาพเดิม เพราะมันจะทำให้เราเหมือนกับฝั่งฝากยุโรปที่ผู้มาร่วมพิธีมิสซามีจำนวนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่เรากำลังมุ่งหน้าไปในขณะนี้เพราะเราปฏิเสธที่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเรา สภาพเดิมนั้นได้ทำให้กิจปฏิบัติทางศาสนาของผู้นับถือคาทอลิกเหลือเพียงการเข้าร่วมพิธีมิสซาในวันอาทิตย์เท่านั้นเหมือนกับการสแตมป์บัตรเข้าทำงาน ด้วยความเชื่อเพียงแค่ว่า ตราบใดที่เราไปร่วมพิธีมิสซาในวันอาทิตย์ และเราเป็นคน "ดี" เราก็จะไปสวรรค์ได้แล้ว แต่เราลืมไปว่าพระเยซูคริสต์ทรงบอกเราถึงเส้นทางสู่ชีวิตนิรันดร์โดยผ่านทาง “ประตูที่แคบ” แห่งความบริสุทธิ์ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ชาวคาทอลิกส่วนใหญ่กลับนับถือศาสนานอกรีตของลัทธิเทวนิยมเพื่อการบำบัดจิตใจทางมโนธรรมมากกว่าที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูเจ้าอย่างถูกต้องสมบูรณ์ นี่คือเหตุผลที่ชาวคาทอลิกจำนวนมากอ้างว่าบาปหนักไม่ใช่เรื่องใหญ่
 
เหตุใดเราจึงพอใจกับการเฝ้าดูนาวาพระศาสนจักรทางตะวันตกต้องจมดิ่งลง? เป็นเพราะเรายึดติดกับความปลอดภัย, ความมั่นคง, ความสุข, อิสรภาพ, และความสะดวกสบาย แม้แต่บรรดาพระสงฆ์นักบวชก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ด้วย การระบาดใหญ่อาจเป็นวิธีของพระเจ้าในการทำให้เราตัดความต้องการความสะดวกสบายและความปลอดภัยเหล่านั้น แต่เราพลาดบทเรียนฝ่ายวิญญาณที่สำคัญประการหนึ่ง, เช่นเดียวกับชาวอิสราเอล, เราต้องการกลับไปอียิปต์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยถูกชาวอียิปต์กดขี่ก็ตาม เราต้องการกลับไปสู่ความเป็นทาสและแสร้งทำเป็นว่านี่คือชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง เราต้องการที่จะคงอยู่ในความเฉื่อยชา, ความไม่ใส่ใจทางจิตวิญญาณ, การใช้ชีวิตแบบแบ่งส่วน, การใช้ชีวิตทางโลก, และความสบายใจจากการไร้ภาระทางศาสนาที่ต้องปฏิบัติต่อพระเจ้า
 
พระศาสนจักรทางตะวันตกกำลังอยู่ในอันตรายที่สำคัญ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนเส้นทางไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างจริงจัง เราต้องดำเนินชีวิตตามคำสอนแห่งพระวรสารอย่างกล้าหาญและจริงจัง แม้ว่าคนอื่นจะเกลียดเรา ข่มเหงเรา และเยาะเย้ยเรา ความจริงที่น่าเศร้าที่สุดเกี่ยวกับชีวิตคริสตชนก็คือ บ่อยครั้งที่พี่น้องของเราในพระคริสต์สูญเสียไปเพราะความปรารถนาทางโลกซึ่งเป็นอันตรายต่อวิญญาณของเรามากที่สุด เราต้องตัดสินใจว่าเราจะเป็นของพระคริสต์หรือเป็นของโลก แล้วเริ่มดำเนินชีวิตเป็นศิษย์ของพระคริสต์ที่แท้จริง
 
ถึงเวลาต่อสู้ฝ่ายวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเอาชนะความผูกพันของเราต่อบาปและสิ่งของในโลกนี้ จำเป็นที่เราต้องเป็นผู้ที่สวดภาวนาเสมอ, เพียรทน, เสียสละ เราต้องเข้าใจว่าหนทางแห่งไม้กางเขนนั้นไม่สามารถต่อรองได้ ชีวิตนี้ไม่ได้หมายถึงความสบายใจ, ความสุข และความสะดวกสบายฝ่ายร่างกาย เราถูกเรียกให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ซึ่งหมายถึงการถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระองค์ หมายถึงการยกไม้กางเขนให้สูงขึ้นเมื่ออยู่ในสังคมภายนอก อย่าลืมว่าความรอดมาทางพระคริสต์เพียงผู้เดียว การเป็นเพียงคน "น่ารัก" ไม่ว่าจะหมายความว่าอย่างไร ก็ยังดีไม่พอ เพราะนั่นคือ ถนนที่กว้างแห่งการทำลายล้าง ไม่ใช่ทางที่แคบของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
 
อย่ากลับไปเป็นเหมือนเดิม จงต่อสู้กับการประจญล่อลวงและความโน้มเอียง ในโบสถ์,ในครอบครัว, และท่ามกลางเพื่อนๆ ของคุณ สภาพที่เป็นอยู่ในพระศาสนจักรกำลังล้มเหลวอย่างน่าสังเวช แต่กระนั้น,เรายังคงทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยคาดหวังผลลัพธ์ที่ต่างออกไป จนกว่าเราจะเริ่มสวดภาวนาและแสวงหาพระพักตร์ของพระคริสตเจ้าภายในเขตวัดและครอบครัวของเรา จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนกว่าเราจะอุทิศชีวิตเพื่อแสวงหาความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งอื่น เราจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น ถ้าเรายังคงอยู่อย่างเฉยเมยทางวิญญาณหรือตาบอดหรือตายทางวิญญาณ มีเพียงการพึ่งพาพระคริสต์เท่านั้นที่จะนำเราออกจากความมืดมิดนี้ไปสู่ความสว่างอันเจิดจรัสของพระองค์
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น