เหมือนพระคริสต์ที่เต็มไปด้วยบาดแผลและพระโลหิตหลังจากที่ยูดาสผู้ทรยศพระองค์มอบพระองค์ให้กับผู้มีอำนาจทางศาสนา พระศาสนจักรของเราในทุกวันนี้ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน
พระศาสนจักรเสียโฉมและเจ็บปวดจากกระแสข่าวความอื้อฉาวที่น่าสะอิดสะเอียนของชาวยูดาสสมัยใหม่ ซึ่งอ่อนแอลงด้วยวัฒนธรรมแห่งความสงสัย ความกลัว ความหวาดระแวง และความลับที่ล้อมเราอยู่
เหมือนพระคริสต์ พระศาสนจักรของเราในปัจจุบันกำลังถูกพิจารณาคดีด้วยการโจมตีของสื่ออย่างไม่หยุดยั้งและการออกกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพทางศาสนาของเรา
เหมือนพระคริสต์ผู้ทรงรู้สึกกระหายขณะที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระศาสนจักรของเราในปัจจุบันเผชิญความแห้งแล้งทางวิญญาณ มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะฟื้นฟู ความหวัง และการเติมเต็มจิตวิญญาณ
พระศาสนจักรของเราทุกวันนี้กำลังถูกตรึงกางเขนอย่างลึกลับกับพระคริสต์ใช่ไหม?
ในหนังสือหนทางของพระนางมารีย์(The Path of Mary) ของผู้น่าเคารพมารี พอตเตอร์(the Venerable Mary Potter (1847-1913) ได้กล่าวว่า:
“เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่อันตราย เราถูกห้อมล้อมด้วยอันตรายและการประจญล่อลวงที่ไม่มีอะไรเทียบได้ในประวัติศาสตร์โลก
“พระศานนจักร ซึ่งเป็นเจ้าสาวของพระเยซูเจ้า,ดูเหมือนจะดำเนินรอยตามพระชนม์ชีพของพระเจ้าของเธอ และถูกทำให้เป็นเหมือนพระองค์ ณ.ช่วงเวลาต่างๆ
“ในยุคแรกๆของพระศาสนจักร พระศาสนจักรมีชีวิตที่ซ่อนเร้น ตามด้วยชีวิตที่เปิดเผยมากขึ้น
แล้วต่อมาจึงได้เจริญเติบโตขึ้นด้วยความศรัทธาในศีลศักดิ์สิทธิ์
ตามมาด้วยความทุกข์ทรมานในสวนเก็ธเซเมนี
และตอนนี้ดูเหมือนว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่พระศาสนจักรจำเป็นต้องพิจารณาไตร่ตรอง
นั่นคือ เป็นช่วงเวลาที่พระศาสนจักรจะไปสู่การถูกตรึงกางเขนของพระอาจารย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเธออย่างลึกลับ”
คำพูดที่น่าทึ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องมากขึ้นในยุคของเรายิ่งกว่าในอดีตที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าเราต้องระมัดระวังในการอธิบายคำทำนายดังกล่าวอย่างชัดเจนเกินไป เนื่องจากควรนำไปใช้ในเชิงเปรียบเทียบและพูดแบบกว้างๆ..มากกว่าที่จะเป็นแบบแผนและแม่นยำ ถ้อยคำของมารี พอตเตอร์เป็นบทสรุปที่ไม่ธรรมดาสำหรับพระศาสนจักรของเราในทุกวันนี้
ผู้น่าเคารพมารี พอตเตอร์คือใคร?
เธอเกิดในลอนดอนในปี1847,ในครอบครัวที่บิดาไม่ใช่คาทอลิกกับมารดาชาวไอริชที่เปลี่ยนมานับถือนิกายโรมันคาทอลิก ชีวิตของมารี พอตเตอร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเธอค้นพบคำสอนและงานเขียนของนักบุญหลุยส์ เดอ มงฟอร์ต
ถึงแม้ว่าเธอจะป่วย แต่มารี พอตเตอร์ก็ได้เขาอารามและกลายเป็นแม่ชี เธออุทิศชีวิตเพื่อรับใช้คนป่วยและคนที่กำลังจะตาย
ในปี1877 เธอได้ก่อตั้งกลุ่มซิสเตอร์แห่งมิตรสหายของพระแม่มารีย์(Sisters of the Little Company of Mary) ซึ่งเป็นคณะนักบวชที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคนกลุ่มเล็กๆที่อยู่เป็นเพื่อนกับแม่พระขณะที่พระนางทรงยืนอยู่แทบเชิงกางเขนบนเขากาวารี
“พึงระลึกไว้ว่านักบุญเพียงองค์เดียวถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้มากกว่าคริสตชนธรรมดาทั่วไปทั้งประเทศ” มารี พอตเตอร์ กล่าว
“ใช่แล้ว ความปรารถนาของมารี พอตเตอร์คือการยืนอยู่เคียงข้างแม่พระอย่างซื่อสัตย์ในเวลาที่พระศาสนจักรถูกตรึงกางเขนอย่างลึกลับ พระศาสนจักรผู้เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์,ในขณะที่อวัยวะอื่นๆของพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเสื่อมไป ความปรารถนาของมารี พอตเตอร์จะต้องผ่านพ้นความทุกข์สาหัสอย่างไม่ลดละ แต่หาใช่จะไม่เจ็บปวด”
เช่นเดียวกับพระคริสต์,ผู้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร,ทรงถูกข่มเหง,ถูกเฆี่ยนตี,ถูกสบประมาท และเยาะเย้ย พระกายของพระองค์,นั่นก็คือพระศาสนจักร,ก็จะต้องเผชิญกับการข่มเหงเช่นเดียวกัน
ดังเช่นนักบุญยอห์นและเหล่าสตรีใจศรัทธาซึ่งยังคงอยู่เป็นเพื่อนกับแม่พระในเวลาที่พระเยซูเจ้าทรงแบกกางเขนไปสู่กัลวารี คุณจะยืนเคียงข้างพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์จวบจนวาระสุดท้ายหรือไม่?
ในฐานะที่เราเป็นคริสตชนที่ได้รับการรวมเข้ากับพระคริสต์แล้ว,เราได้รับเรียกให้ดำเนินชีวิตแห่งความทุกข์เช่นกัน
นี่เป็นภาพที่สวยงามผ่านทางพระดำรัสของพระเยซูที่ตรัสกับนักบุญเปาโลระหว่างทางไปดามัสกัสว่า “เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเราทำไม” (กิจการ 9:4).
พระเยซูเจ้าตรัสว่าความทุกข์ทรมานของบรรดาพี่น้องของพระองค์เท่ากับเป็นการทำร้ายพระองค์เอง
คำสอนในเรื่องนี้ของพระศาสนจักรในฐานะพระกายลึกลับของพระเยซูเจ้าอาจรวมศูนย์อยู่ที่พระสมณสาส์นของพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ที่ตรัสไว้ใน Mystici Corporis Christi
“ตั้งแต่เริ่มแรก ควรสังเกตว่าสถาบันที่พระผู้ไถ่มนุษยชาติทรงก่อตั้งขึ้นนั้น มีความคล้ายกันกับผู้ก่อตั้งเอง พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งทรงถูกข่มเหง ถูกกดขี่ และถูกทรมานโดยคนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อไถ่กู้พวกเขา”
แต่เช่นเดียวกับพระคริสต์ที่สิ้นพระชนม์และกลับฟื้นคืนพระชนม์อีกครั้ง ในเวลาที่พระศาสนจักรดูเหมือนจะเปราะบางที่สุดและใกล้จะพังพินาศไปแล้ว เธอจะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งและต้อนรับชีวิตใหม่ที่จะหลั่งไหลเข้ามาอย่างฉับพลัน
ถ้าเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร มีสาส์นสำคัญที่ได้สะท้อนดังก้องผ่านยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ ด้วยไม้กางเขน ย่อมมีความหวังในการกลับฟื้นคืนชีพอยู่เสมอ
ด้วยความทุกข์ทรมานเยี่ยงมรณะสักขีที่มากขึ้น,พระศาสนจักรจะแข็งแกร่งขึ้น ด้วยการกดขี่ข่มเหงที่มากขึ้น นักบุญ นักรบ และวีรบุรุษที่เหลือเชื่อที่สุดก็ถือกำเนิดขึ้น พระศาสนจักรจะดำรงอยู่เสมอ เธอจะไม่มีวันตาย
จากคำพูดของมารี พอตเตอร์:
“ในยุคสมัยแห่งบาปนี้
คุณและผู้ที่มีความสุขเหล่านั้น
พระนางมารีย์,
ทรงถูกเลือกไว้ท่ามกลางความมืดมิดซึ่งปกคลุมแผ่นดินโลก
จะทำให้มีแสงสว่างเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
ดึงดูดพระจิตเจ้าแห่งแสงสว่าง
เพื่อสลายเมฆแห่งความไม่ซื่อสัตย์
และหมอกแห่งความผิดพลาด
ที่ปกคลุมโลกอยู่ในขณะนี้”
ในยุคของความไม่ศรัทธาในปัจจุบันที่คนรุ่นหลังสูญเสียมโนธรรม ที่ซึ่งโลกดูถูกเย้ยหยัน ล้อเลียน และเยาะเย้ย ต่อผู้ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง มันมาพร้อมกับราคาที่สูงเสมอ: เราต้องทวนกระแสวัฒนธรรมโลกและทำการปฏิวัติอย่างกล้าหาญ
เราไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นคนของโลก แต่ให้เป็นคนของพระเจ้า
ไม่ใช่พระศาสนจักรที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่เป็นพระศาสนจักรที่จะเปลี่ยนแปลงเวลา
และเราไม่ควรใช้เวลาทั้งวันในการไล่ตามอดีต ติดอยู่ในความคิดเดิมๆจนเราลืมไปว่าความเชื่อคาทอลิกถูกสร้างขึ้นบนความจริงที่คงที่,อยู่เหนืออวกาศและเวลา เป็นความจริงที่ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยและเป็นสิ่งที่ท้าทายให้เราค้นหาวิธีการที่แท้จริงและสร้างสรรค์ในการทำให้ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเป็นจริงในปัจจุบัน
และเราไม่ควรก้มหน้าลงด้วยความกลัวและนิ่งเงียบ และตกเป็นเหยื่อของความพอใจของผู้คนและเสน่ห์อันมืดมิดของสมัยนิยม แต่เราควรยืนหยัดอย่างมั่นคงในความจริงและความชอบธรรม
แท้จริงแล้ว ความเชื่อคาทอลิกเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น น่าทึ่ง และมีชีวิตชีวาที่สุดเมื่อเรายืนหยัดในความจริงและทำเช่นนั้นจนถึงที่สุด เมื่อนั้นเราจะเข้าใจได้ว่าอิสรภาพที่แท้จริงคืออะไร: ความทุกข์ทรมานและการเสียสละตนเองที่โอบกอดไว้ด้วยความรักนั้นเป็นเช่นไร
ขณะที่คุณแม่มารี พอตเตอร์ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือของนักบุญหลุยส์ เดอ มงฟอร์ต ที่มีชื่อว่า “ความจงรักภักดีต่อพระนางมารีย์” ให้เราไตร่ตรองถึงคำทำนายของท่านนักบุญเกี่ยวกับการกลับฟื้นคืนชีพของความเชื่อครั้งใหญ่โดยอาศัยนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยหลังและทหารของพระแม่มารีย์ นักบุญหลุยส์ เดอ มงฟอร์ตทำนายไว้ว่า:
“พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพและพระมารดาผู้บริสุทธิ์ของพระองค์จะทรงให้กำเนิดนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งจะแซงหน้าบรรดานักบุญอื่นๆในความศักดิ์สิทธิ์ ดังเช่นต้นสนซีดาร์แห่งเลบานอนที่สูงตระหง่านเหนือพุ่มไม้เล็กๆ
“พวกเขาจะต่อสู้ด้วยมือข้างหนึ่ง และสร้างสรรด้วยมืออีกข้างหนึ่ง พวกเขาจะโค่นล้ม ทำลายล้าง และบดขยี้พวกเฮเรติกและคำสอนที่ผิดพลาดของพวกเขา,ทำลายความแตกแยกและการแตกแยกของพวกเขา, ทำลายผู้ไหว้รูปเคารพและการไหว้รูปเคารพของพวกเขา,ทำลายคนบาปและความชั่วร้ายของพวกเขา พวกเขาจะสร้างพระวิหารของโซโลมอนที่แท้จริงและนครลึกลับของพระเจ้า”
เรากลับมาฟังที่คำพูดที่กล้าหาญของมารี พอตเตอร์อีกครั้ง:
“ฉันคาดหวังว่าจะตายบนเตียงของฉัน
ผู้สืบทอดของฉันจะตายในคุก
และผู้สืบทอดของเขาจะตายเป็นมรณสักขีในจัตุรัสสาธารณะ”
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น