วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ความอิจฉาริษยา และการหลงตัวเอง

 



 
นักบุญอาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้หญิงอื่น(และผู้ชาย)อิจฉาริษยาเป็นอย่างมากก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวของแคทเธอรีนแห่งเซียนาและพัลมารีนา(Palmarina)ผู้อยู่ร่วมสมัยของเธอ พัลมารีนาเป็นเหมือนแคทเธอรีน เธอเป็นนักบวชหญิงในคณะโดมินิกันและเป็นสมาชิกของ Sisters of Penance of St Dominic. เธอยังเป็นชาวเมืองเซียนนาและได้อุทิศชีวิตของเธอเพื่อดูแลคนป่วยในโรงพยาบาลแห่งพระเมตตา(Hospital of Mercy)ในช่วงเวลาที่เกิดกาฬโรค เช่นเดียวกับที่แคทเธอรีนดูแลคนโรคเรื้อนซึ่งสร้างความลำบากใจให้แม่ของเธอซึ่งคิดว่า ลูกสาวของท่านต้องมาดูแลบาดแผลของผู้ที่ไม่มีใครอยากแตะต้องและเป็นอันตราย
 
อย่างไรก็ตาม พัลมารีนาแตกต่างจากแคทเธอรีนมาก พัลมารีนาไม่ได้รับการไขแสดงจากการเปิดเผยของพระเยซูเจ้า และเธอแทบไม่มีความเข้าใจในบุคลิกของเธอเองเลย วิญญาณของเธอเฉื่อยชาในการตอบรับความรักอันอบอุ่นของพระเยซูเจ้าและเธอรักในคำชื่นชมของผู้อื่น เธอต้องการได้รับความสนใจจากคนอื่นและต้องการมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้อื่นเหมือนแคทเธอรีน แคทเธอรีน.ในชีวิตภายในของเธอ,มีความสุขในความสนิทสนมกับพระเยซูเจ้าในระดับสูงสุด และในที่สาธารณะเธอได้รับการยกย่องว่ามีบุคลิกที่ดีเลิศเป็นพิเศษ ในบรรดาพลเมืองของเซียนนา,แคทเธอรีนมีชื่อเสียงในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของเธอ
 
พัลมารีนาอิจฉาชื่อเสียงของแคทเธอรีนในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ และเธอก็รู้สึกอิจฉาทันทีที่มีใครเอ่ยชื่อของแคทเธอรีน ท่านเรย์มอนด์แห่งคาปัว(Raymond of Capua)ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของแคทเธอรีน) กล่าวว่า "จากแหล่งที่มาอันลึกลับของความหยิ่งจองหองและความริษยา เธอ [Palmarina] หล่อเลี้ยงความเกลียดชังอย่างจริงจังต่อพรหมจารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์... จนเธอไม่สามารถทนเห็นหรือแม้แต่ได้ยินชื่อของเธอที่กล่าวถึงนี้ได้" นั่นคือปี 1300 แต่สัตว์ประหลาดตาสีเขียวแห่งความอิจฉาริษยาก็ยังมีชีวิตอยู่เหมือนตอนนี้ พัลมารีนารู้ว่าเธอไม่สามารถมีที่อยู่ในใจของพลเมืองชาวเซียนนาได้เหมือนอย่างที่แคทเธอรีนเป็น ด้วยเหตุนี้,พัลมารีนาจึงต่อต้านและพยายามทำลายชื่อเสียงของแคทเธอรีนตลอดเวลา เพื่อที่ชาวเมืองจะไม่ยกเอาแคทเธอรีนเป็นแบบอย่าง พัลมารีนาพึงพอใจกับความหลงตัวเองของเธอและปรารถนาที่จะเอาสิ่งที่เธอต้องการจากแคทเธอรีนมาไว้กับตัวเธอเอง
 

แคทเธอรีนตอบสนองด้วยการปฏิบัติต่อพัลมารีนาด้วยความเมตตาอย่างสุดซึ้งและถ่อมตนต่อหน้าเธอ เธอวิงวอนต่อพระเยซูเจ้าขอให้ทรงชำระความอิจฉาริษยาไปจากใจของพัลมารีนา ทันใดนั้น พัลมารีนาล้มป่วยอย่างหนักใกล้ถึงความตาย และถึงแม้ใกล้ความตายแล้ว,แต่พัลมารีนากลับยิ่งขุ่นเคืองต่อแคทเธอรีนมากขึ้นและไม่รู้สึกเสียใจสำหรับความเจ็บปวดทั้งหมดที่เธอทำกับแคทเธอรีน ท่านเรย์มอนด์เป็นพยานในเรื่องนี้โดยเล่าว่า "เธอแสดงความเกลียดชังต่อพรหมจารีย์ผู้บริสุทธิ์อย่างไร้เหตุผลมากขึ้น" ยิ่งไปกว่านั้น พัลมารีนาปฏิเสธที่จะสารภาพบาปกับพระสงฆ์และปฏิเสธการรับศีลศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง เธอหลงตัวเองจนมองไม่เห็นความผิดใดๆในการกระทำของเธอ พระเยซูเจ้าทรงให้แคทเธอรีนมองเห็นวิญญานของพัลมารีนาว่ากำลังเดินทางไปยังนรก สิ่งนี้กระตุ้นให้แคทเธอรีนรู้สึกเสียใจและกล่าวโทษตนเองเธอพูดกับพระเยซูเจ้าว่า "พระเยซูเจ้าข้า เป็นไปได้อย่างไรที่คนยากจนเช่นลูกจะมาในโลกนี้ เพื่อทำให้วิญญาณที่ถูกสร้างตามพระฉายาของพระองค์ถูกโยนลงในไฟชั่วนิรันดร?"
 
ถึงแม้แคทเธอรีนจะวิงวอนต่อพระเยซูเจ้า แต่พระองค์ทรงเปิดเผยกับแคทเธอรีนว่าความอิจฉาริษยาของพัลมารีนาไม่อาจให้อภัยได้ แคทเธอรีนมีใจเมตตาอย่างกล้าหาญ,เธอวอนขอต่อพระเยซูเจ้าว่า พระองค์จะทรงลงโทษเธอแทนพัลมารีนาได้หรือไม่ "พระหรรษทานที่พระองค์ทรงประทานแก่ลูกจะหลั่งลงมาสู่การสาปแช่งของซิสเตอร์ของลูกผู้นี้ได้ไหม ลูกไม่สงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า บาปของลูกเองเป็นสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งเหล่านี้...โปรดลงโทษลูกสำหรับบาปทั้งหมดของเธอเถิด เพราะลูกเป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยของเธอ และลูกควรได้รับโทษ ไม่ใช่เธอ" จากนั้น แคทเธอรีนวิงวอนต่อพระเยซูเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย "ลูกวิงวอนขอต่อพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา โปรดกรุณาอย่าปล่อยให้วิญญาณของซิสเตอร์ของลูกผู้นี้ออกจากร่างของเธอ จนกว่าเธอจะได้รับพระหรรษทานจากพระองค์" พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกสงสารพัลมารีนาและทรงประทานเวลาให้กับเธอมากขึ้น
 
ในเวลานี้,พัลมารีนากำลังอยู่ในความทุกข์ทรมานครั้งสุดท้ายของเธอ แต่ชีวิตของเธอยังยืนยาวต่อไปอย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งทำให้ผู้ที่ดูแลเธอรู้สึกประหลาดใจเพราะด้วยสภาพเช่นนี้เธอน่าจะตายไปแล้ว โดยการวิงวอนของแคทเธอรีน พระเยซูเจ้าทรงมอบแสงสว่างในจิตวิญญาณของแคทเธอรีนให้แก่พัลมารีนา ซึ่งได้ทำหน้าที่เสมือนการตื่นขึ้นของมโนธรรม พัลมารีนาได้เห็นถึงความอิจฉาริษยาของตนและสำนึกผิด แคทเธอรีนรู้ว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นและรู้ว่าพัลมารีนาต้องการขอโทษเธอและให้เธอให้อภัย เธอจึงรีบไปที่เตียงของพัลมารีนาซึ่งใกล้ความตายไปทุกขณะ พัลมารีนาดีใจที่ได้พบเธอ และขอโทษแคทเธอรีนจากใจจริง เธอแสดงความเสียใจต่อการหลงตัวเอง เธอกล่าวคำขอโทษอย่างสุดซึ้งกับแคทเธอรีน และได้สารภาพบาปครั้งสุดท้ายกับพระสงฆ์ผู้ซึ่งประกอบพิธีกรรมสุดท้ายให้แก่เธอ หลังจากที่พัลมารีนาไปพบกับพระเยซูเจ้าแล้ว พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับแคทเธอรีนว่าการหลุดพ้นจากนรกของพัลมารีนาเป็นความดีความชอบเป็นพิเศษของแคทเธอรีน "ดูสิ ลูกสาวสุดที่รัก เพื่อลูกแล้ว เราได้นำวิญญาณนี้ที่หายไปแล้วกลับมาคืนให้แก่ลูกได้สำเร็จ"
 
เรื่องนี้คงทำให้พวกเรารู้สึกประหลาดใจ ในสมัยของเรานี้ที่คำว่า"บาป"เป็นสิ่งเย้ายวน มีหลายคนที่ประสบกับความพินาศล่มจมจากความอิจฉาริษยาของคนอื่น และพวกเขากลับไม่เรียกมันว่าบาปมหันต์ และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ในหมู่ชาวคาทอลิกมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจว่าการอิจฉาริษยาความดีฝ่ายวิญญาณของผู้อื่นเป็นการล่วงละเมิดต่อพระจิตเจ้า แม้กระนั้น,ความอิจฉาริษยาเป็นเชื้อเพลิงทางอารมณ์ให้กับความหลงตัวเอง มันทำให้ผู้นั้นปฏิเสธความผิดพลาดและการกระทำผิดของตนเอง หนังสือที่ดีที่สุดโดยนักจิตวิทยาที่เก่งที่สุดในยุคของเรามักสรุปว่าสำหรับคนที่ยึดมั่นในความหลงตัวเองมากเกินไป การกลับฟื้นรู้สึกตัวเองใหม่มักจะเป็นไปไม่ได้ อาจจะเป็นการดีกว่าที่จะทำเช่นเดียวกับแคทเธอรีนแห่งเซียนา ด้วยการสวดภาวนาวิงวอนขอให้แสงแห่งพระหรรษทานส่องสว่างลงมาในจิตวิญญาณของผู้ที่ทุกข์ทรมานจากการหลงตัวเอง บางทีนักบุญแคทเธอรีนแห่งเซียนนาอาจเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือให้กับพัลมารีนาในชีวิตของคุณ
 
* * *
 
บทความได้มาจากหนังสืออัตชีวประวัติของแคทเธอรีนแห่งเซียนนา เขียนโดย Raymond of Capua ภาพวาดคลาสสิกของ Catherine of Siena โดยศิลปินที่ไม่รู้จัก ชาวสเปน ศตวรรษที่ 17 และภาพวาดคลาสสิกของสถานที่เรียกว่า Piazza del Campo ของ Siena โดยศิลปิน Giuseppe Zocchi
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น