วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

การประจักษ์ที่ถูกลืม 1

 



แม่พระทรงประจักษ์มาในอิตาลีในช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่2
 
คุณคิดอย่างไรเมื่อมีรายงานพระแม่มารีย์ทรงประจักษ์ในสถานที่ที่ได้รับการรับรองจากพระสังฆราชท้องถิ่นในประเทศหนึ่งและมีสาส์นที่อ้างอิงถึงการประจักษ์อื่นในประเทศอื่นที่ไม่ได้รับการรับรองเมื่อหลายสิบปีก่อนว่า:เป็นเรื่องจริงทั้งๆที่พระสังฆราชไม่ให้การรับรอง?
 
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่อิตาปิรังกา ประเทศบราซิล โดยมีการประจักษ์ที่ได้รับการรับรอง (อย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 1994 ถึง 1998) โดยพระสังฆราช Carillo Gritti แห่ง Itacoatiara การรับรองมีขึ้นในปี 2009 ที่ชายป่าอะเมซอน ห่างจากรีโอเดจาเนโรไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 1,770 ไมล์ สำหรับการประจักษ์ของแม่พระซึ่งมีรายงานว่าเกิดขึ้นกับชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเอ็ดสัน กลาเบอร์ และมารดาของเขา มาเรีย ดู คาร์โม (และกล่าวกันว่ายังคงดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้) .
 
ในการเปิดเผยที่บราซิล ตามเว็บไซต์ที่ชื่อ Miracle Hunter แม่พระตรัสถึง "ความจริงของการประจักษ์ก่อนหน้านี้ในเมืองที่ชื่อว่าเกียเอ ดิ โบนาเต้(Ghiaie di Bonate) ประเทศอิตาลี ใกล้เมืองแบร์กาโม (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมิลาน) ซึ่งแม่พระประจักษ์มาในฐานะราชินีแห่งครอบครัว ชายหนุ่มในบราซิล(ผู้เห็นแม่พระ)ไม่เคยได้ยินเรื่องการประจักษ์และไม่รู้จักสถานที่นั้นมาก่อนเลย พระสงฆ์ฝ่ายจิตวิญญาณของเขา,ผู้เป็นพระสงฆ์ชาวอิตาลี ท่านได้มีโอกาสไปเยี่ยม Ghiaie di Bonate โดยได้รับอนุญาตจากพระสังฆราชแห่งมาเนาส์(ที่ท่านย้ายไปอยู่)ในอิตาลี และที่บราซิล,ท่านได้รับการยืนยันถึงการประจักษ์ของแม่พระใน Ghiaie di Bonate และย้ำให้มีการสวดสายประคำและการทำพลึกรรมเพื่อช่วยโลกที่ป่วยเพราะความไม่เชื่อ มีการเน้นที่การสวดภาวนา,การร่วมพิธีมิสซา,การสารภาพบาป,และการรับศีลมหาสนิท"
 
ขอย้ำอีกครั้งว่า เรื่องนี้น่าสนใจเพราะการประจักษ์ที่ Ghiaie di Bonate (เราจะเรียกสถานที่นี้ว่า "Bergamo") ถูกปฏิเสธอย่างหนักแน่นโดยพระสังฆราชที่นั่น แต่ปรากฏว่า นั่นอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเท่านั้น
 
เช่นเดียวกับที่ฟาติมา,แม่พระทรงประจักษ์ในช่วงเวลาสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ Ghiaie di Bonate ก็เช่นกัน,ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ “บทส่งท้ายของฟาติมา(Fatima Epilogue)”.แม่พระทรงประจักษ์ในช่วงสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากในอิตาลี
 


เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นวันครบรอบการประจักษ์ครั้งแรกของแม่พระที่ฟาติมาที่ประเทศโปรตุเกส และในเวลานั้น,อิตาลีที่ถูกทำลายจากสงคราม แม่พระทรงประจักษ์กับเด็กหญิงชื่อแอดิเลด รอนคาลลี ในขณะนั้น แอดิเลดอายุเพียงเจ็ดขวบ การประจักษ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม (รวมทั้งหมด 13 ครั้ง) เกิดขึ้นในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง 
 
ใจความสำคัญในสาส์นของแม่พระจะเกี่ยวข้องกับการสวดภาวนาเพื่อคนบาป แต่ก็มีการเรียกร้องให้สวดภาวนาเพื่อพระสันตะปาปาด้วย (ซึ่งชีวิตของพระองค์กำลังอยู่ในอันตราย,ตามที่ผู้เห็นแม่พระบอกไว้) ประชาชนจำนวนมากได้เป็นพยานในแบร์กาโมถึงปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ครั้งใหญ่ และรายหนึ่งระบุว่าในระหว่างการประจักษ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 "มีคนสังเกตเห็นลำแสงแปลกๆ ส่องมาที่เด็กและกระจายไปทั่วใบหน้าของประชาชนโดยรอบ
 
“หลายคนสังเกตว่าดวงอาทิตย์มีรูปร่างเป็นไม้กางเขน
 
“หลายคนเห็นดวงอาทิตย์หมุนเวียนวนจนเกิดเป็นวงแหวนขนาดไม่เกินครึ่งเมตร
 
“ในบรรยากาศชั้นล่าง,บางคนเห็นฝนดาวสีทองตกลงมา,เมฆก้อนเล็กๆสีเหลืองเป็นรูปห่วงหนาทึบและอยู่ใกล้จนมีคนพยายามจะไล่จับมันอย่างเต็มกำลัง มือและใบหน้าของประชาชนมีแสงกระทบที่เป็นสีหลายสีโดยมีสีเหลืองมากกาว่าสีอื่นๆ” มีผู้เห็นเหตุการณ์ดวงอาทิตย์ประมาณ 300,000 คน(มากกว่าที่ฟาติมาซึ่งมีประมาณ 70,000 คน)
 


นั่นเป็นสิ่งที่ดีและน่าดึงดูดใจ (แสงสีดังกล่าวได้รับการรายงานว่าเกิดที่ฟาติมาเช่นเดียวกัน) แต่เรื่องกลับซับซ้อนขึ้นเมื่อ ดอนลุยจิ คอร์เตซี่(Don Luigi Cortesi) พระสงฆ์นักปรัชญาและอาจารย์หนุ่มจากสามเณราลัยแบร์กาโม(เขาแสดงตัวเป็นสิ่งที่เรียกว่า"ทนายของปีศาจ"เขารีบรายงานกลับไปที่พระสังฆราช) เมื่อเขามาถึงสถานที่ประจักษ์,ลุยจิ คอร์เตซีกดดันเด็กหญิงอย่างหนักในระหว่างการสอบสวนที่ยาวนาน มีอยู่ช่วงหนึ่งโดยไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะอะไร,เขาได้เตือนเธอว่า"หนูจะทำบาปหนักเมื่อหนูอ้างว่าหนูได้เห็นพระแม่มารีย์"
 
หลังจากการประจักษ์,คณะผู้สอบสวนได้พาเด็กน้อยออกจาก Ghiaie di Bonate และสอบสวนเธออย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น มีการทดสอบทางจิตวิทยาและทดสอบทางด้าน"คุณธรรม"
 
ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้นซึ่งอยู่ในปี 1945 เมื่อแอดิเลดอายุแปดขวบ - ดอนลุยจิ คอร์เตซีรายงานว่าเด็กหญิงคนนั้น (บางคนบอกว่าเขาบังคับและข่มขู่เธอ) ลงนามในแถลงการณ์ระบุว่าการประจักษ์ไม่เป็นความจริง “ในห้องหนึ่งของคอนแวนต์ของ Orsoline ในแบร์กาโม หลังจากปิดประตูทุกบานแล้ว ดอน คอร์เตซีก็สั่งให้เขียนคำที่จะลงในบันทึกที่น่าสังเวช” เด็กน้อยกล่าวในเวลาต่อมาอย่างขมขื่น “ฉันจำได้ดีว่าด้วยความวิตกกังวลใจทางศีลธรรมที่ฉันถูกข่มขู่ ฉันจึงยอมทำตาม แล้วเขาก็นำกระดาษมาและให้ฉันเขียนลงไปอีกครั้ง เขากระทำด้วยความอดทนอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะบรรลุตามเป้าหมายของเขา นั่นคือวิธีที่”การทรยศ”ได้เกิดขึ้น ต่อไปนี้คือข้อความในคำแถลงที่เธอลงนามระบุว่า (อย่างน่าตกใจ):
 
“ไม่เป็นความจริงที่ฉันเห็นแม่พระ ฉันโกหก,เพราะฉันไม่เห็นอะไรเลย ฉันไม่มีความกล้าที่จะพูดความจริง แต่แล้วฉันก็บอกทุกอย่างกับดอน คอร์เตซี ตอนนี้ฉันเสียใจที่ต้องโกหกหลายครั้ง [ลงนาม] แอดิเลด รอนคาลลี แบร์กาโม-15-กันยายน 1945" แอดิเลดในเวลาต่อมาอ้างว่าคอร์เตซีบอกกับเธอว่าจะไม่มีใครเห็นคำประกาศนี้นอกจากตัวเขาเอง
 
เมื่อกลับมาอยู่กับครอบครัวของเธอเป็นเวลาสองสามสัปดาห์ (เว็บไซต์ได้เล่าเรื่องโดยละเอียดถึงความขัดแย้ง) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 1946 ที่โรงเรียนใน Ghiaie di Bonate – แอดิเลดยืนยันความถูกต้องเป็นลายลักษณ์อักษรว่า: "เป็นความจริงที่ฉันเห็น พระแม่มารีย์ (ฉันเคยบอกว่าฉันไม่เห็นแม่พระเพราะดอนคอร์เตซีสั่งเรื่องนี้ให้ฉันทำ และฉันเขียนสิ่งที่เขาต้องการจากการที่ต้องนบนอบเชื่อฟัง)" [ลงนาม] แอดิเลด รอนคาลลี" (มีพยานเจ็ดคนได้แก่: พระสงฆ์ประจำตำบล แม่ชีสี่คน และคนอื่นอีกสองคน)
 
ในที่สุด Cortesi ก็ถูกห้ามไม่ให้ติดต่อกับเด็กหญิงอีกต่อไป แต่นั่นก็ช้าเกินไป เพราะรายงานของเขาถูกส่งไปถึงพระสังฆราชก่อนและจะเป็นการบังคับให้บิชอป Adriano Bernareggi แห่งแบร์กาโม (ซึ่งทำงานร่วมกับคณะกรรมการเทววิทยา) ให้ประกาศเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1948 ว่า :
 
"1) เราไม่ยอมรับความเป็นจริงของการประจักษ์และการสำแดงของพระแม่มารีย์ต่อแอดิเลด รอนกาลลี ที่เมืองเกียอี ดิ โบนาเต ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1944
 
“2) เราขอประกาศในที่นี้ว่าเราไม่ควรแยกว่าแม่พระผู้ที่เราสวดภาวนาวิงวอนขออย่างซื่อสัตย์โดยโดยสุจริตใจ ด้วยความเชื่อว่าพระนางมาปรากฏที่ Ghiaie พวกเขาอาจได้รับการฟื้นฟูเป็นพิเศษโดยอาศัยความเชื่อของพวกเขา จึงเหมือนเป็นรางวัลแก่ความเลื่อมใสศรัทธาของพวกเขา
 
"3) ดังนั้น ความศรัทธาทุกรูปแบบต่อแม่พระ,การแสดงความเคารพในฐานะที่ทรงประจักษ์ที่ Ghiaie di Bonate ตามกฎบัญญัติ,จึงยังคงถูกห้ามไว้"
 
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สถานที่ดังกล่าวไม่ได้รับการรับรอง (ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ) น่าแปลกที่สถานที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอิตาลีซึ่งมีการประจักษ์ที่มีชื่อเสียงอื่นๆอีกสองแห่งคือที่ San Damiano และ Montichiari และทั้งสองแห่งก็ถูกปฏิเสธเช่นเดียวกัน
 
มีรายงานว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากประกาศของบิชอปในปี 1949 ทั้งที่พระสังฆราชได้ตัดสินไปแล้ว, พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ทรงอนุญาตให้แอดิเลด(ขณะนั้นอายุ 12ปี)ให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ (เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือได้ลงรายละเอียดไว้] “เธอได้เปิดเผยความลับที่แม่พระทรงประทานเป็นการเฉพาะสำหรับพระองค์ ซึ่งแม่พระได้เปิดเผยกับเธอเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 ระหว่างการประจักษ์ครั้งที่ห้า” แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งกล่าว
 
ยังมีเรื่องซับซ้อนกว่านั้นอีก: พระสังฆราชอนุญาตให้แอดิเลดเข้าสู่อารามคอนแวนต์เมื่อเธออายุสิบห้าปี (ตามที่แม่พระทรงร้องขอต่อเธอ) แต่เธอถูกบังคับให้ออกจากคอนแวนต์หลังจากพระสังฆราชเสียชีวิต ที่คอนแวนต์ เธอถูกกดดันอีกครั้งในเรื่องการประจักษ์ และมีความกลัวในเรื่องที่ Cortesi ได้เคยบอกเธอไว้เมื่อหลายปีก่อน เธอเกิดความสงสัยอีกครั้งเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในที่สุด ด้วยความเบื่อหน่ายกับการต้องรอให้ทางอารามรับเธอเข้าใหม่อีกครั้ง,เธอจึงตัดสินใจแต่งงานและย้ายไปอยู่ที่มิลาน ซึ่งเธออุทิศชีวิตเพื่อดูแลคนทุพพลภาพ
 
เด็กชายคนหนึ่งซึ่งเคยอยู่ร่วมในการประจักษ์ครั้งแรกและต่อมาได้บวชเป็นพระสงค์ คือ คุณพ่อแคนดิโด มาฟเฟอีส(Candido Maffeis) สังเกตว่าแทนที่ความเชื่อของเธอจะจางหายไป แต่เธอกลับ “แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวในการคงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นว่าพระแม่มารีย์จะทรงแก้ไขสิ่งต่างๆให้ถูกต้องเอง เพราะมนุษย์ทำผิดพลาดและทำให้ผู้คนสับสนในความคิด,สาส์น,ความสนใจส่วนตัว,ทั้งทางอุดมการณ์และวิทยาศาสตร์โดยใช้มาตรฐานของมนุษย์มากเกินไปและได้ยับยั้งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของ Ghiaie di Bonate” ว่ากันว่าเมื่อคุณพ่อปีโอพบกับกลุ่มแสวงบุญที่มาจาก Ghiaie di Bonate ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า "พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ คุณที่มีแม่พระแห่ง Bonate ในหมู่บ้านของคุณอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?"
 
ในขณะเดียวกัน หลายคนรายงานการรักษาที่น่าอัศจรรย์และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่แบร์กาโม
 
วันที่ 8 กรกฎาคม 1960 มีรายงานว่าพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ทรงส่งจดหมายถึงพระคุณเจ้าโจเซฟ บัตตาเกลีย บิชอปแห่งฟาเอนซา "เกี่ยวกับข้อสงสัยของเกียเอ ดิ โบนาเต้"
 
“พระคุณเจ้าที่นับถือ ให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความคิด,หัวใจ,และคำอธิษฐาน” พระองค์เขียน (ตามที่เว็บไซต์นี้ได้รายงาน) “เกี่ยวกับ Ghiaie เราต้องพิจารณาจากมุมมองจากด้านบนไม่ใช่จากด้านล่าง: และไม่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกแต่ต้องเป็นอันดับสุดท้าย และต้องพิจารณาที่เนื้อหามากกว่า เราต้องศึกษาและประเมินคุณค่าของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ถูกต้องใน 'subiecta materia' คือคำพยานของผู้เห็นแม่พระ: และความถูกต้องของสิ่งที่เธอยังคงรักษาไว้เมื่ออายุยี่สิบเอ็ดปีและสอดคล้องกับคำกล่าวแรกของเธอเมื่ออายุเจ็ดขวบ: เธอถอนคำพูดเพราะความกลัวในความน่ากลัวของนรกที่กระทำโดยใครบางคน สำหรับข้าพเจ้า ดูเหมือนว่าความน่ากลัวสำหรับภัยคุกคามเหล่านั้นยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตาม ฯพณฯ เข้าใจดีว่าการย้ายครั้งแรกสำหรับการประเมินใหม่โดยผู้ลงนามข้างท้ายที่กระทำในนามของคณะสงฆ์หรือกระทรวงอื่นๆ ซึ่งในเวลาอันควร 'faciat verbum cum SS' ecc. ได้ขอโทษสำหรับความชัดเจนของคำพูดของข้าพเจ้า และขอให้ท่านดูแลตัวเอง 'in laetitia et in benedictione' เสมอ แม้ว่า 'ตายไปก็ตาม'dies mali sunt ' ขอแสดงความนับถือ John XXIII”
 
ในปี 1974 ในวันครบรอบ 30 ปีของการประจักษ์ บิชอปอีกท่านหนึ่ง,หลังจากได้รับคำร้องขอ,ท่านได้กล่าวว่าท่านไม่สามารถเปิดคดีนี้ได้อีก แต่อนุญาตให้ผู้แสวงบุญไปที่นั่นได้
 
และตอนนี้ ในศตวรรษใหม่ - ในทศวรรษ 2000 การประจักษ์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยผู้เห็นแม่พระในบราซิลไม่เพียงแต่ยืนยันความชอบธรรมของสถานการณ์แบร์กาโมเท่านั้น (ขอย้ำอีกครั้งว่า เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่ทราบมาก่อน ก่อนที่จะถูกบอกเล่าโดยแม่พระเกี่ยวกับเรื่องนี้) แต่เดินทางไปที่นั่นและกล่าวกันว่าเขาได้รับการประจักษ์ที่นั่นด้วย
 
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1989 แอดิเลด รอนคาลลีตัดสินใจให้คำยืนยันอีกครั้งอย่างเป็นทางการและจริงจัง ต่อหน้าทนายความสาธารณะ,ในความเป็นจริงของการประจักษ์, เว็บไซต์ดังกล่าวได้ลงไว้ว่า “ข้าพเจ้ารอนคาลลี ผู้ลงนามข้างใต้ แอดิเลดเกิดที่เกียเอ ดิ โบนาเต โซปรา (แบร์กาโม) เมื่อวันที่ 23 เมษายน 1937 เนื่องในโอกาสครบรอบสี่สิบห้าปีแห่งการประจักษ์ ฉันขอยืนยันอีกครั้ง ณ ที่นี้,เหมือนดังที่กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในครั้งก่อนว่า พระแม่มารีย์ทรงประจักษ์มาที่ Ghiaie di Bonate ตั้งแต่วันที่ 13 ถึง 31 พฤษภาคม 1944 เมื่อฉันอายุได้ 7 ขวบ ฉันขอถวายแด่พระเจ้าและต่ออำนาจอันชอบธรรมของพระศาสนจักรซึ่งมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะรับทราบหรือไม่ก็ได้ในความชัดเจนแห่งมโนธรรมและในจิตสำนึกของฉันอย่างเต็มที่ ฉันคิดว่าฉันได้กล่าวความจริงอย่างซื่อๆ แต่ได้รับความผันผวนที่ฉันประสบอย่างน่าเศร้านับแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อเป็นสักขีพยานในเรื่องนี้ … [ลงนาม Adelaide Roncalli, 20 กุมภาพันธ์ 1989"
 
เกียเอ ดิ โบนาเต้ ในปัจจุบัน
 
พระสังฆราชแห่งแบร์กาโมทุกองค์ตั้งแต่ช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์การประจักษ์มาจนถึงปัจจุบัน เป็นผู้เชื่ออย่างแน่วแน่ถึงความเป็นจริงของการประจักษ์ที่ เกียอี ดิ โบนาเต้ แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะเริ่มทบทวนการพิจารณาคดีใน ปัจจุบันที่ Le Ghiaie ยังคงมีโบสถ์น้อยหลังเก่าซึ่งสร้างขึ้นก่อนปี 1948 ล้อมรอบด้วยแกลเลอรี่เล็กๆ ต้นไม้และความเขียวขจีมากมาย ไม่นานมานี้ในปี 2019 พระสังฆราชแห่งแบร์กาโม ฟรานเชสโก เบสคี(Francesco Beschi) อนุญาตให้ประดิษฐานพระรูปพระนางมารีย์ราชินีแห่งครอบครัวขึ้นที่โบสถ์เล็กๆแห่งนี้,ที่ซึ่งกลุ่มผู้ศรัทธายังคงมาสวดภาวนาต่อพระมารดาแห่งครอบครัว
 


Le Ghiaie di Bonate chapel today
 


The faithful at Le Ghiaie di Bonate chapel.
 
ไม่ว่าการแทรกแซงของสวรรค์จะทรงพลังและน่าเกรงขามเพียงใด หากปราศจากความร่วมมือของมนุษย์ ไม่มีอะไรสำเร็จได้บนโลกโดยอาศัยเสรีภาพสูงสุดที่พระเจ้าประทานแก่เรา และสิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงพระวรสารลูกา 16, 19-31- เมื่อเศรษฐีที่ตายไปและอยู่ในนรก,เขาขอให้ลาซารัสกลับไปหาพี่น้องของเขาและเตือนพวกเขา และอับราฮัมตอบว่า “ถ้าพวกเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ”
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น