การประจักษ์ที่เกียเอ ดิ โบนาเต้,อิตาลี(Ghiaie di Bonate),1944
แม่พระทรงประจักษ์มาในอิตาลีในช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่2 มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจหลายอย่างในการประจักษ์ครั้งนี้ เช่น ผู้ที่เห็นแ่พระเป็นเด็กเล็ก,อัศจรรย์ดวงอาทิตย์,นิมิตและความหมาย ฯลฯ
หินกรวดแห่งโบนาเต้
โบสถ์ของตำบล Ghiaie di Bonateตั้งอยู่ในสังฆมณฑลแบร์กาโม ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 10 กิโลเมตร สามารถไปถึงได้จากมิลานและเบรสชาโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงโดยใช้ทางด่วน ออกจากด่านเก็บค่าผ่านทาง Capriate และมุ่งหน้าไปยัง Ponte San Pietro ที่วงเวียน Bonate Sopra หลังจากปั๊มน้ำมัน ให้เลี้ยวขวาและลงไปที่ Ghiaie di Bonate ไม่กี่เลี้ยวในถนนของหมู่บ้าน และคุณมาถึงสถานที่ประจักษ์ในปี 1944 โบสถ์ถูกสร้างขึ้นแทนที่โบสถ์น้อย
Ghiaie di Bonateได้ชื่อมาจากพื้นหินกรวดของแม่น้ำ Brembo ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆของBonate Sopra และ Presezzo โบสถ์แห่งนี้เป็นเขตปกครองมาตั้งแต่ปี 1921, Ghiaie di Bonate ได้รับการยอมรับทางราชการหลังจากข้อพิพาทหลายครั้งในวันที่ 29 มีนาคม 1944 ก่อนการประจักษ์ เป็นวัดเดียวในสังฆมณฑลที่อุทิศให้กับครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
อิลทอร์ชิโอเป็นส่วนย่อยของGhiaieที่มีกลุ่มบ้านไม่กี่หลังที่กระจัดกระจายอยู่ใกล้ Brembo ท่ามกลางทุ่งนากว้างใหญ่และเรือนเพาะชำต้นสน มีที่ราบสูง Isola ซึ่งทำหน้าที่เป็นอัฒจันทร์สำหรับฝูงชนจำนวนมากที่มารวมตัวกันที่นั่นในระหว่างการประจักษ์ . อันที่จริง ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 มีผู้แสวงบุญมากกว่าสามล้านคนมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ในแบร์กาโม กระแสของผู้คนที่มาโดยส่วนใหญ่ด้วยการเดินเท้าหรือโดยวิธีอื่นๆ,ทำให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายที่มาจากการทิ้งระเบิดและปืนกลที่ยิงมาอย่างต่อเนื่อง.
สงครามโลกครั้งที่2 ฉีกทึ้งอิตาลีด้วยความโศกเศร้าและความพินาศ ผู้คนอยู่กันอย่างทุกข์ระทมและอดอยากทุกอย่าง ความฝันแห่งสันติสุขดูเหมือนไม่สามารถบรรลุได้ เมื่อทุกอย่างดูเหมือนสูญเสียไปสำหรับอิตาลีและโลก และเมื่อพระสันตะปาปาเสี่ยงที่จะถูกเนรเทศไปยังเยอรมนี ความหวังก็จุดประกายด้วยอัศจรรย์ที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ที่คนทั้งโลกไม่รู้จัก ในช่วงบ่ายของวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 พระแม่มารีย์ทรงประจักษ์ต่อเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ
ดังที่พระแม่มารีย์ทรงเคยทำที่ฟาติมาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1917 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พระแม่มารีย์ทรงเลือกวันที่ 13 พฤษภาคมอีกครั้งเพื่อส่งสารแห่งความหวังและสันติภาพของพระนางไปทั่วโลก,โลกซึ่งถูกทำลายล้างโดยสงครามโลกครั้งที่สอง
Adelaide Roncalli
ประวัติโดยสังเขป - แอดิเลด รอนคาลลี
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นวันครบรอบการประจักษ์ครั้งแรกของแม่พระที่ฟาติมาที่ประเทศโปรตุเกส และในเวลานั้น,อิตาลีที่ถูกทำลายจากสงคราม แม่พระทรงประจักษ์กับเด็กหญิงชื่อแอดิเลด รอนคาลลี ในขณะนั้น แอดิเลดอายุเพียงเจ็ดขวบ การประจักษ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม (รวมทั้งหมด 13 ครั้ง) เกิดขึ้นในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้บางคนบอกว่านี่เป็นการประจักษ์ที่เป็น "บทส่งท้ายของฟาติมา"
ในปี 1944 ที่ Torchio ชานเมือง Ghiaie di Bonate Sopra ครอบครัว Roncalli ซึ่งประกอบด้วยลูกชาย Luigi และลูกสาวเจ็ดคน: Caterina, Vittoria, Maria, Adelaide, Palmina, Annunziata และ Romana (และ Federica ที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย) . เอ็นริโกผู้เป็นบิดา,ใช้ชีวิตเป็นชาวนาและทำงานเป็นกรรมกรในโรงงานในท้องถิ่น แม่ของเขา แอนนา กัมบะ,และภรรยาของเขาซึ่งเป็นแม่บ้านต้องเลี้ยงดูลูกๆ มากมายด้วยความอดทนอย่างอุตสาหะ
ตอนนั้นแอดิเลดอายุเจ็ดขวบ เธอเกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2480 เวลา 11.00 น. ที่ Torchio และรับศีลล้างบาปเมื่อวันที่ 25 เมษายนโดย Don Cesare Vitale พระสงฆ์ประจำโบสถ์ เธอเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีแรก เธอเป็นเด็กธรรมดาที่มีสุขภาพดีและมีชีวิตชีวา เธอชอบเล่นกับเพื่อนๆและพี่น้อง
จนกระทั่งบ่ายวันนั้นของวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 เมื่อครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ปรากฏแก่เธอ ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าชื่อของเธอจะได้ยินไปทั่วอิตาลีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงของยุโรปด้วย
ขณะที่โลกกำลังลุกโชนอยู่ในเปลวเพลิงแห่งความเกลียดชังและอาวุธ และสงครามดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น พระแม่แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันและราชินีแห่งสันติภาพ,ทรงเลือกเด็กหญิงตัวน้อยจากโบนาเตชื่อแอดิเลด รอนคาลลี(Adelaide Roncalli) เพื่อส่งสารของพระนางไปทั่วโลก แม่พระทรงประจักษ์แก่เธอเป็นเวลาสิบสามวันในสองรอบ: ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 13 ถึง 21 พฤษภาคมครั้งที่สองตั้งแต่วันที่ 28 ถึง 31 พฤษภาคม
แม่พระได้ตรัสคำทำนายแก่เธอว่า
“ลูกจะต้องทนทุกข์มากมาย แต่อย่าร้องไห้เลย เพราะหลังจากนั้นลูกจะขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับแม่” "ในหุบเขาแห่งความเศร้าโศกแท้จริงนี้ ลูกจะเป็นมรณะสักขีตัวน้อยๆ..." แต่แอดิเลดยังเป็นเด็กเกินกว่าจะรู้ซึ่งถึงความรุนแรงของคำเหล่านี้ในทันที หลังจากการประจักษ์,เธอถูกโดดเดี่ยว,ถูกข่มขู่,มีความ หวาดกลัว,และถูกทรมานทางจิตใจ,มากเสียจนในที่สุด เมื่อวันที่ 15 กันยายน 1945,บุคคลผู้หนึ่งได้บังคับให้เธอเขียนแถลงการณ์ที่ปฏิเสธความจริงของการประจักษ์ซึ่งทำให้ลดทอนความน่าเชื่อถือในกระบวนการตรวจสอบเพื่อรับรองการประจักษ์
วันที่ 12 กรกฎาคม 1946 แอดิเลดปฏิเสธคำแถลงการณ์ที่เธอเคยทำไว้ โดยยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรถึงความจริงของการประจักษ์ แต่โชคร้ายที่มันไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะในวันที่ 30 เมษายน 1948 พระสังฆราชแห่งแบร์กาโมพระคุณเจ้า Monsignor Bernareggi ออกกฤษฏีหา " non consta " ที่ห้ามไม่ให้มีการแสดงความศรัทธาใดๆต่อแม่พระไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆที่เป็นการเคารพต่อการประจักษ์ที่ Ghiaie di Bonate แอดิเลดต้องย้ายออกจากบ้านไปโดยที่พ่อแม่ของเธอไม่เต็มใจเธอได้รับการดูถูก,เยาะเย้ย เธอต้องแบกกางเขนและอยู่ห่างไกลจากบ้านของเธอ
เมื่อเธออายุได้สิบห้าปี พระสังฆราชอนุญาตให้เธอเข้าคอนแวนต์ซาคราเมนไทน์(Sacramentine Sisters) แห่งแบร์กาโม เมื่อพระสังฆราชสิ้นชีวิต บางคนจัดการให้สั่งให้เธอออกจากคอนแวนต์ ทำให้เธอต้องละทิ้งกระแสเรียกตามที่แม่พระทรงแสดงให้เธอเห็น การละทิ้งนี้ทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานมากมายและทำให้เธอต้องป่วยเป็นเวลานาน
มีเด็กสาววัยรุ่นคนใดบ้างที่ชีวิตถูกทำลายโดยเหตุการณ์เช่นเธอ แต่สุขภาพของแอดิเลดก็แข็งแรงขึ้นและหายดี เมื่อเบื่อกับการรอประตูคอนแวนต์เปิดอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจแต่งงานและไปอาศัยอยู่ในมิลานที่ซึ่งเธออุทิศตนด้วยการเสียสละเพื่อดูแลผู้ป่วย หลายปีผ่านไปและแอดิเลดยังคงอยู่ในความเงียบตามที่ผู้ใหญ่ของเธอกำหนด
ในที่สุด,จากการใช้ประโยชน์จากกฤษฎีกาของสภาวาติกันที่สองเกี่ยวกับสิทธิ์ในข้อมูลข่าวสาร,แอดิเลดรู้สึกโล่งใจจากข้อห้ามที่กำหนดไว้สำหรับเธอ และตัดสินใจที่จะยืนยันอย่างจริงจังและเป็นทางการอีกครั้ง ต่อหน้าทนายความถึงความจริงของการประจักษ์
ตอนนี้แอดิเลด รอนคาลลี ผู้เห็นแม่พระแห่ง Ghiaie ไม่มีอีกแล้ว ด้วยโรคที่รักษาไม่หาย,เธอถึงแก่กรรมตอนบ่ายสามโมงในเช้าวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2014 ด้วยอายุ 77 ปี,เธออาศัยอยู่เป็นความลับอย่างแท้จริง ห่างไกลจากโลก,ในการเชื่อฟังพระศาสนจักร,และเหนือสิ่งอื่นใดโดยปราศจากความโกรธเคืองต่อผู้ที่สร้างความเจ็บปวดและความโศกเศร้าอันยิ่งใหญ่ให้กับเธอ
การประจักษ์สิบสามครั้ง
การประจักษ์ครั้งแรก
วันเสาร์ 13 พ.ค. 1944, 18:00
ผู้เข้าร่วม: แอดิเลดและเด็กหญิงบางคน
นิมิต: ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
ในบ่ายแก่ๆของวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 แอดิเลด รอนคาลลีวัย 7 ขวบไปเก็บดอกไม้และดอกเดซี่ที่ขึ้นอยู่ตามเส้นทางที่ลงไปข้างป่าสนเพื่อนำมาไว้หน้าพระรูปของพระแม่มารีย์ โดยมีPalmina น้องสาววัย 6 ขวบของเธอกับเพื่อนบางคนของเธอ
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ฉันกำลังจะไปเก็บดอกไม้สำหรับถวายแม่พระซึ่งอยู่ครึ่งทางระหว่างทางขึ้นบันไดไปที่ห้องของฉันในบ้านของฉัน ฉันเก็บดอกเดซี่และใส่ไว้ในรถสาลี่ที่พ่อทำไว้ ฉันเห็นดอกเอลเดอร์ที่สวยงามแต่มันสูงเกินไปสำหรับฉันที่จะหยิบ ฉันรู้สึกชื่นชมเมื่อเห็นจุดสีทองลอยลงมาจากเบื้องบน และค่อยๆเข้ามาใกล้พื้นดิน และเมื่อเข้าใกล้มากขึ้น แสงสีทองก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในแสงนั้น,ฉันเห็นพระกุมารเยซูผู้เป็นทารกอยู่ในอ้อมแขนของแม่พระ ทางด้านซ้ายคือนักบุญโยเซฟ บุคคลทั้งสามถูกห่อหุ้มด้วยแสงวงรีสามวง และยังคงลอยอยู่ในอากาศซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลำแสง สตรีผู้งดงามและสง่างามสวมอาภรณ์สีขาวและเสื้อคลุมสีน้ำเงิน บนแขนขวาของเธอ เธอคล้องสายประคำที่ประกอบด้วยลูกปัดสีขาว บนเท้าเปล่าของเธอมีดอกกุหลาบสีขาวสองดอก เครื่องแต่งกายรอบคอของเธอประดับด้วยไข่มุกเหมือนกันหมดซึ่งผูกเป็นสร้อยคอทองคำ วงกลมที่ล้อมรอบคนทั้งสามนั้นส่องสว่างด้วยแสงสีทอง ตอนแรกฉันกลัวและพยายามวิ่งหนี แต่สุภาพสตรีเรียกฉันด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "อย่าวิ่งหนีเพราะฉันคือแม่พระ!" ฉันก็เลยหยุดและมองดูเธอ แต่ด้วยความรู้สึกกลัว แม่พระมองมาที่ฉันแล้วพูดว่า: "หนูต้องเป็นคนดี เชื่อฟัง เคารพเพื่อนบ้านและมีความจริงใจ: จงสวดภาวนาอย่างดีและกลับมาที่สถานที่แห่งนี้เป็นเวลาเก้าวัน" แม่พระมองมาที่ฉันครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ถอยห่างโดยไม่ได้หันหลังให้ฉัน ฉันมองดูจนเมฆขาวละสายตาไปจากฉัน พระกุมารเยซูและนักบุญยอแซฟไม่ได้พูดอะไร พวกท่านมองมาที่ฉันด้วยท่าทางที่เป็นมิตรเท่านั้น"
เมื่อเห็นแอดิเลดอยู่ในความปีติยินดี เพื่อนๆเรียกเธอและเขย่าเธอ,แต่ไม่สำเร็จ Palmina น้องสาวของเธอตกใจมาก,รีบวิ่งไปหาแม่ของเธอเพื่อบอกเธอว่าแอดิเลดตายแล้วโดยยืนอยู่
แอดิเลดฟื้นตัวจากความปีติยินดีอย่างช้าๆ แอดิเลดบอกกับเพื่อนของเธอว่าเธอได้เห็นแม่พระ แต่เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ในครอบครัวของเธอ ดังนั้นการรับประทานอาหารค่ำจึงเป็นไปอย่างสงบ แต่เพื่อนของเธอไม่ได้ทำเช่นนั้น ดังนั้นข่าวลือจึงเริ่มแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน'
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่สอง
วันอาทิตย์ 14 พ.ค. 1944,18.00
ผู้เข้าร่วม: แอดิเลด เด็กหญิงและเด็กชาย
นิมิต: ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ฉันอยู่ที่ห้องพักกับเพื่อนๆ แต่ประมาณหกโมงเย็น ฉันรู้สึกมีความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะวิ่งไปยังสถานที่ที่แม่พระได้เรียกฉัน ฉันรีบออกไปกับเพื่อนบางคน เมื่อไปถึงที่นั่น ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณและเห็นนกพิราบขาวสองตัวบินผ่านไป จากนั้นฉันก็เห็นจุดสว่างใกล้เข้ามาและได้เห็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจนและสง่าผ่าเผย
ตอนแรกพวกท่านยิ้มให้ฉัน จากนั้นแม่พระตรัสกับฉันอีกครั้งถึงสิ่งที่พระนางพูดเมื่อวานนี้ว่า “หนูต้องเป็นคนดี เชื่อฟัง จริงใจ และสวดภาวนาอย่างดี เคารพเพื่อนบ้านของหนู ระหว่างอายุสิบสี่ถึงสิบห้า, หนูจะกลายเป็นซิสเตอร์ซาคราเมนไทน์ หนูจะทนทุกข์ทรมานมาก แต่อย่าร้องไห้เพราะหลังจากนั้นหนูจะไปสวรรค์กับแม่!” แล้วพระนางก็เดินจากไปอย่างช้าๆ และหายไปอย่างในคืนก่อน
ฉันรู้สึกเบิกบานใจกับถ้อยคำสั้นๆของแม่พระ และความทรงจำถึงการประทับอยู่อันแสนหวานของพระนางก็ชัดเจนและแม่นยำในใจของฉัน ฉันกลับมาพร้อมกับเพื่อนๆไปที่ห้องพก เมื่อไปได้ครึ่งทาง,เราพบเด็กดีคนหนึ่งที่ถามฉัน เมื่อฉันบอกว่าฉันได้เห็นแม่พระแล้ว เขาพูดกับฉันอย่างกระวนกระวายใจว่า “ลองไปและดูว่าพระนางจะมาพบกับเธออีกหรือไม่? และถามพระนางว่าฉันสามารถเป็นพระสงฆ์ด้วยการถวายตัวแด่พระนางได้หรือไม่” ฉันรีบกลับไปยังสถานที่นั้นและแหงนมองท้องฟ้าด้วยความหวังว่าแม่พระจะกลับมาอีก อันที่จริง,ไม่กี่นาทีต่อมา,พระแม่มารีย์ที่สวยงามก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งฉันได้บอกแม่พระถึงความปรารถนาของแคนดิโด ผู้ซึ่งมาอยู่ร่วมในการมาเยือนครั้งหน้าของแม่พระ แม่พระตอบฉันด้วยเสียงมารดาที่นุ่มนวลว่า "ใช่แล้ว,เขาจะได้เป็นพระสงฆ์มิชชันนารีตามความประสงค์แห่งดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของแม่,เมื่อสงครามสิ้นสุดลง" พูดจบพระนางก็ค่อยๆหายไป
ในตอนท้ายของนิมิต,ฉันรู้สึกว่าเด็กชายดึงผ้ากันเปื้อนออกจากตัวของฉัน,และด้วยความกระวนกระวายใจ,เขาถามฉันว่าแม่พระทรงตอบอย่างไร เมื่อฉันพูดตามคำของแม่พระซ้ำ เขาก็รีบวิ่งไปบอกแม่ของเขาอย่างมีความสุข ฉันกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนๆ และในหัวใจของฉัน ฉันรู้สึกปีติอย่างยิ่ง ก่อนจากไป พระแม่บอกให้ฉันกลับมาอีกเป็นเวลาเจ็ดวัน
แอดิเลดใช้เวลาไม่นานเพื่อสัมผัสความจริงของคำทำนายข้อที่สอง อันที่จริง,ในตอนเย็นวันนั้น,ในครอบครัว,เธอถูกตำหนิอย่างรุนแรง คุณพ่อเอ. เท็นโทริ(Father A. Tentori)เขียนว่าในการประจักษ์ครั้งนี้ แม่พระได้ยืนยันถึงกระแสเรียกของแคนดิโด "ผู้ที่พระนางทรงยิ้มให้" แต่จากนั้นแอดิเลดก็ร้องไห้เล็กน้อยและเอามือซุกหน้าไว้โดยไม่อยากจะอธิบายว่าทำไม เธอคงรู้ดีถึงความทุกข์ทรมานในกระแสเรียกนี้ที่จะเกิดกับเพื่อนของเธอ ในระหว่างนี้ ข่าวการประจักษ์ได้ข้ามพรมแดนของ Ghiaie di Bonate'
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่สาม
วันจันทร์ 15 พ.ค. 1944,18.00
ผู้เข้าร่วม: แอดิเลด, เพื่อน 2 คนและผู้คนประมาณหนึ่งร้อยคน
นิมิต : ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ (สว่างสุกใสมากกว่าปกติ)
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ไม่นานก่อนหกโมงเย็น ฉันมาถึงสถานที่ประจักษ์พร้อมกับเพื่อนๆของฉัน: Itala Corna และ Giulia Marcolini ฉันใช้เวลานานกว่าจะถึงที่หมายเพราะถนนมีผู้คนพลุกพล่าน จุดที่สว่างสไวนำหน้าด้วยนกพิราบน้อยสองตัวปรากฏขึ้นและค่อยๆเข้ามาใกล้ ทำให้ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอย่างสว่างไสวกว่าปกติ นัยน์ตาสีฟ้าสดใสของพระกุมารเยซูในการประจักษ์นี้ดึงดูดความสนใจของฉันในลักษณะพิเศษ ชุดเล็กๆที่คลุมพระองค์ลงไปถึงเท้าของพระองค์เป็นสีชมพูเรียบๆ เสื้อเชิ้ตเหมือนสีชมพูโรยด้วยดาวสีทองเล็กน้อย พระแม่มารีย์สวมชุดสีฟ้าอ่อนที่มีผ้าคลุมยาวสีขาวห้อยลงมาจากศีรษะ ดวงดาวเล็กๆก่อตัวเป็นรัศมีรอบใบหน้าของแม่พระ ที่เท้าของพระนางมีดอกกุหลาบสองดอกและระหว่างมือที่ประสานกันของพระนางคือสายประคำ
หลายคนแนะนำให้ฉันบอกแม่พระให้รักษาลูกๆของพวกเขาและถามเธอว่าสันติภาพจะมาถึงเมื่อใด ฉันบอกแม่พระทุกอย่างแล้วพระนางก็ตอบว่า: "บอกพวกเขาว่าถ้าพวกเขาต้องการให้ลูกของพวกเขาหายจากโรค พวกเขาต้องทำกิจใช้โทษบาป สวดภาวนามากๆ และหลีกเลี่ยงบาปหนัก ถ้ามนุษย์ทำกิจใช้โทษบาป,สงครามจะสิ้นสุดภายในสองเดือน มิฉะนั้นจะน้อยกว่าสองปี." พระนางสวดสายประคำประมาณสิบบทกับฉัน แล้วค่อยๆหายลับไป
จากกระแสของฝูงชนที่หลั่งไหลเข้ามาหลังจากนั้น เชื่อกันว่าพวกเขาได้สวดภาวนาและทำกิจใช้โทษบาปตามที่แม่พระขอแล้ว และคาดว่าสงครามจะยุติลงภายในสองเดือน สองเดือนหลังจากวันที่ 15 พฤษภาคม ในวันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม เกิดการโจมตีฮิตเลอร์ซึ่งทำให้เยอรมนีเสื่อมถอยและพ่ายแพ้ในภายหลัง สงครามยังคงดำเนินต่อไปจนถึงฤดูร้อนปี 1945 ด้วยการยุติความเป็นปรปักษ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม่พระได้ทำนายไว้อย่างแม่นยำว่า: "น้อยกว่าสองปีเล็กน้อย"
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่สี่
วันอังคาร 16 พ.ค. 1944,18.00
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 150 คน
นิมิต: ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
ในตอนบ่าย แอดิเลดไปที่ห้องพักซึ่งซิสเตอร์คอนเซตตาถามเธอเกี่ยวกับการประจักษ์ แอดิเลดเปิดเผยว่า ก่อนอื่น,มาถึงของพระแม่มารีย์มักมีนกสีขาวสองตัวบินนำหน้ามาก่อนเสมอ และพระแม่มารีตรัสกับเธอในภาษาแบร์กาโม เด็กหญิงตัวเล็กๆกลับบ้านทันเวลา แต่ต้องยืนกรานกับพ่อแม่มากเพื่อจะได้ไปพบกับแม่พระตามที่นัดหมายในเวลา 18:00 น.
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ในการประจักษ์ครั้งนี้ เพื่อที่จะตรงต่อเวลา ฉันต้องยืนกรานกับผู้คนมากมายที่เบียดเสียดบ้านฉัน เพราะพวกเขาต่างพยายามที่จะทำให้ฉันเชื่อว่าเป็นเวลาห้าโมงเย็น ทั้งที่ฉันรู้สึกอยู่ในใจว่า เป็นเวลาที่แม่พระบอกกับฉัน เมื่อฉันยืนกรานให้พวกเขาปล่อยฉันไป ชายคนหนึ่งก็อุ้มฉันไว้ในอ้อมแขนและพาฉันไปยังสถานที่ประจักษ์ เช่นเดียวกับวันอื่นๆ,มีจุดแสงสว่างนำหน้าด้วยนกพิราบน้อยปรากฏขึ้น และแม่พระกับพระกุมารเยซูและนักบุญโยเซฟก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสื้อผ้าของพวกท่านเหมือนกับวันก่อน
แม่พระยิ้มให้ฉันแล้วตรัสกับฉันด้วยใบหน้าเศร้าโศก: "มีแม่จำนวนมากที่มีลูกในความโชคร้ายเพราะบาปร้ายแรงของพวกเขา ให้พวกเขาหยุดทำบาปแล้วลูกๆของพวกเขาจะได้รับการรักษา" ฉันขอหมายสำคัญภายนอกเพื่อเป็นการสนองความต้องการของผู้คน เธอตอบฉันว่า: "หมายสำคัญจะมาในเวลาที่เหมาะสม จงสวดภาวนาเพื่อคนบาปที่น่าสงสารที่ต้องการคำภาวนาของเด็กๆ" พูดดังนี้แล้ว,พระนางจึงค่อยๆหายไป'
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่ห้า
วันพุธ 17 พ.ค. 1944,18.00
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 3000 คน
นิมิต : พระนางพรหมจารีย์พร้อมด้วยเทวดาน้อยแปดองค์
วันนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่แอดิเลดเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาของเกียเอ ดิ โบนาเต ครูถามเธอเกี่ยวกับการประจักษ์ และเรื่องราวของแอดิเลดก็น่าเชื่อ เมื่อกลับถึงบ้าน แอดิเลดถูกแม่พาไปที่ห้องของเธอ แม่ร้องไห้และถามความจริงเกี่ยวกับการประจักษ์ แอดิเลดยืนยัน
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ฉันไปยังสถานที่ประจักษ์ตามเวลานัด นกพิราบสองตัวนำหน้าจุดแสงสว่างและพระแม่มารีย์สวมชุดสีแดงพร้อมกับเสื้อคลุมสีเขียวและมีขบวนยาวตามมา รอบแสงวงกลมสามวงมีเทวดาตัวน้อยแปดองค์แต่งตัวสลับกันด้วยสีน้ำเงินและสีชมพู ทั้งหมดอยู่ใต้ศอกของพระแม่มารีย์,เป็นรูปครึ่งวงกลม ทันทีที่ฉันเห็นแม่พระ พระนางก็ตรัสกับฉันทันทีและบอกความลับกับฉันที่จะเปิดเผยต่อพระสังฆราชและพระสันตะปาปาด้วยคำพูดเหล่านี้: "จงบอกพระสังฆราชและพระสันตะปาปาถึงความลับที่แม่บอกลูก...แม่แนะนำลูกให้ทำตามที่แม่บอก แต่ห้ามบอกคนอื่น” แล้วแม่พระก็หายไปอย่างช้าๆ'
สามวันต่อมา วันที่ 20 พฤษภาคม แอดิเลดถูกพาไปหาพระสังฆราชเพื่อเปิดเผยความลับแก่ท่าน อะไรเป็นความลับที่สำคัญนักที่พระสังฆราช,ผู้ซึ่งในกลางเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 ได้ไปที่ Gandino,เพื่อที่เด็กหญิงจะได้บอกความลับกับท่าน
แอดิเลดเดินทางไปกับกรุงโรมในปี 1949 และพระสันตะปาปาปีอุสที่ 12 ทรงให้เธอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวซึ่งเธอได้เปิดเผยความลับที่แม่พระได้บอกแก่เธอเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1944
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่หก
วันพฤหัสบดี 18 พ.ค. 1944,18.00
วันฉลองพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 7000 คน
นิมิต : พระนางพรหมจารีย์พร้อมกับเทวดาน้อยแปดองค์
ฝูงชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่ Ghiaie di Bonate ทุกคนต้องการพบเด็กหญิงตัวเล็กๆและเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอเป็นอย่างมาก ทหารโรมันคนหนึ่งได้ช่วยกลุ่มเล็กๆ ให้ไปถึงที่ที่ประจักษ์
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ระหว่างที่อยู่ที่ห้องพัก ฉันกำลังคิดถึงแม่พระ และประมาณ 5 โมงเย็น ฉันไปทานอาหารว่างเพื่อที่จะได้ไปยังสถานที่ประจักษ์ตรงเวลา การมาเยือนของแม่พระมีนกพิราบสองตัวนำหน้า พระแม่มารีย์สวมชุดสีแดงและเสื้อคลุมสีเขียว ยังคงล้อมรอบด้วยเทวดาตัวน้อยเหมือนเมื่อวาน
แม่พระยิ้มให้ฉันแล้วกล่าวคำเหล่านี้ซ้ำสามครั้ง: "สวดภาวนาและทำกิจใช้โทษบาป" จากนั้นพระนางกล่าวเสริมว่า: "สวดภาวนาเพื่อคนบาปที่น่าสงสารและดื้อรั้นที่สุดที่กำลังจะตายในขณะนี้และพวกเขาเป็นผู้ที่แทงทะลุหัวใจของแม่"
หลายคนแนะนำให้ฉันถามแม่พระว่าบทภาวนาใดที่แม่พระชอบมากที่สุด ฉันทูลแม่พระถึงความปรารถนานี้และพระนางตอบว่า: "บทภาวนาที่แม่ชอบมากที่สุดคือวันทามารีอา" เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว แม่พระก็ค่อยๆหายไป'
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่เจ็ด
วันศุกร์ 19 พ.ค. 1944,18.00
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 10,000 คน
นิมิต: ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
ในวันนั้นประชาชนนำแผ่นภาพเล็กๆ(cards)ของผู้ศรัทธามายังที่สถานที่ประจักษ์พร้อมกับคำวิงวอนต่อแม่พระ มีฝูงชนจำนวนมากและแอดิเลดมาถึงสถานที่ด้วยความยากลำบาก ตั้งแต่เย็นวันนั้น แพทย์คนหนึ่งชื่อ ดร.เอลิอานา แม็กกี้(Dr. Eliana Maggi)ก็อยู่เคียงข้างเธอเสมอ
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'เช่นเดียวกับตอนเย็นวันอื่นๆ ฉันไปอยู่ตรงที่ของฉันซึ่งมีหินแกรนิตถูกนำมาวางไว้เพื่อให้ฉันปีนขึ้นไปในระหว่างการประจักษ์ ฉันเห็นจุดสว่างและในนั้นคือการปรากฏของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ แม่พระทรงสวมผ้าคลุมหน้าและชุดสีน้ำเงิน สายรัดประคดสีขาวโอบรอบเอวของเธอ เธอมีดอกกุหลาบที่เท้าและมงกุฎอยู่ในมือ พระกุมารเยซูยังคงสวมชุดสีชมพูประดับด้วยดวงดาวสีทองและพระหัตถ์น้อยๆของพระองค์ประสานกัน ใบหน้าของพระองค์สงบและเกือบจะยิ้ม นักบุญโยเซฟสงบเงียบแต่ไม่ยิ้มแย้ม ท่านแต่งกายด้วยชุดสีน้ำตาล สวมผ้าสีน้ำตาลที่มีรูปร่างเหมือนเสื้อคลุมจากไหล่ลงมา และในมือขวาถือกิ่งไม้ดอกลิลลี่ที่กำลังบานอยู่ เทวดาตัวน้อยก็ยังอยู่ที่นั่น
แม่พระมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้ม แต่ฉันเป็นคนแรกที่พูดและบอกความปรารถนาของใครหลายคนด้วยคำพูดเหล่านี้: “ข้าแต่พระแม่ ผู้คนบอกให้ลูกถามพระแม่ว่าควรพาลูกที่ป่วยของพวกเขามาที่นี่เพื่อรับการรักษาหรือไม่ .
ด้วยเสียงสวรรค์,แม่พระตอบฉันว่า: "ไม่,ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะมาที่นี่, ผู้ที่มาได้ก็จะมาและตามการเสียสละของพวกเขา พวกเขาจะได้รับการรักษาหรือจะยังคงป่วยอยู่, แต่พวกเขาต้องไม่ทำบาปร้ายแรงอีกต่อไป ." ฉันขอร้องให้แม่พระทรงทำอัศจรรย์เพื่อให้ผู้คนเชื่อคำพูดของพระนาง แม่พระตอบฉันว่า: "สิ่งนั้นก็จะมาเหมือนกัน หลายคนจะกลับใจและแม่จะได้รับการยอมรับจากพระศาสนจักร" จากนั้นแม่พระทรงกล่าวเสริมอย่างจริงจัง: "จงใคร่ครวญไตร่ตรองคำเหล่านี้ทุกวันในชีวิตของลูก จงมีความกล้าหาญในความทุกข์ยากทั้งหมดของลูก ลูกจะพบกับแม่อีกครั้งในช่วงเวลาที่ลูกตาย แม่จะนำลูกมาไว้ภายใต้เสื้อคลุมของแม่และพาลูกไปสวรรค์" '
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่แปด
วันเสาร์ 20 พ.ค. 1944,18.00
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 30,000 คน
นิมิต: ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
แอดิเลด พร้อมด้วยพระสงฆ์ประจำโบสถ์ดอน เซซาเร วิตาลี และมาเรีย ลูกพี่ลูกน้องของเธอ ไปที่แบร์กาโมเพื่อพบพระสังฆราชเพื่อบอกความลับที่เธอได้รับจากแม่พระ ลูกพี่ลูกน้องบอกพระสังฆราชเกี่ยวกับการประกาศของแอดิเลดเรื่องอัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการประจักษ์รอบแรก
เย็นวันนั้นที่ Ghiiae มีฝูงชนจำนวนมากรอแอดิเลด
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'เหมือนกับทุกเย็น,ฉันไปที่ก้อนหินเพื่อรอแม่พระสุดที่รัก ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอีกครั้งและแม่พระบอกฉันว่า: "พรุ่งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะคุยกับลูก แล้วแม่จะให้ลูกคิดให้ดีเกี่ยวกับสิ่งที่แม่บอกกับลูกเป็นเวลาเจ็ดวัน พยายามเข้าใจให้ดีเพราะเมื่อลูกมีอายุมากขึ้น,ลูกจะต้องการมันมากถ้าลูกต้องการเป็นของแม่ทั้งครบ หลังจากเจ็ดวันนี้ แม่จะกลับมาอีกสี่ครั้ง” เสียงของแม่พระช่างกลมกลืนและสวยงามมากจนไม่ว่าฉันพยายามเลียนแบบมากแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันทำสำเร็จ
เช่นเดียวกับที่ฟาติมา ที่ Ghiaie ก็ยังมีปรากฏการณ์ท้องฟ้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ดร.เอเลียนา แม็กกีให้การเป็นพยานด้วยการสาบานเมื่อวันที่ 16 มกราคม 1946 ต่อหน้าคณะกรรมการตรวจสอบของพระสังฆราชว่า "วันเสาร์นั้นเป็นวันที่ฝนตก ในตอนต้นของการประจักษ์ แสงอาทิตย์ส่องมาเหนือศีรษะของเด็ก ผมเงยหน้าขึ้นและเห็นแสงรูปกางเขนบนท้องฟ้าและมีจุดสีทองและสีเงินโปรยปราย เป็นเวลาหนึ่งหรือสองนาที และทุกคนต่างโห่ร้องว่าอัศจรรย์”
Don Luigi Cortesi เขียนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ในคืนวันเสาร์นั้น:
"บางคนสังเกตเห็นลำแสงแปลกๆซึ่งส่องแสงสว่างมายังเด็กอย่างเข้มข้นและสะท้อนไปบนใบหน้าของคนที่อยู่โดยรอบ คนอื่นเห็นดวงอาทิตย์ในรูปของไม้กางเขน คนอื่นๆเห็นว่าจานดวงอาทิตย์หมุนเวียนเป็นวงกลมไม่เกินครึ่งเมตร ในชั้นบรรยากาศระดับล่าง,พวกเขาเห็นดวงดาวสีทองโปรยปราย, เมฆก้อนเล็กๆสีเหลืองเป็นรูปโดนัท,ซึ่งหนาแน่นมากและอยู่ใกล้มากจนบางคนพยายามจะคว้ามันด้วยมือ, ที่มือและใบหน้าของผู้ยืนดูมีแสงหลายสีที่หลากหลายที่สุดส่องกระทบ, แสงสีเหลืองมีมากที่สุด, เห็นมือที่เรืองแสง, ลูกโลกของแสงในรูปของแผ่นศีลมหาสนิท...''
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่เก้า
วันอาทิตย์ 21 พ.ค. 1944,18.00
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 200,000 คน
นิมิต: ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
การประจักษ์ของวันอาทิตย์นั้นเป็นครั้งสุดท้ายของรอบแรก ตั้งแต่เช้า,กระแสของมนุษย์ไหลลงใน Ghiaie di Bonate มีการเตรียมตู้ทึบไว้รอบสถานที่ประจักษ์ และในตอนบ่ายอาสาสมัครชายจะวางคนป่วยหลายคนไว้ที่นั่น ในระหว่างการประจักษ์ แอดิเลดได้รับการทดสอบมากมายจากแพทย์ที่อยู่ที่นั่น
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
การประจักษ์นี้ก็มีนกพิราบนำหน้าเช่นกัน และที่จุดสว่าง,ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้น โดยแต่งกายเหมือนเมื่อวานในท่ามกลางโบสถ์หลังหนึ่ง,ที่ประตูหลักของโบสถ์มี: ลาสีเทา, แกะขาว, สุนัขที่มีขนสีขาวมีจุดสีน้ำตาล, ม้าสีน้ำตาล สัตว์ทั้งสี่คุกเข่าและขยับปากราวกับว่าพวกมันกำลังสวดภาวนา ทันใดนั้นม้าก็ลุกขึ้นและเดินผ่านไปใกล้กับไหล่ของแม่พระ มันเดินออกจากประตูที่เปิดอยู่เดินไปตามถนนสายเดียวที่นำไปสู่ท้องทุ่งดอกลิลลี่ แต่มันไม่มีเวลาเหยียบย่ำดอกไม้มากเท่าที่มันต้องการเพราะว่านักบุญโยเซฟตามมันไปและนำมันกลับมา ทันทีที่มันเห็นนักบุญโยเซฟ ม้าตัวนั้นก็พยายามซ่อนตัวใกล้กำแพงที่ล้อมรอบทุ่งดอกลิลลี่ ที่นี่,มันยอมเชื่อฟังและเดินมาพร้อมกับนักบุญโยเซฟ ท่านพามันกลับไปที่โบสถ์ที่ที่มันคุกเข่าลงและสวดภาวนาต่อไป
วันนั้นฉันอธิบายข้อเท็จจริงนี้โดยบอกว่าม้าคือคนที่ไม่ดีที่ต้องการทำลายคนดี ตอนนี้ฉันสามารถอธิบายความรู้สึกที่เกิดจากนิมิตนั้นได้ดีขึ้น บนหลังม้า,ฉันเห็นคนหยิ่งทะนงและชั่วร้ายที่โลภในอำนาจ ผู้ซึ่งละทิ้งการสวดภาวนาและต้องการทำลายดอกลิลลี่ในทุ่งที่สวยงามนั้น มันเหยียบย่ำและทำลายความสดและความขาวอันเรียบง่ายของดอกไม้อย่างลับๆ
ควรสังเกตด้วยว่าในขณะที่ม้ากำลังกระทืบดอกไม้ในท้องทุ่งนั้น มันแสดงออกถึงความอาฆาตพยาบาทเพราะพยายามไม่ให้ถูกมองเห็น เมื่อม้าเห็นนักบุญโยเซฟเคลื่อนตัวไปตามมัน,มันก็ละทิ้งการทำความเสียหายที่ซ่อนเร้นและพยายามซ่อนตัวใกล้กำแพงสนาม เมื่อนักบุญโยเซฟเข้ามาหามัน, ท่านมองมันด้วยสายตาตำหนิติเตียนแต่ด้วยความอ่อนโยนและพามันกลับไปที่บ้านแห่งการสวดภาวนา ในขณะที่ม้าทำความเสียหาย สัตว์อื่นๆไม่ได้ถูกขัดจังหวะในการสวดภาวนา
สัตว์สี่ตัวเป็นตัวแทนของคุณธรรมสี่ประการที่ขาดไม่ได้ในการสร้างครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ม้าหรือก็คือหัวหน้าครอบครัว,ผู้ต้องไม่ละทิ้งการสวดภาวนา เพราะการห่างเหินการสวดภาวนาจะได้รับเพียงความวุ่นวายและความพินาศ.......ความอดทน, ความซื่อสัตย์, ความอ่อนโยน และความเงียบ คือสิ่งปรากฎอยู่ในสัตว์สัญลักษณ์ ในนิมิตนี้ไม่มีใครพูดและทุกอย่างก็ค่อยๆหายไป
หมายเหตุ - จุดที่ขนของสุนัขมีลักษณะเฉพาะหมายถึงความซื่อสัตย์ของบุคคลในครอบครัวที่อาจได้รับความเสียหายมากที่สุด ประตูที่เปิดออกของพระวิหารคือจิตใจอิสระที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทุกคน”
ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ที่น่าประทับใจในเย็นวันนั้นเกิดขึ้นที่ Ghiaie di Bonate และใน Lombardy
หลายคนเป็นประจักษ์พยานของคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุและในเมืองใกล้เคียง เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น ดวงอาทิตย์ก็ออกมาจากก้อนเมฆ เปลี่ยนเป็นแสงสีเหลือง เขียว แดง น้ำเงิน และม่วงในทุกทิศทางที่กระทบกับก้อนเมฆ ท้องทุ่ง ต้นไม้ และฝูงชน หลังจากนั้นไม่กี่นาที ดวงอาทิตย์ก็หยุดและกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกในทันทีด้วยปรากฏการณ์เดียวกัน หลายคนสังเกตเห็นว่าจานดวงอาทิตย์กลายเป็นสีขาวเหมือนแผ่นศีลมหาสนิท เมฆดูเหมือนจะลดระดับลงมาใกล้ผู้คน บางคนสังเกตเห็นพวงหรีดสายประคำบนท้องฟ้า บางคนเห็นรูปร่างที่สง่างามของสุภาพสตรีที่สวมเสื้อคลุม คนอื่นๆเห็นพระพักตร์ของแม่พระปรากฏอยู่ในดวงอาทิตย์ในระยะไกล จากแบร์กาโม,พยานหลายคนสังเกตว่าดวงอาทิตย์เริ่มซีดและสาดส่องแสงสีไปทั่วทุกทิศทุกทาง และสังเกตเห็นแถบสีเหลืองขนาดใหญ่ที่มีความสว่างจ้าลงมาจากด้านบนของท้องฟ้าในแนวตั้งฉากกับ Ghiaie.
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่สิบ
วันอาทิตย์ 28 พ.ค. 1944,18.00
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 300,000 คน
นิมิต : พระแม่มารีย์มีนักบุญสององค์อยู่เคียงข้าง
แอดิเลดใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในการเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจ,ในเมืองแบร์กาโมกับพี่น้อง,เออร์ซูลีน,เพื่อเตรียมตัวสำหรับการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของเธอ ผู้แสวงบุญหลายคนที่ได้รับการกระตุ้นด้วยความเชื่ออันยิ่งใหญ่ได้มาถึง Ghiaie di Bonate คำเล่าลือของการรักษาอัศจรรย์ได้แพร่กระจายออกไป มันคือวันเพ็นเทคอสต์ แอดิเลดได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกของเธอและถูกพากลับไปแบร์กาโมโดยบรรดาซิสเตอร์ เธอกลับมายังสถานที่ประจักษ์ในตอนบ่ายแก่ๆ
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ในวันนี้ฉันได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก, เช่นเดียวกับในตอนเย็นวันอื่นๆ,ฉันถูกพาไปยังสถานที่ที่ประจักษ์และจุดสว่างก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเพื่อแสดงให้เห็นแม่พระพร้อมกับเทวดาตัวน้อยและนักบุญสององค์ที่อยู่ข้างพระนาง แม่พระตรัสกับฉันว่า “จงสวดภาวนาเพื่อคนบาปที่ดื้อรั้นที่ทำให้ใจของแม่เป็นทุกข์เพราะพวกเขาไม่คิดถึงความตาย จงสวดภาวนาเพื่อพระสันตะปาปาด้วยเพราะ พระองค์ถูกคนมากมายพยายามทำร้ายพระองค์ แม่จะปกป้องพระองค์และพระองค์จะต้องไม่ทิ้งวาติกัน สันติภาพจะดำรงอยู่ไม่นาน แต่ใจของแม่ปรารถนาสันติภาพของโลกที่ซึ่งทุกคนรักกันเหมือนพี่น้อง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พระสันตะปาปาจะมีความทุกข์น้อยลง "
แม่พระถือนกพิราบสีดำสองตัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการรวมกัน,ที่คู่สมรสต้องมีเพื่อสร้างครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การเฝ้ามองของแม่พระ และยังเป็นการสอนด้วยว่าไม่มีครอบครัวที่ศักดิ์สิทธิ์หากปราศจากการดำรงชีวิตอย่างมั่นใจในพระหัตถ์ของแม่พระ
พระแม่มารีย์มิได้ทรงเปิดเผยชื่อนักบุญสององค์นั้นที่อยู่ข้างพระนาง ด้วยการดลใจภายในเท่านั้นที่ทำให้ฉันมีความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับชื่อของพวกท่าน นั่นคือ: นักบุญมัทธิวและนักบุญยูดาส ชื่อยูดาสมีความทรงจำที่น่าเศร้าสำหรับฉัน,เพราะถึงแม้ว่าโดยไม่ได้ตั้งใจ,ฉันอาจทรยศต่อพระแม่ ในการประจักษ์นี้,ฉันได้เห็นความเมตตาอันงดงามของแม่พระ,ผู้ที่โดยทรงแสดงให้ฉันเห็นยูดาสผู้ศักดิ์สิทธิ์, ทรงต้องการเตือนฉันให้ระวังในการทดลองต่างๆที่ฉันจะได้ประสบ เพื่อยืนยันถ้อยคำเยี่ยงมารดาและถ้อยคำที่แน่นอนของพระนาง,ซึ่งน่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถรักษาไว้ได้ ในหัวใจของฉัน ฉันรู้สึกถึงน้ำหนักของความผิดพลาดครั้งใหญ่ของฉัน แต่ถึงแม้ฉันจะเลียนแบบยูดาสผู้ทรยศ ฉันก็ยังต้องการชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ตามแบบอย่างของยูดาสผู้ศักดิ์สิทธิ์ โดยการเป็นอัครสาวกและผู้พลีชีพเพื่อความรักของพระเยซูและแม่พระ นักบุญมัทธิวเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันมีความเชื่อมั่นในความรอดของฉัน เพราะท่านเองก็เป็นคนบาปที่ติดตามพระเยซูและกลายเป็นอัครสาวกแห่งพระนามของพระองค์
นักบุญทั้งสองสวมเสื้อคลุมสีม่วงกับเสื้อคลุมสีน้ำตาล พระแม่มารีย์สวมชุดสีแดงกับเสื้อคลุมสีเขียว บนหน้าผากของแม่พระมีมงกุฎประดับด้วยไข่มุกเรืองแสงขนาดเล็กหลากสี ก่อนจะจากไป,แม่พระทรงหันไปมองนักบุญทั้งสอง แล้วค่อยๆหายไป'
ปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์เกิดขึ้นซ้ำอีก และไม่เพียงพบเห็นที่ Ghiaie เท่านั้น แต่ยังเห็นในสถานที่ที่ห่างไกลออกไปมากอีกด้วย
จากหนังสือข่าวของโบสถ์แห่งทาเวอร์โนลา ลงวันที่มิถุนายน 1944 เราอ่านได้ความว่า: "เมื่อเวลา 18.00 น. ที่บริเวณนั้น แสงแดดได้อ่อนลงพร้อมกับมีแสงวาบราวกับฟ้าแลบอย่างกะทันหัน บางคนสังเกตเห็นได้ชัดเจนในตอนแรก พวกเขามองดูดวงอาทิตย์ก็เห็นเป็นสีเขียว,แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสด,สีเหลืองทอง,ยิ่งไปกว่านั้นดวงอาทิตย์หมุนติ้วรอบตัวเอง เมื่อเห็นภาพนั้น,ผู้คนหลั่งไหลกันไปตามท้องถนน..." ในภายหลังจึงได้รู้,ตามการเปิดเผยของนายพลคาร์ล วูลฟ์ในอิตาลี,ว่าพระสันตะปาปากำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงที่จะถูกเนรเทศและโรมเสี่ยงที่จะเป็นสตาลินกราดที่สอง
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่สิบเอ็ด
วันจันทร์ 29 พ.ค. 1944,18.32
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 300,000 คน
นิมิต : พระแม่มารีย์กับเทวดาน้อยแปดองค์
ในวันจันทร์นั้น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามายังสถานที่ประจักษ์ ผู้ป่วยและผู้ทุพพลภาพมากมายหลั่งไหลมาเป็นที่น่าประทับใจที่ Ghiaie di Bonate ซึ่งจำเป็นต้องจัดบริการพิเศษของอาสาสมัคร,พยาบาล,แพทย์, และรถพยาบาล มีการรักษาที่อัศจรรย์มากมายในพื้นที่นี้ ซึ่งคูเรียแห่งแบร์กาโมได้จัดตั้งสำนักงานพิเศษสำหรับการสอบสวนตามพิธีการ
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ในการประจักษ์นี้,พระแม่มารีย์ยังคงปรากฏมาพร้อมกับเทวดาตัวน้อย,พระนางทรงสวมชุดสีแดงและเสื้อคลุมสีเขียว และการประจักษ์ของแม่พระนำหน้าด้วยนกพิราบทั้งสองและจุดเรืองแสง ในมือของแม่พระ,ยังมีนกพิราบสองตัวที่มีขนสีดำ และสายประคำคล้องอยู่บนแขนของพระนาง
แม่พระยิ้มให้ฉันแล้วพูดว่า: "คนป่วยที่ต้องการได้รับการรักษาให้หายต้องมีความวางใจมากขึ้นและให้ความทุกข์ของพวกเขาเป็นการชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์หากพวกเขาต้องการได้รับสวรรค์ ถ้าไม่ทำเช่นนี้,พวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลและจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง แม่หวังว่าทุกคนที่รู้ถ้อยคำของแม่นี้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้สวรรค์ บรรดาผู้ที่ทนทุกข์โดยไม่บ่น,จะได้รับสิ่งที่พวกเขาวอนขอจากแม่และองค์พระบุตรของแม่ จงสวดภาวนามากๆเพื่อวิญญาณที่ป่วยหนัก พระบุตรของแม่,พระเยซู,ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อช่วยพวกเขาให้ได้รับความรอด หลายคนไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ของแม่และเพราะเหตุนี้แม่จึงเป็นทุกข์”
ขณะที่แม่พระยกมือขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากเพื่อส่งจุมพิตให้ฉันด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือประสานกัน, นกพิราบตัวน้อยสองตัวก็โบยบินไปรอบๆแม่พระและติดตามแม่พระขณะที่พระนางเดินจากไปอย่างช้าๆ
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่สิบสอง
วันอังคาร 30 พ.ค. 1944,18.50
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 250,000 คน
นิมิต : พระแม่มารีย์กับเทวดาน้อย
วันนั้น,อากาศที่ร้อนนั้นช่างน่ากลัว นอกจากความร้อนและความเหนื่อยล้าแล้ว ยังยากที่จะทนต่อแรงกระแทกจากฝูงชนที่ปะทะกับรั้วอย่างรุนแรง
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ในการประจักษ์นี้,แม่พระได้ปรากฏแก่ฉันในชุดสีชมพูและผ้าคลุมศีรษะสีขาว แม่พระไม่มีนกพิราบดำอยู่ในมือ และรอบๆแม่พระมีเพียงเทวดาตัวน้อย
ด้วยรอยยิ้มที่มากกว่าความเป็นแม่ แม่พระบอกกับฉันว่า “ลูกที่รัก,ลูกเป็นของแม่ทั้งครบ แต่ถึงแม้ลูกจะเป็นที่รักแห่งดวงใจของแม่ แต่พรุ่งนี้แม่จะละทิ้งลูกไว้ในหุบเขาแห่งน้ำตาและความเจ็บปวดนี้ ลูกจะได้เห็นแม่อีกครั้งในช่วงเวลาแห่งความตายของลูกและแม่จะปกคลุมลูกไว้ภายใต้ผ้าคลุมของแม่,แม่จะนำลูกไปสวรรค์ และพร้อมกับลูก,แม่จะพาผู้ที่เข้าใจลูกและผู้ที่ทนทุกข์ไปด้วย”
แม่พระทรงอวยพรและจากไปเร็วกว่าเย็นวันอื่นๆ'
* * * * * * *
การประจักษ์ครั้งที่สิบสาม
วันพุธ 31 พ.ค. 1944,20.00
ผู้เข้าร่วม: ประมาณ 350,000 คน
นิมิต: ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
ผู้แสวงบุญจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน,มากเสียจนทางการเป็นห่วงเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นอย่างมาก คาดว่ามีผู้คนเดินทางมาจากเปียตมอมต์(Piedmont) มากถึง 90,000 คนและหลายคนเดินมา บ่ายวันนั้นแดดจ้าและฝูงชนก็มีจำนวนมาก เวลาประมาณ 18:30 น. นายทหารระดับผู้บัญชาการคนหนึ่งนำแอดิเลดไปยังสถานที่ประจักษ์ แอดิเลดรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง แพทย์ปรึกษาหารือกัน แม้ว่าเธอจะทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่มีใครสามารถชักชวนให้เธอกลับบ้านได้ ทันใดนั้น,เธอลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบากและเริ่มสวดภาวนา ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ตอนนี้พระนางกำลังมา!” แอดิเลดถอนหายใจเฮือกใหญ่ นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นั่น
จากสมุดบันทึกของแอดิเลด:
'ในวันนี้แม่พระเสด็จมาเวลาแปดนาฬิกา(สองทุ่ม) พระนางแต่งตัวเหมือนในการประจักษ์ครั้งแรก แม่พระทรงยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่สวยงามเหมือนในคืนอื่นๆ แต่เสียงของพระนางอ่อนโยน
แม่พระบอกกับฉันว่า “ลูกที่รัก แม่เสียใจที่ต้องจากลูกไป แต่เวลาของแม่ผ่านพ้นไปแล้ว อย่าได้ท้อแท้หากลูกไม่ได้พบแม่ชั่วระยะหนึ่ง จงคิดถึงสิ่งที่แม่ได้บอกกับลูก ในเวลาแห่งความตายของลูก,แม่จะกลับมาอีกครั้ง ในหุบเขาแห่งความเศร้าโศกที่แท้จริงนี้,ลูกจะเป็นมรณะสักขีตัวน้อยๆ จงอย่าท้อแท้หมดกำลังใจ แม่ปรารถนาในชัยชนะของแม่ในเร็วๆนี้ ขอให้สวดภาวนาเพื่อพระสันตะปาปาและบอกให้พระองค์ทรงรีบเพราะแม่ต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ถึงแม่ในสถานที่นี้ สิ่งใดที่พวกเขาวอนขอจากแม่,แม่จะวิงวอนต่อองค์พระบุตรของแม่ แม่จะเป็นรางวัลของลูกถ้าการเป็นมรณะสักขีของลูกเป็นสิ่งที่น่ายินดี ถ้อยคำของแม่เหล่านี้จะเป็นการปลอบประโลมใจลูกในช่วงเวลาแห่งการทดลองของลูก จงแบกรับทุกสิ่งด้วยความอดทนเพื่อที่ลูกจะไปกับแม่สู่สวรรค์ ผู้ที่จงใจทำให้ลูกต้องทนทุกข์ทรมานจะไม่ได้เข้าสวรรค์เว้นแต่พวกเขาจะได้กลับใจและสำนึกผิดอย่างจริงใจเสียก่อน จงมีใจเบิกบานเถิด,แล้วเราจะได้พบกันอีก,มรณสักขีน้อยๆของแม่”
ฉันรู้สึกได้ถึงการจุมพิตอันอ่อนหวานและอ่อนโยนบนหน้าผากของฉัน แล้วพระนางก็หายไปเหมือนในคืนอื่นๆ
* * * * * * *
หมายเหตุ - การเสด็จมาของแม่พระทุกครั้งนำหน้าด้วยนกพิราบขาวสองตัว พระแม่มารีย์จะมีดอกกุหลาบสีขาวอยู่ที่พระบาทของพระนางเสมอ'
และเช่นเดียวกัน,ในวันที่ 31 พฤษภาคม ก็มีปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ทั้งที่ Ghiaie และที่อื่นๆ อัศจรรย์การเยียวยารักษษหลายครั้งเกิดขึ้นในวันนั้นด้วย
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น