พลังงานที่มาจากการกลับคืนพระชนม์ทำให้เกิดรูปภาพประทับบนเนื้อผ้า
“แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง” (มธ 17:2)
“ใบหน้าของเขาดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า” (วิวรณ์ 1:16)
ในเทศกาลอีสเตอร์นี้ ความลึกลับของการฟื้นคืนพระชนม์ยังคงอยู่ต่อหน้าเรา พระคริสต์ทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษย์ได้เอาชนะความตายแล้ว! นี่คือข่าวดีที่เราควรจะตะโกนดังๆจากหลังคาบ้าน นี่คือเหตุผลที่คริสตศาสนามีความพิเศษเฉพาะตัว แน่นอน,พระคริสต์ไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น พระองค์ทรงเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงเป็นผู้เบิกทางในการฟื้นคืนชีพทางร่างกาย พระองค์ทรงเป็นผลแรก เพื่อว่าในวันสิ้นพิภพ,เราจะได้กลับฟื้นคืนชีพฝ่ายร่างกายชั่วนิรันดร นักบุญเปาโลบอกเราว่า “มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น” (1 โค. 15:22) ในขณะที่มนุษย์ทุกคนได้รับบาปและความตายมาจากอาดัม บัดนี้ มนุษยชาติทั้งหมดสามารถลุกขึ้นจากความตายมาสู่ชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะลุกขึ้นมาเพื่อรับความดีหรือเพื่อความหายนะ
ช่วงเวลาแห่งการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสตเจ้า พระกายของพระองค์อาจถูกบันทึกไว้เหมือนภาพถ่ายในทันทีทันใดในผ้าที่ใช้ห่อพระวรกายของพระองค์ ผ้าห่อพระศพแห่งตูรินเป็นรอยประทับของการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสตเจ้า แม้ว่าพระศาสนจักรจะไม่ได้รับรองอย่างเด็ดขาดในเรื่องความถูกต้อง เว็บไซต์La Stampa,เว็บไซต์ของวาติกันได้ลงข่าวในปี 2011 ในรายงานของ ENEA (สำนักงานเทคโนโลยีใหม่แห่งชาติ พลังงานและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน) ที่ทำการวิจัยผ้าห่อพระศพเพื่อพยายามทำความเข้าใจกระบวนการทำให้เกิดภาพรอยประทับของพระเยซูเจ้า มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าผ้าห่อพระศพ(Shroud)ไม่ได้ถูกสร้างด้วยการระบายสีเหมือนของปลอมหลายชิ้นที่ทำกันในยุคกลาง แต่จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นภาพของผ้าห่อพระศพถูกประทับในผ้าด้วยแหล่งกำเนิดแสงของรังสีที่รุนแรง อันที่จริง,รายงานของ ENEA ระบุว่าจำเป็นต้องใช้ VUV (แสงอัลตราไวโอเลตในสุญญากาศ)ถึง “34 พันล้านวัตต์” เพื่อทำให้เกิดภาพบนผ้าห่อพระศพได้ นั่นคือปริมาณ 34,000,000,000,000 วัตต์ของพลังงานแสงอัลตราไวโอเลต! นั่นคือต้องใช้ “[เครื่องยิงเลเซอร์] ที่ทรงพลังที่สุดที่มีกำลังไฟหลายพันล้านวัตต์” นี่จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้แม้แต่ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ภาพเนกาตีฟในผ้าห่อพระศพแห่งตูรินปรากฏขึ้นบนเนื้อผ้าได้อย่างไร? ผ้ามีมาแต่ยุคกลาง แต่การประดิษฐ์ภาพถ่ายเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ?
มีรายละเอียดที่ถูกต้องของรูปภาพเกี่ยวกับบาดแผลและร่องรอยของเลือด แม้กระทั่งร่องรอยของเหรียญซึ่งตามพิธีกรรมโบราณในกรุงเยรูซาเล็ม เขาจะวางเหรียญไว้บนดวงตาของศพ
รูปภาพปรากฏขึ้นได้อย่างไร?
หนังสือที่น่าทึ่งของเอียน วิลสัน(Ian Wilson)ชื่อ The Shroud of Turin, เขารายงานว่า นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาคำตอบในเรื่องนี้ และพวกเขาคาดว่าภาพนั้นถูกพิมพ์บนเนื้อผ้าในเวลาของการระเบิดอย่างรุนแรง เหมือนการระเบิดที่ตกลงบนฮิโรชิมา ทำให้เกิดแสงวาบของระเบิดปรมาณูซึ่งได้ทิ้งรอยเงาสิ่งของไว้บนพื้นซีเมนต์
แสงจากนิวเคลียร์สามารถพิมพ์รอยเงาได้ ดังรูปข้างบน คุณจะเห็นรอยเงาของวงล้อหมุนวาวล์ถูกพิมพ์ติดอยู่บนผนังของแท๊งค์ก๊าซอย่างถาวรตามแสงอันแผดเผาของการระเบิดที่ฮิโรชิมา
เขาตั้งข้อสังเกตว่า รูปภาพบนผ้าห่อพระศพก็อาจเกิดขึ้นในลักษณะแบบเดียวกันนี้ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นใน “เวลาเพียงเสี้ยววินาที” ด้วย”พลังอำนาจ” คือพลังงานที่เกิดจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสตเจ้า
รูปปั้นที่นำเสนอในรูปแบบ 3 มิติของชายผู้อยู่ในผ้าห่อพระศพแห่งตูริน(Man of the Holy Shroud of Turin) เป็นผลงานของประติมากร Juan Manuel Miñarro จาก Andalucía ประเทศสเปน
รูปปั้นนี้จัดแสดงสำหรับผู้ศรัทธาชาวบาเลนเซีย ประเทศสเปน โดยองค์กรระดับนานาชาติที่ตั้งอยู่ที่นั่น และอุทิศให้กับการศึกษาผ้าห่อศพแห่งตูริน หรือ Centro Español de Sindonología
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น