วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2565

พระเยซูเจ้าประทานโอกาสครั้งสุดท้ายแก่สตาลิน

 


 
นำมาจาก Forums of the Virgin Mary
 

พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ลูกทั้งหลายของพระองค์ต้องสูญเสียไปแม้แต่คนเดียว แม้ว่าพวกเขาจะได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดอย่างรู้ตัวมาเป็นเวลานานและปราศจากการกลับใจ และพระองค์ทรงให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่พวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะมาปรากฏตัวเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ในการพิพากษาทีละคนหลังความตาย
 
เราไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เรามีคำบอกเล่าของผู้ได้รับพระพรพิเศษชาวอิตาลีและพระสงฆ์ผู้แนะนำฝ่ายวิญญาณของเธอ, เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงประทานโอกาสในการกลับใจให้แก่โยเซฟ (โจเซฟ) สตาลิน(Yosef (Joseph) Stalin) ผู้นำโซเวียตผู้ฉาวโฉ่ ซึ่งการกระทำของเขานำไปสู่การเสียชีวิตของคนนับล้าน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยูเครน) ซึ่งเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายสำหรับเขาในการกลับใจ
 
เราขอเล่าถึงการที่มาเรีย เทเรซา คาร์โลนี(Maria Teresa Carloni) มิสติกชาวอิตาลี(ผู้ได้รับพระพรพิเศษ)เข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือเพื่อที่พระเจ้าจะให้โอกาสสุดท้ายแก่สตาลิน,และผลลัพท์ที่ได้จากโอกาสนี้ต่อผู้นำเผด็จการโซเวียตเป็นอย่างไร 
นอกจากฟูเลอร์(ฮิตเลอร์) และ เหมา เทซ์ตุง แล้ว สตาลินยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเรา 
สตาลินเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1922 ถึง 1952 และจากจำนวนคนที่เขาปกครอง,และความทุกข์ทรมานที่เขาก่อขึ้นภายหลังช่วงสงครามเย็น,และส่งไปยังส่วนอื่นๆของโลก,ทำให้เขาได้ขึ้นแท่นเป็นอาชญากรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยตรงที่เกิดขึ้นโดยสตาลินนั้นมีมากกว่า 36 ล้านคน แม้ว่านักเขียน Alexander Solzhenitsyn ในหนังสือที่มีชื่อเสียงของเขา Gulag Archipelago จะระบุตัวเลขเหยื่อถึง 66.7 ล้านคนจากระบอบการปกครองของสหภาพโซเวียตระหว่างการเกิดขึ้นของลัทธิคอมมิวนิสต์ (ภายใต้ Vladimir Lenin)ในปี 1917 และ 1959 (ภายใต้สตาลินผู้สืบทอดตำแหน่งเลนิน,ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 1953) 
หายนะภัยที่เกิดขึ้นต่อประชาชนในยูเครน หรือที่เรียกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Holodomor ระหว่างปี 1932 และ 1933 มีประมาณ 7 ถึง 10 ล้านคน 
ผู้สืบทอดของเลนินคนนี้ได้ทำการกวาดล้างเพื่อนร่วมชาติของเขาซึ่งทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจ เ
ขาได้ก่อตั้งระบอบแห่งความหวาดกลัวอันน่าสยดสยองที่มาสู่คนในครอบครัวของเขาเอง 
ถึงแม้ว่าชาวคอมมิวนิสต์ - รัสเซียจะยกย่องเขาในฐานะพระเจ้า แต่คนรอบข้างเขา,ไม่มีใครที่ลืมความน่าหวาดกลัวของเขาและการกวาดล้างอย่างต่อเนื่องของเขา
 
สเวตลานา(Svetlana) ลูกสาวของสตาลินเอง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นคาทอลิก กล่าวถึงเขาว่า: 
“พ่อของฉันถูกปีศาจร้ายเข้าครอบงำ เขาถือว่าความกรุณาและความเมตตานั้นเลวร้ายยิ่งกว่าอาชญากรรมร้ายแรง"
 
และขอให้เราจำไว้ว่าสตาลินเคยเป็นสามเณรในวัยหนุ่มและรู้จักพระคัมภีร์และศาสนาคริสต์เป็นอย่างดี! 
แต่คุณพ่อกาเบรียล เอม็อธ(Gabriele Amorth) และคุณพ่อแอนโตนีโอ ฟอร์ที(Antonio Fortea),พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจ,คิดว่าทั้งฮิตเลอร์และสตาลินถูกปีศาจเข้าครอบงำ แม้ว่าพวกเขาจะอ้างว่าไม่ใช่ก็ตาม
 
ในการเข้าครอบงำส่วนใหญ่,ปีศาจเข้าครอบครองร่างของเหยื่อ แต่ไม่สามารถสัมผัสวิญญาณหรือมโนธรรมของเขาได้ และในหลายกรณี บุคคลนั้นยังสามารถไปสารภาพบาปและรับศีลมหาสนิท เนื่องจากวิญญาณของเขายังปราศจากความผิดตราบใดที่เกี่ยวข้องกับจิตใจอิสระของเขา
 
อย่างไรก็ตาม ผู้นำทางการเมืองที่ชั่วร้ายทั้งสองนี้ไม่ได้ทำตัวเป็นเหยื่อของการถูกปีศาจเข้าครอบงำ แต่ดูเหมือนพวกเขาเต็มใจที่จะทำให้ความชั่วร้ายของปีศาจกลายเป็นของเขาเอง 
จิตใจอิสระของพวกเขาไม่ได้ถูกซาตานละเมิด,และทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น: 
พวกเขาทำการฆาตกรรมโดยใช้จิตใจอิสระของพวกเขา และพวกเขายินดีที่จะทำเช่นนั้น การร่วมมือกับปีศาจด้วยความเต็มใจนี้เรียกว่า “การเข้าครอบครองที่สมบูรณ์แบบ”
 
แต่พระเจ้าต้องการช่วยทุกคนให้รอดและให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่พวกเขาเสมอแม้ว่าพวกเขาจะทำบาปที่ชั่วร้ายที่สุดก็ตาม
 

และพระองค์ทรงให้โอกาสนี้แก่โจเซฟ สตาลิน โดยผ่านทางผู้น่าเคารพ มาเรีย เทเรซา คาร์โลนี(venerable Maria Teresa Carloni),ผู้ได้รับพระพรพิเศษ(มิสติก)ชาวอิตาลี(กำลังมีการดำเนินการเพื่อการสถาปนาเป็นบุญราศีต่อไป)
 
เธอไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักในประเทศตะวันตกเพราะการกระทำอันยิ่งใหญ่ของเธอดำเนินอยู่หลังม่านเหล็ก เธอได้รับพระพรให้อยู่สองแห่งในเวลาเดียวกันเพื่อช่วยเหลือพระสังฆราชและพระสงฆ์ที่ถูกเบียดเบียน เธอนำข้อมูลเหล่านั้นมาให้พระสันตะปาปา,ตั้งแต่พระสันตะปาปาปิอุสที่12 ถึงพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เกี่ยวกับสิ่งที่เธอเห็นในสถานที่ที่เธอไป และเธอยอมรับเอาความทุกข์ทรมานของพระสังฆราชและพระสงฆ์มาไว้ในร่างของเธอ,เพื่อที่ท่านเหล่านั้นจะได้ปฏิบัติภารกิจของพวกท่านต่อไป
 

เธอเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย,ชนชั้นสูง,และคาทอลิก แต่เธอได้พบกับพระสงฆ์และแม่ชีบางคนที่ไม่ได้ดำเนินชีวิตที่ดีน่าเคารพ จึงทำให้เธอออกจากพระศาสนจักรไป 
เธอศึกษาด้านการพยาบาลและในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง,เธอทำงานเป็นนางพยาบาลให้กับคณะอธิปไตยแห่งมอลตาในกรุงโรม(Sovereign Order of Malta in Rome) กองทัพได้มอบเหรียญเงินสำหรับความกล้าหาญให้กับเธอ 
เธอช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากการทิ้งระเบิดในกรุงโรม เธอทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระสงฆ์ผู้หนึ่งที่สวมชุดขาว แต่เธอจำพระสงฆ์ท่านนั้นไม่ได้,ที่แท้พระสงฆ์ท่านนั้นคือพระสันตะปาปาปิอุสที่12 
แต่พระสันตะปาปาจะจำเธอได้ในเวลาต่อมา,ในการเสด็จเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล และการสนทนากับเธอที่นั่นได้ปลุกความศรัทธาในตัวเธอขึ้นอีกครั้ง 
เมื่อเธออายุ 32 ปี คุณยายของเธอกำลังจะเสียชีวิต และมาเรียได้นัดหมายกับพระสงฆ์ประจำโบสถ์นักบุญฟรังซิส,ในเมืองเออร์บิโน คุณพ่อคริสโตโฟโร คัมพานา,ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปของเธอและท่านตกลงที่จะเป็นผู้แนะนำฝ่ายวิญญาณของเธอด้วย มาเรียได้กลับมาสู่พระศาสนจักรแล้ว
 
และในการถูกกักกันเพราะโรคระบาด,เธอรู้สึกว่ามีเสียงที่พูดกับเธอ, ซึ่งต่อมาเธอระบุว่าเป็นเสียงของพระเยซู 
เธอบอกเรื่องนี้แก่คุณพ่อคัมพานาและท่านแนะนำเธอว่าอย่าไปสนใจเสียงนั้น อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคัมพานาเริ่มศึกษาเรื่องลึกลับนี้และขอให้ท่านอยู่ใกล้เธอเมื่อเธอได้ยินเสียงนั้น 
เมื่อคุณพ่อคัมพานาอยู่ด้วยในระหว่างการได้รับสาส์น,มาเรีย เทเรซาบอกคุณพ่อว่าเสียงนั้นพูดอะไร แม้ว่าตัวเธอเองจะจำสิ่งที่พูดไม่ได้ 
และในวันศุกร์วันหนึ่งพระเยซูตรัสกับคุณพ่อคัมพานาผ่านทางมาเรีย เทเรซาและบอกกับเธอว่า “เราต้องการให้ความทุกข์ทรมานของเราเกิดขึ้นอีกครั้งในหญิงผู้นี้ ท่าน,ในฐานะบิดาฝ่ายวิญญาณของเธอ,สามารถยอมรับหรือปฏิเสธคำขอนี้ได้ เพราะท่านคือผู้มีอำนาจที่เป็นตัวแทนของเรา แต่ท่านต้องรู้ว่านี่คือความประสงค์ของเรา” 
คุณพ่อคัมพานาถามมาเรีย เทเรซาว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ เธอตอบว่ายอมรับและพระสงฆ์ก็อนุญาตให้เธอรับรอยแผลของพระเยซู,พระองค์ประกาศว่าจะเป็นวันศุกร์หน้า,และเธอได้รับความเจ็บปวดจากพระมหาทรมานต่อหน้าพระสงฆ์ 
คุณพ่อคัมปานาถึงกับร้องไห้คุกเข่าลงเพราะได้เห็นความเจ็บปวดของมาเรียจากการที่ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ 
และในเวลาต่อมา,พระเยซูจะทรงขออนุญาตคุณพ่อคัมพานาให้มาเรียเข้าร่วมพระมหาทรมานของพระคริสต์อีกครั้งเพื่อการกลับใจของคนบาป 
มาเรียยอมรับและคุณพ่อคัมพานาก็อนุญาต 
และในปี 1953 สตาลินล้มป่วย วันศุกร์วันหนึ่ง,เมื่อมาเรีย เทเรซากำลังทุกข์ทรมานจากพระมหาทรมานของพระเยซูในร่างกายของเธอ พระเยซูทรงแจ้งแก่คุณพ่อคัมพานาถึงการเสียชีวิตของอิวานา พุชกิน(Ivana Pushkin) 
อิวานา พุชกินเป็นหลานสาวของ Alexander Pushkin ซึ่งถือเป็นบิดาแห่งวรรณคดีรัสเซียร่วมสมัย 
และอิวานาได้เสนอตัวเองเป็นผู้รับความทุกข์เพื่อความรอดของรัสเซีย แต่เธอไม่ขอความรอดสำหรับสตาลินเนื่องจากอาชญากรรมที่น่ากลัวที่เขาก่อขึ้น 
แล้วพระเยซูก็ขอให้คุณพ่อคัมพานาถามมาเรีย เทเรซาว่าเธอต้องการจะเข้ามาแทนที่อิวานา พุชกินเพื่อความรอดของรัสเซียและประเทศอื่นๆที่ปกครองโดยลัทธิวัตถุนิยมที่ไม่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่ 
และมาเรีย ตอบว่า:“หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าและพระองค์ประทานพละกำลังที่จำเป็นแก่ฉัน ฉันก็ยอมรับ” 
และด้วยการยอมรับนี้ทำให้ความทุกข์ทรมานทางวิญญาณและร่างกายของพวกเขาเพิ่มขึ้น รวมถึงการโจมตีของปีศาจด้วย
 
และต้นเดือนมีนาคม 1953 สตาลินกำลังใกล้จะตาย 
วันศุกร์ถัดมา,พระเยซูทรงบอกคุณพ่อคัมพานาว่า “ในเวลานี้เราจะขอบางอย่างกับท่าน,ถ้าท่านอนุญาตเราและหญิงผู้นี้ยอมรับด้วย ก่อนที่สตาลินจะเสียชีวิต เราต้องการให้โอกาสแก่เขาในการช่วยตัวเองให้รอด เช่นเดียวกับที่เราทำกับวิญญาณอื่นๆที่ได้รับการไถ่มาแล้วทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะก่ออาชญากรรมก็ตาม ถ้าท่านทั้งสองคนตกลง เราขอให้ท่านมอบเวลาสามชั่วโมงนี้เพื่อวิญญาณของสตาลิน แต่อย่าตื่นตระหนกกับความทุกข์ทรมานที่หญิงผู้นี้จะต้องทนรับ” 
มาเรีย เทเรซายอมรับสิ่งนี้และเธอต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากเป็นเวลาสามชั่วโมง 
คุณพ่อคัมพานา.ซึ่งอยู่กับเธอ,ร้องไห้ไม่หยุดและพูดว่า "พอแล้ว,พอแล้ว"
 


และหลังจากสามชั่วโมงผ่านไป,ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ
 
มาเรีย เทเรซาไม่เคยรู้ว่าผลลัพธ์ของความทุกข์ทรมานที่เธอได้รับเพื่อการกลับใจของสตาลินเป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าสตาลินจะไม่ได้รับประโยชน์จากพระหรรษทานที่พระเยซูทรงมอบให้เขาในขณะที่เขาเสียชีวิต เพราะผู้ได้รับพระพรพิเศษชาวอิตาลีอีกคน, บุญราศีซิสเตอร์เอเลนา ไอเอลโล,ซึ่งได้รับพระพรให้เห็นนรก,และเธอเห็นวิญญาณของสตาลินและสถานที่ในนรกที่เตรียมไว้สำหรับผู้ติดตามเขา
 
ซึ่งหากเป็นจริง,ก็เป็นการยืนยันความคิดเห็นของคุณพ่อเอม็อธและคุณพ่อฟอร์ที,พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจ,ซึ่งบอกว่าสตาลินเต็มใจยอมรับที่จะไปอยู่กับปีศาจ
 
หลังจากการตายของสตาลิน,การเบียดเบียนพระศาสนจักรในประเทศคอมมิวนิสต์ยังคงดำเนินต่อไป ความทุกข์ทรมานของมาเรีย เทเรซาก็เพิ่มขึ้น และปรากฏการณ์ลึกลับใหม่ๆก็ได้เริ่มต้นขึ้น
 
มาเรีย เทเรซา ได้อยู่สถานที่สองแห่งในเวลาเดียวกันเพื่อช่วยเหลือและปลอบโยนพระสังฆราชและพระสงฆ์ที่ต่อต้านสหภาพโซเวียตและเธอได้ส่งข้อมูลนี้ไปยังพระสันตะปาปา และพระสันตะปาปาทรงขอให้เธอส่งข่าวสารถึงพระสังหราชองค์นี้หรือองค์นั้นในฐานะภารกิจพิเศษ และเธอจะรับความทุกข์ทรมานของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ปฏิบัติภารกิจของพวกท่านต่อไป
 
กล่าวโดยสรุป พระเจ้าทรงให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่ทุกคนเพื่อช่วยตัวเองให้รอด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้ทำบาปร้ายแรงก็ตาม
 
พระองค์ทรงถามความสมัครใจของมาเรีย เทเรซา คาร์โลนีว่าเธอเต็มใจทนทุกข์เพื่อเปลี่ยนใจโจเซฟ สตาลินหรือไม่ และเธอก็ยอมรับ
 
แต่เห็นได้ชัดว่าสตาลินไม่ยอมรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงมอบให้โดยใช้จิตใจอิสระของเขา 
จิตใจอิสระคือเสรีภาพสูงสุดที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์ทุกคน
 
ย้ำอีกครั้งว่า บุญราศีซิสเตอร์เอเลนา ไอเอลโลก็ได้เห็นว่าสตาลินอยู่ในนรก ซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันตามที่พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจที่มีชื่อเสียงทั้งสองได้บอกไว้ว่าสตาลินเต็มใจที่จะให้ปีศาจเข้าครอบงำ
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น