จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่?
แม่พระทรงบอกเราอย่างไรในเรื่องนี้
ลัทธิคอมมิวนิสต์จะยึดครองโลกแม้จะไม่มีสงครามโลกก็ตาม
ในหลายภูมิภาคของโลก มีความขัดแย้งกันและมีการสู้รบกันโดยใช้อาวุธ และโดยทั่วไปมักเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลางมานานหลายทศวรรษ
แต่ตอนนี้มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจอย่างอื่นที่อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สาม เพราะมีการเผชิญหน้ากับกลุ่มต่างๆ ไม่ใช่แค่ระหว่างประเทศเท่านั้น
เราพูดถึงการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียและยูเครน
อย่างไรก็ตาม เรามีคำทำนายที่บอกเราว่าอาจจะไม่มีสงครามโลกครั้งที่สาม
แต่ไม่ว่าในกรณีใด โลกจะถูกคอมมิวนิสต์ยึดครอง โดยไม่ต้องมีฉากของสงครามขนาดใหญ่
ณ.ที่นี้เราจะพูดถึงที่แหล่งที่มาของคำพูดที่ว่าจะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่สามและลัทธิคอมมิวนิสต์จะครองโลก
และรัสเซียและยูเครนจะมีบทบาทอย่างไรหลังจากการเตือนที่พระเจ้าจะทรงประทานแก่มนุษยชาติ
มีคำทำนายมากมายเป็นโหลที่พูดถึงสงครามโลกครั้งที่สาม
และด้วยความขัดแย้งระหว่าง NATO และรัสเซียที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ยูเครน หลายคนมองว่าจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 จะมาจากที่นั่น
สงครามโลกที่จะบ่อนทำลายพันธมิตรตะวันตก(NATO)ในการต่อต้านพันธมิตรรัสเซีย,จีน,อิหร่าน และประเทศอื่นๆ ที่ใช้ระบอบคอมมิวนิสต์ที่เคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม,ในการประจักษ์ของแม่พระที่การาบังดัลระหว่างปี 1961 ถึง 1965 พระแม่มารีย์ทรงบอกคอนชิตา กอนซาเลซว่าจะไม่เกิดสงครามโลกอีก
คอนชิตา พูดเรื่องนี้ถึงสามครั้ง
แหล่งข้อมูลแหล่งแรกมาจากโจอี้ โลแมนจิโน(Joey Lomangino) ซึ่งรู้จักคอนชิตามาตั้งแต่ปี 1963
เขาบอกว่าเขาจำได้อย่างแม่นยำว่า คอนชิตา บอกเขาว่า เธอได้ยินแม่พระบอกกับเธอว่าจะไม่มีสงครามโลกอีก
พระแม่มารีย์ทรงยกเว้นสำหรับความเป็นไปได้ที่จะมีการต่อสู้กันในขอบเขตที่ไม่ใหญ่มากและสงครามระหว่างประเทศ แต่จะไม่เกิดสงครามความขัดแย้งในระดับโลก
ข้อมูลอ้างอิงที่สองมาจากแอน เมคูลี(Anne Mequeli) ผู้ทำงานของคณะกรรมการ Scapular ที่ New York Center และเป็นเพื่อนที่ดีของคอนชิตา, เธอเคยเข้าร่วมในการทำชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศให้กับพระสงฆ์
เธอเล่าว่า
“คืนหนึ่งที่บ้านของคอนชิตา เมื่อทุกคนพูดถึงวิกฤตคิวบา คอนชิตา บอกฉันว่า
ในเมืองของฉัน,ในเวลานั้น,ทุกคนกลัวเรื่องสงครามโลกครั้งที่สาม และพวกเขาเดินไปรอบๆ พร้อมวิทยุในมือเพื่อฟังข่าว
แล้วฉันก็ได้รับการประจักษ์จากแม่พระในช่วงเวลานั้นและพระแม่มารีย์ทรงบอกฉันว่า: อย่ากลัวเลย,จะไม่มีสงครามโลกครั้งอื่นอีก».
และข้อมูลอ้างอิงสุดท้ายคือการสนทนาระหว่างคอนชิตากับพระสังฆราชผู้ช่วยแห่งนิวยอร์ก ฟรานซิสโก การ์เมนเดีย(Francisco Garmendia) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1981 ซึ่งบันทึกไว้
สำหรับคำถามจากพระสังฆราชเกี่ยวกับการสิ้นสุดของกาลเวลา คอนชิตาตอบว่า:
«พระแม่มารีย์ทรงบอกดิฉันว่าก่อนอัศจรรย์,จะมีพระสันตะปาปาเพียงสามพระองค์เท่านั้น
ในวันเดียวกันนั้น,ดิฉันไม่รู้ว่าพระคุณเจ้าจะจำได้หรือเปล่า,แต่ในฝรั่งเศส,พวกเขาพูดกันว่าในปี1962 สงครามโลกจะปะทุขึ้น—พระนาง (พระแม่มารีย์) ทรงบอกเราว่าจะไม่มีสงครามโลกเกิดขึ้นอีก
อันที่จริง,ทุกคนต่างก็ตกใจกลัวในวันนั้น รวมทั้งดิฉันด้วย แล้วพระแม่มารีย์ก็ทรงประจักษ์มาและตรัสว่า
'อย่ากลัวเลย,เพราะจะไม่เกิดสงครามโลกครั้งอื่นอีก'”».
ดังนั้น,หากเรานิยามให้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเและครั้งที่สองป็น"ความขัดแย้งในสงครามขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับหลายประเทศจากทวีปต่างๆ" เราสามารถระบุได้ว่าสิ่งที่พระแม่มารีย์ทรงเปิดเผยให้ทราบคือจะไม่มีสงครามโลกอื่นอีกในอนาคตที่เหมือนสงครามโลกทั้งสองครั้ง ที่ซึ่งประเทศจากทุกทวีปเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่พระแม่มารีย์เองทรงบอกเป็นนัยว่าเราจะได้เห็นสงครามความขัดแย้งระดับเฉพาะที่ในหนึ่งทวีปหรือมากกว่านั้น แต่สงครามโลกจะไม่เกิดจากที่นั่น
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเวลาที่เรียกว่าคืนแห่งเสียงกรีดร้องของเด็กๆแห่งการาบังดัล, ในช่วงวันฉลองพระคริสตกายา(Corpus Christi) ปี 1962, พระแม่มารีย์ได้แสดงให้เด็กหญิงเหล่านั้นเห็นการเปิดเผยตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างกะทันหันและไม่คาดฝัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกและนั่น จะเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์เตือนต่อมวลมนุษยชาติ
เด็กๆ เล่าว่าขณะที่เขาเห็นพระแม่มารีย์, พวกเขาก็เริ่มเห็นผู้คนจำนวนมากที่ทนทุกข์ทรมานและกรีดร้องด้วยความปวดร้าวอย่างที่สุด
และพระแม่มารีย์ทรงอธิบายว่าความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่นั้นไม่ใช่การลงโทษมนุษยชาติ
แต่จะถึงเวลาที่พระศาสนจักรจะดูเหมือนกำลังจะพินาศและจะผ่านการทดสอบอันเลวร้าย
แล้วพวกเขาก็ถามแม่พระว่าการทดสอบนั้นเรียกว่าอะไร และแม่พระทรงบอกพวกเขาว่า "ลัทธิคอมมิวนิสต์"
จากนั้นแม่พระก็ให้พวกเขาเห็นว่าการลงโทษครั้งใหญ่จะเป็นอย่างไรในภายหลังและสิ่งนี้จะมาจากพระเจ้าโดยตรง
และมารี โลลิ ผู้เห็นแม่พระที่เสียชีวิตแล้ว,กล่าวว่าความทุกข์เวทนาที่พระแม่มารีย์ทรงเรียกว่าคอมมิวนิสต์นั้นจะมาก่อนเหตุการณ์การเตือน มันจะเป็นหมายสำคัญก่อนการเตือน
เธออธิบายอย่างนี้ว่า
“ดูเหมือนว่าพวกคอมมิวนิสต์จะยึดครองโลกทั้งโลกและเป็นการยากที่จะปฏิบัติศาสนากิจ, หรือพระสงฆ์จะประกอบพิธีมิสซา,หรือประชาชนจะสามารถเปิดประตูโบสถ์ได้”
และเธอกล่าวเสริมว่าดูเหมือนว่าพระศาสนจักรจะหายไป
จากข้อมูลเหล่านี้, เราอาจสรุปว่าจะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม แต่จะมีสงครามเฉพาะที่
แต่จะเกิดความทุกข์ยากใหญ่หลวงก่อนเหตุการณ์การเตือน,ซี่งเกิดจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่จะทำให้พระศาสนจักรเกือบหายสาบสูญไป เพราะจะเป็นการยากที่จะประกอบพิธีมิสซา
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในวิกฤตปี 2022 ระหว่างรัสเซีย ยูเครน และ NATO?
ในวิกฤตครั้งก่อน สงครามในปี 2014 รัสเซียได้เข้ายึดครองไครเมีย
และในความขัดแย้งปี 2022 นี้ เป็นการปะทะกันเฉพาะที่ โดยรัสเซียต้องการผนวกอีกสองสามภูมิภาคของยูเครนเข้ากับขอบเขตของอิทธิพลของรัสเซีย
แต่สิ่งนี้จะไม่จุดประกายไฟของสงครามโลก เช่นที่สหรัฐฯ เกี่ยวข้องโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับคำทำนาย
คุณพ่อมาลาคี มาร์ติน สมาชิกของวาติกัน,คนสนิทของพระสันตะปาปา,และผู้ที่อ้างว่าท่านเคยอ่าน "สาส์นความลับข้อที่สามแห่งฟาติมา" กล่าวในหนังสือของท่านที่ชื่อ "ประกาศกคนสุดท้าย",กล่าวว่า ท่านเชื่อมั่นว่าชัยชนะแห่งดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์จะเริ่มในรัสเซีย
และจะออกมาจากยูเครน
โดยเฉพาะข้อความที่ว่า
"บทบาทของรัสเซียในนิมิตแห่งฟาติมานั้นสำคัญมาก เพราะหากเราเชื่อในนิมิตนั้น ความรอดสำหรับโลก การรักษาความเจ็บป่วยของโลก จะเริ่มในยูเครนและในรัสเซีย
นั่นคือเหตุผลที่พระแม่มารีย์ในนิมิตฟาติมาปี 1917 ตรัสเกี่ยวกับรัสเซียอย่างแข็งขัน
รัสเซียต้องได้รับการเยียวยาจากความผิดพลาดของตนเสียก่อน จากนั้นรัสเซียก็จะช่วยให้ทั้งโลกพัฒนาตนเองและเยียวยาความบาปของตนได้"
รัสเซียในปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์อย่างสมบูรณ์ เพราะถึงแม้ดูเหมือนว่าศาสนาคริสต์จะเฟื่องฟู แต่เราต้องคำนึงว่าศาสนาคริสต์ของนิกายรัสเซียออร์โธดอกซ์ที่กำลังเฟื่องฟูนั้นได้รับการสนับสนุนจากระบอบเผด็จการของรัสเซียมาโดยตลอด ไม่ใช่คริสตจักรที่เป็นอิสระจากอำนาจทางโลกแต่อยู่ที่การรับใช้รัฐบาลรัสเซีย
และถึงแม้จะเป็นเพราะการกระทำในความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียที่คริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียแห่งนี้ซึ่งใหญ่ที่สุดในยูเครนได้แตกแยกในปี2019 และก่อให้เกิดโบสถ์ออร์โธดอกซ์ยูเครน,ออร์โธดอกซ์ก็ก่อตัวขึ้นซึ่งตอนนี้กลายเป็นส่วนใหญ่ในยูเครน
ระบบเผด็จการของรัฐบาลรัสเซียยังคงรักษาระบอบคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตไว้เป็นส่วนใหญ่
ในทางกลับกัน เราไม่สามารถพิจารณาได้ว่าชาติในโลกตะวันตก,ซึ่งมีอำนาจในข้อพิพาทนั้น,เป็นคริสตชน
ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปต่างเป็นชาติคริสตชน
แต่วันนี้พวกเขากลายเป็นผู้ต่อต้านคริสตชน
และประชาธิปไตยของพวกเขาก็กลายเป็นเผด็จการมากขึ้น
มหาอำนาจที่สามในโลกคือจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นคริสตชน สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ และยังคงมีอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์มากกว่ารัสเซียเสียอีก
ในขณะที่มีมหาอำนาจที่สี่ในโลก,ซึ่งก็คือโลกาภิวัตน์ที่สุดโต่ง,ที่ตอบสนองต่อเศรษฐกิจโลกและเป็นส่วนหนึ่งของประเทศตะวันตก
และมหาอำนาจนี้เสนอว่าประเภทของรัฐบาลที่เหมาะสมกับโลกนี้คือลัทธิคอมมิวนิสต์จีน
ข้อเสนอของพวกเขาคือให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาควบคุมการผลิตและการตลาดสินค้าทั่วโลก, ควบคุมโดยรัฐบาลที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย, ซึ่งจะควบคุมประชากรไว้อย่างเหนือชั้นโดยอาศัยเทคโนโลยี
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าอํานาจทางการเมืองทั้งหมดในโลกมีลักษณะที่เหมือนกัน นอกเหนือความแตกต่างเล็กน้อย พวกเขาไม่ใช่คริสตชนและมีแนวโน้มไปทางคอมมิวนิสต์
ดังนั้น ในสงครามที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์การเตือน, คริสตศาสนากับการต่อต้านคริสตศาสนาจะไม่เป็นเพียงการขัดแย้งกัน, แต่เป็นเกมแห่งอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ
และบางทีลัทธิคอมมิวนิสต์จะถูกปลูกฝังในโลกโดยความร่วมมือของนักแสดงทางการเมืองทั้งหมดที่เรากล่าวถึง
แต่เหตุการณ์การเตือนต่อมนุษยชาติจะทำลายสิ่งนั้น มันจะเป็นเหมือนลิ่มที่ทิ่มตำภายในแต่ละกลุ่มเหล่านี้
และจากนั้นก็เป็นไปได้ที่สิ่งที่คุณพ่อมาลาคี มาร์ตินพูดนั้นสำเร็จแล้ว นั่นคือการที่โลกหันกลับคืนสู่พระเจ้าและมีจุดเริ่มต้นหลักที่ยูเครนและรัสเซีย
เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า มันก็แค่ความเป็นไปได้
กล่าวโดยสรุป, พระแม่มารีย์ทรงบอกเราว่าจะไม่มีสงครามโลกครั้งที่สาม แต่จะเกิดสงครามเฉพาะที่
แต่การที่โลกทั้งโลกจะถูกครอบงำโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ก่อนที่เหตุการณ์การเตือนจะมาถึง พระศาสนจักรจะถูกเบียดเบียนข่มเหงและไม่สามารถประกอบพิธีมิสซาได้
การครอบงำระดับโลกนี้อาจเกิดขึ้นจากความร่วมมือของกลุ่มการเมืองทั่วโลก
แต่เหตุการณ์การเตือนที่พระเจ้าจะส่งมา นั่นคือการส่องสว่างของมโนธรรม จะเป็นลิ่มที่ทิ่มตำในแต่ละกลุ่ม ผู้คนจะเริ่มตื่นขึ้นเพื่อรับการเรียกของพระเจ้า
และเป็นไปได้ว่ารัสเซียและยูเครนมีบทบาทพิเศษในเรื่องนี้
----------------
แม่พระได้ตรัสถึงสัญญาณที่บอกถึงการที่รัสเซียจะรุกรานประเทศต่างๆในยุโรปไว้
คอนชีต้ากล่าวว่าแม่พระทรงบอกกับเธอว่า: “พระสันตะปาปาจะไปรัสเซีย ไปมอสโก ทันทีที่พระองค์กลับมาที่วาติกัน การสู้รบจะปะทุขึ้นในส่วนต่างๆ ของยุโรป”
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1962 ผู้เห็นแม่พระแห่งการาบังดัลบางคน ได้เห็นภาพนิมิตของความทุกข์เวทนาที่จะตามมา ทำให้พวกเขากรีดร้องด้วยความกลัวเป็นเวลาหลายนาที เมื่อพวกเขาถามพระมารดาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม่พระตรัสตอบว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ที่นำโดยรัสเซีย จะเข้ายึดครองหลายประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีใครคาดคิด,ซึ่งจะทำให้คริสตชนถูกเบียดเบียนข่มเหง แต่ที่จุดสูงสุดของเหตุการณ์ดังกล่าว พระเจ้าจะส่งการเตือนครั้งใหญ่ไปยังโลกทั้งโลก ซึ่งจะแทรกเข้าไปในมโนธรรมของทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกทั้งผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อพร้อมกันโดยอาศัยพระจิตเจ้า
และคอนชีตาขณะที่มีอายุเพียง 12 ปี และได้เล่าให้ป้าของเธอฟังว่าแม่พระตรัสเกี่ยวกับการประชุมซีนอตซึ่งจะมาก่อนคำเตือน
ดังนั้นเราคงจะเห็นแล้วว่า สัญญาณที่แม่พระทรงบอกไว้ได้เกิดขึ้นเป็นบางส่วนแล้วในเวลานี้
ขอให้เรารอดูสัญญาณต่อไปซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดขึ้น นั่นคือการที่พระสันตปาปาฟรังซิสจะไปเยือนมอสโค
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น