โดย KRISTEN VAN UDEN
ตามธรรมเนียมแล้วเป็นที่เข้าใจกันว่า แอนตี้ไครส์, มนุษย์แห่งบาป, จะมีกลุ่มผู้บุกเบิกนำหน้าซึ่งปูทางสำหรับการมาถึงของเขา เช่นเดียวกับที่บรรดาประกาศกและอัยกาในสมัยพระธรรมเดิมซึ่งประกาศการเสด็จมาของพระคริสต์
คำจำกัดความโดยพื้นฐานของคำว่า 'แอนตี้ไครส์(ผู้ต่อต้านพระคริสต์)' หมายถึงบุคคลหรือสิ่งใดก็ตามที่ต่อต้านพระคริสต์ ดังนั้น บาปทั้งปวง,คำสอนที่หลงผิด,และข้อผิดพลาดทั้งหมดสามารถกำหนดได้ว่าเป็นแอนตี้ไครส์ ส่วนผู้บุกเบิกที่ปูทางล่วงหน้าให้แอนตี้ไครส์ก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ แอนตี้ไครส์มีอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร นักวิชาการมักเรียกง่ายๆด้วยคำว่า "แอนตี้ไครส์" (antichrists 'a' ตัวเล็ก และมี ‘s’ หมายถึงมีหลายคน) ผู้นำที่โหดร้าย,กลุ่มหรือขบวนการ,และอุดมการณ์ที่โหดร้าย, ท้ายที่สุดแล้วจะตอบสนองต่อการมาถึงของแอนตี้ไครส์และซาตานโดยการทำให้มนุษย์คิดว่าบาปเป็นเรื่องปกติและน่าดึงดูดใจ นำจิตวิญญาณของมนุษย์ออกห่างจากพระเจ้า และสร้างวัฒนธรรมแห่งความชั่วช้าให้สุกงอมสำหรับการมาถึงของแอนตี้ไครส์
แอนตี้ไครส์บางคนที่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับเรา ก็คือ: จักรพรรดิเนโร และจักรพรรดิดิโอคลีเชียน (Nero & Diocletian) ทั้งสองต่างเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ โดยการกระทำที่กดขี่ข่มเหงคริสตชน การปฏิรูปของโปรเตสแตนต์,ลัทธิเมซอนนิก(Masonic) และการปฏิวัติต่อต้านคาทอลิกเป็นเวลาหลายศตวรรษก็ทำให้เกิดการแย่งชิงผู้มีความเชื่อกันทั่วโลก คริสตชนหลายชั่วอายุคนเชื่อว่าตนเองมีชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย หลังจากการฆ่าตัวตายของจักรพรรดิเนโร,มีทฤษฎีสมคบคิดเกิดขึ้นมากมายทั่วกรุงโรมว่า เขาสร้างเรื่องว่าเขาตายไปแล้ว บางคนโต้แย้งว่าเหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นถึงตัวตนของเขาในฐานะแอนตี้ไครส์ที่จะเกิดขึ้นในวาระสุดท้ายของโลก หนังสือพระคัมภีร์ของคริสตศาสนา (วิวรณ์) ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายที่ใกล้จะมาถึง และสองสามศตวรรษแรกของคริสตศาสนา,คริสตชนต่างเชื่อว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์กำลังใกล้เข้ามา
ซาตานเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งหมด และมันใช้ความอ่อนแอและความโง่เขลาของมนุษย์เพื่อประโยชน์อันโหดร้ายของมัน มันอยู่เบื้องหลังในความบาปและความโหดร้ายทุกอย่างตลอดประวัติศาสตร์ แต่ตามที่คุณพ่อวินเซนต์ มิเชลลี(Vincent Miceli) ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Antichrist: The Final Campaign Against the Saviour ของท่าน ความเจ็บป่วยทางวิญญาณหลายอย่างในยุคปัจจุบันของเรามีมากมายซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ และสามารถตีความได้ว่า นั่นเป็นผู้บุกเบิกให้กับการมาถึงของแอนตี้ไครส์ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเวทีของมันกำลังถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว .
คุณพ่อมิเชลลิ เขียนเมื่อปี 1981, ระบุว่าความชั่วร้ายที่เฉพาะเจาะจงของศตวรรษที่ 20 คือหลักคำสอนของแอนตี้ไครส์เอง อันได้แก่:
1. ลัทธินิยมความทันสมัยและสัมพัทธภาพของศีลธรรม
พระสันตปาปาปีอุสที่10 เรียกสิ่งนี้ว่า "การสังเคราะห์คำสอนที่หลงผิดทั้งหมด" ลัทธินิยมความทันสมัย(ซึ่งเน้นในวัตถุนิยม) เป็นความผิดพลาดที่แพร่หลายไปทั่วโลก ซึ่งได้ก่อกวนพระศาสนจักรโดยเฉพาะตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน มีลักษณะเฉพาะเจาะจงอยู่ที่มันไม่สนใจ,ไม่แยแสในเรื่องทางศาสนา (ความเชื่อว่าทุกศาสนาเป็นเส้นทางสู่ความจริง) และจัดลำดับความสำคัญให้ "ประสบการณ์ของมนุษย์" อยู่เหนือความจริง
คุณพ่อ มิเชลลีกล่าวว่า “ตรีเอกภาพที่เป็นหลักในความรับผิดชอบต่อการบิดเบือนความจริง เป็นที่รู้จักกันในชื่อลัทธิความทันสมัย อันประกอบด้วย: (1) การปฏิรูปโปรเตสแตนต์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมัน; (2) ปรัชญาหลักของมันคือการรู้แจ้งด้วยตนเอง; (3) “การปฏิวัติฝรั่งเศส” ซึ่งเป็นสายเลือดทางการเมือง ข้อผิดพลาดทางเทววิทยาที่ไม่แยแสต่อคำสอนแห่งความจริงของคริสตศาสนานำไปสู่พลวัติของสัมพัทธภาพทางศีลธรรมโดยรวม ซึ่งได้แก่: การไม่นำความจริงเป็นศูนย์กลาง, มนุษย์สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจ, ให้ข้อแก้ตัวสำหรับการทำบาปและความเลวทรามต่ำช้า,ความเท็จที่ซ่อนอยู่ในความซับซ้อน
2. ลัทธิฟาสซิสต์
หลักปรัชญาของนิตเช่ กล่าวว่ามนุษย์มีฐานะเป็นอภิมนุษย์(ubermensch) โดยเชื่อว่า "ทุกอย่างล้วนเป็นการตัดสินใจของเรา" นี่เป็นหลักคำสอนของซาตาน เป็นการสร้างความเย่อหยิ่งของซาตานขึ้นใหม่ ความหลงใหลในความงาม อำนาจ และพละกำลัง ที่ไม่ยึดถือในความจริง เท่ากับเป็นการบูชาและยกย่องมนุษย์บางเชื้อชาติขึ้นและจบลงด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เชื้อชาติอื่น นอกจากความชั่วร้ายที่เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ขบวนการนาซียังรวมองค์ประกอบ neopagan และไสยศาสตร์อย่างหนักด้วย ด้วยเหตุนี้กลุ่มนี้จึงใช้อำนาจของปีศาจเพื่อผลประโยชน์ทางโลก ลัทธิฟาสซิสต์ยังปูทางไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยการทำลายล้างและทำให้ยุโรปไม่มั่นคง
3. ลัทธิคอมมิวนิสต์
ลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิฟาสซิสต์ แม้ว่าในอดีตจะถูกมองว่าเป็นศัตรูกันทางอุดมการณ์ แต่มีเป้าหมายสูงสุดเหมือนกัน นั่นคือ ยูโทเปียทางโลก ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินการตามยุทธวิธีเผด็จการเดียวกัน ระบบใดๆที่พยายามแสวงหายูโทเปียบนโลกนี้ล้วนเป็นแอนตี้ไครส์โดยแท้ พระคริสต์บอกเราว่าอาณาจักรของพระองค์ไม่ได้มาจากโลกนี้ เรารู้ว่าซาตานเป็นเจ้าชายแห่งโลกนี้ และความเป็นหนึ่งเดียวกันที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็นไปได้ในสวรรค์เท่านั้น,โดยอาศัยความร่วมมือของเรากับพระหรรษทานของพระเจ้าและความทุกข์ทรมานในชีวิตนี้ ดังนั้น,โครงการยูโทเปียทางโลกใดๆที่ปฏิเสธความจริงเหนือธรรมชาตินี้ถือว่าเป็นความโอหัง และถูกกำหนดให้ล้มเหลวเหมือนหอคอยแห่งบาเบล
(หมายเหตุ - ยูโทเปีย...เมืองที่มีแต่ความดีงาม ความยุติธรรม บ้านเมืองน่าอยู่ เป็นระเบียบเรียบร้อย มีประชากรที่เป็นมิตร เป็นเสมือนสังคมในอุดมคติของใครหลาย ๆ คน ทั้งด้านการปกครอง กฎหมาย การจัดระเบียบทางสังคม ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดกฎเกณฑ์ไว้อย่างมีระเบียบแบบแผน)
ผลจากลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นก็คือการทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลลัพท์ตามความต้องการของตัวเอง อาทิเช่น: การสังหารหมู่,การละเมิดสิทธิมนุษยชน,การประหัตประหาร แต่เงื่อนงำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ที่ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์คือหลักคำสอนของแอนตี้ไครส์ เป็นลัทธิที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า คำสอนนี้มีอยู่ในหลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์ พระสันตะปาปาปีอุสที่11 กล่าวอย่างกล้าหาญว่า “ลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นชั่วร้ายโดยเนื้อแท้ และไม่มีใครที่จะกอบกู้อารยธรรมคริสตชนได้ด้วยการร่วมมือกับมัน” คุณพ่อ มิเซลลี,ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคแห่งสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต,กล่าวว่าคอมมิวนิสต์เป็น “ตัวเร่งปฏิกิริยา” ของการมาถึงของแอนตี้ไครส์ การประนีประนอมถือเป็นการยอมจำนนต่อความชั่ว ในการประนีประนอมระหว่างความดีและความชั่ว ความชั่วเท่านั้นที่จะชนะ
4. การปฏิวัติทางเพศ
คุณพ่อ มิเซลลี กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างคำสอนผิดหลงเรื่อง "การปลดแอกทางเพศ" กับการเพิ่มจำนวนของการคุมกำเนิด,การทำลายครอบครัว,และการระบาดของโรคในเด็ก และหลายประเทศให้การรับรองและให้ความคุ้มครองทางกฎหมาย
5. การฟื้นคืนชีพของลัทธิบูชาซาตานและไสยศาสตร์
ในที่สุด ลัทธิบูชาซาตานที่แท้จริงได้ประสบกับยุคเรเนซองส์ของมัน ยิ่งกว่านั้น,ตั้งแต่ยุคสมัยของคุณพ่อมิเชลลีมาจนถึงปัจจุบัน,ตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษเป็นต้นมา,ได้นำเสนอภาพอันพิลึกและลึกลับในงานทางศิลปะของพวกเขา และบางครั้ง,กลุ่มเหล่านี้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาขายวิญญาณให้กับซาตานเพื่อชื่อเสียงในโลกนี้ การมีส่วนร่วมในลัทธิซาตานกลายเป็นความนิยมโดยผ่านช่องทางที่ดูเหมือนจะไม่เป็นพิษเป็นภัย เช่น การดูดวงชะตา,ไพ่ทาโรต์, คริสตัล, เวทมนตร์คาถา ฯลฯ
คุณพ่อ มิเชลลี แยกแยะความแตกต่างระหว่างผู้บุกเบิกของแอนตี้ไครส์ทางด้านปัญญาและผู้บุกเบิกทางการกระทำของนักเคลื่อนไหวของแอนตี้ไครส์ แต่ท่านตั้งข้อสังเกตว่ามีการพึ่งพาอาศัยกันและกันระหว่างกลุ่มทั้งสองนี้ : "เพราะหลักความคิดมีผลลัพท์ตามมา และหลักความคิดที่รุนแรงจะก่อให้เกิดผู้นำที่มีความรุนแรง" ต้นตอของความเจ็บป่วยทางจิตเหล่านี้เป็นปัญหาที่เรียบง่ายแต่ดื้อรั้น: การสูญเสียความเชื่อในระดับบุคคล มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณและขยายตัวเป็นสถาบันโดยอาศัยการเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหว
คุณพ่อ มิเซลลีเขียนว่า: “ความประพฤติเกิดจากความเชื่อมั่น และเมื่อความประพฤติเสื่อมทรามอยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะความเชื่อมั่นนั้นได้รับความเสียหาย ตัวอย่างเช่น ยูดาส(ผู้บุกเบิกทางของแอนตี้ไครส์) ได้เปลี่ยนความเชื่อของเขาเกี่ยวกับพระบุคคลและภารกิจของพระคริสต์,ก่อนที่เขาจะขายพระเจ้าของเขาด้วยเงินสามสิบเหรียญ”
เป็นความจริงที่การกระทำภายนอกของบุคคลบ่งบอกถึงสถานะภายในของเขา ดังนั้น ในขณะที่การแก้ปัญหาแบบมหภาคต่อสถานะการณ์ของโลกขึ้นอยู่กับกิจการของพระเจ้า การแก้ปัญหาเฉพาะบุคคลนั้นอยู่ที่การปรับทิศทางภายในจิตใจ - คาทอลิกแต่ละคนที่ทำตามความเชื่อย่อมได้รับผลลัพท์คือการกลับใจ
การเป็นคาทอลิกคือการได้รับความรอดพ้น เราไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่นอนว่าวันเวลาแห่งการพิพากษาครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อใด อาจจะเป็นศตวรรษนี้หรือสหัสวรรษที่ 14 แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือ การพิพากษาส่วนบุคคลของเราแต่ละคน,จะเกิดขึ้นภายในไม่เกินร้อยปีข้างหน้า ไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่เมื่อใดและที่ไหน ผู้บุกเบิกทางของแอนตี้ไครส์ที่เราพบเจอจะเป็นคนนอกรีตแบบเดียวกันที่ได้รับการดัดแปลงปรุงแต่งโดยปีศาจ ซึ่งมีรากฐานมาจากบาปแรกของความจองหองและได้รับแรงบันดาลใจจากซาตานตัวเดียวกันภายใต้การปลอมตัวที่แตกต่างกันและซับซ้อนยิ่งขึ้น เราควรระบุและหลีกเลี่ยงพันธกิจของแอนตี้ไครส์และการแปลงร่างในปัจจุบันของพวกเขา ขอให้เราดำเนินชีวิตราวกับว่าเราจะพบกับพระเยซูเจ้าในวันพรุ่งนี้
✠
บทความนี้นำมาจากหนังสือ Antichrist: The Final Campaign Against the Savior, available now from Sophia Institute Press.
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น