วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ชาวสะมาเรียผู้ใจดี

 


คำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี
 
ลูกา 10:25-37
 
ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้องจึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้กล่าวว่า “ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา” ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”
 
------------------------------
 
พระเยซูเจ้าทรงประสงค์จะตอบนักกฎหมายที่ถามว่าเพื่อนมนุษย์ของเขาคือใคร
 
“เพื่อนมนุษย์” ของเขาคือ
 
1. ทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือ แม้ตัวเขาเองจะเป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหานั้นขึ้นมา ดังเช่นชายที่ถูกโจรปล้น
 
2. ทุกคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวสะมาเรีย หรือชนชาติและศาสนาใดก็ตาม ความช่วยเหลือของเราต้องแผ่กว้างดุจดังความรักของพระเจ้า
 
ความช่วยเหลือต้อง “เป็นรูปธรรม” ไม่แบ่งแยกคนที่จะช่วยและไม่ใช่แค่แสดงความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น เหมือนชาวสะมาเรียที่ไม่เพียงรู้สึกสงสาร แต่ยังเดินเข้าไปหาคนที่เป็นทั้งศัตรู เพื่อเทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ พร้อมกับนำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมและช่วยดูแลเขา เท่านี้ยังไม่พอ วันรุ่งขึ้นเขายังมอบเงินสองเหรียญแก่เจ้าของโรงแรมกล่าวว่า “ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา” (ลก 10:35)
 
นอกจากบอกนักกฎหมายว่าใครคือเพื่อนมนุษย์ของเขาแล้ว พระเยซูยังทรงมีเจตนาที่จะบอกเราถึงความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในอุปมาเรื่องนี้ด้วย นั่นคือ พระองค์ประสงค์จะบอกเราว่า
 
ชาวสะมาเรียผู้ใจดีคนนั้นก็คือ พระองค์เอง
 
และชายที่ถูกโจรปล้นบาดเจ็บสาหัสปางตายนั้นก็คือมนุษย์ทุกคนที่ถูกครอบงำด้วยบาปต่างๆ
 
เราเป็นเหมือนคนที่ถูกกระทำจนได้รับบาดเจ็บจากศัตรูของเรา นั่นคือจากผีปีศาจ,คนใจโลก,และเนื้อหนังของเราเอง
 
พระองค์ทรงพบเรานอนรอความตายอยู่ จึงทรงมาช่วยเหลือและเทน้ำมันและเหล้าองุ่นบนบาดแผลของเรา
 
น้ำมันหมายถึงศีลล้างบาป และเหล้าองุ่นหมายถึงพระโลหิตที่หลั่งออกมาเพื่อชำระล้างบาปของเรา
 
หลังจากนั้นก็พันบาดแผลให้
 
ผ้าพันบาดแผล หมายถึงพระหรรษทานแห่งการสำนึกผิดกลับใจมาหาพระเจ้า
 
พระองค์ยังทรงพาเราไปยังโรงแรมซึ่งหมายถึงพระศาสนจักร ทรงขอให้พระศาสนจักรดูแลเอาใจใส่เรา
 
และพระองค์ทรงให้เงินสองเหรียญแก่พระศาสนจักรอันหมายถึงพระหรรษทานและพระพรและศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิท ซึ่งจะช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตคริสตชนของเรา พระองค์ทรงขอให้พระศาสนจักรดูแลเราหลังจากที่พระองค์จากไป และตรัสว่าเงินที่จ่ายเกินไปพระองค์จะมอบให้เมื่อกลับมาอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือทรงมอบหมายให้พระศาสนจักรปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนเมื่อพระองค์ไม่อยู่ แต่พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งในวาระสุดท้าย
 
นี่คือความหมายอันลึกซึ้งที่อยู่เบื้องหลังคำอุปมานี้
 
พระเยซูเจ้าทรงเอาใจใส่เรา ทั้งที่เราไม่สมควรได้รับ เพราะเราทำเหมือนชาวยิวที่ถือว่าพระองค์เป็นเหมือนชาวสะมาเรีย เป็นศัตรู,เป็นคนที่พวกเขาไม่ต้องการคบด้วย แต่พระองค์กลับไม่ถือสาและทรงช่วยเหลือเราด้วยพระทัยเมตตา
 
ข้าแต่พระเยซูเจ้า,โปรดเมตตาเราทั้งหลายผู้เป็นคนบาปด้วยเทอญ
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น