วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2565

นักบุญฟิโลมีนา

 


องค์อุปถัมภ์ของ เด็กเล็ก,เยาวชน,พระสงฆ์,ผู้หลงทางไป,ผู้เป็นหมัน,และหญิงพรหมจารีย์ 
วันฉลอง 11 สิงหาคม
 
ประวัติของนักบุญฟิโลมีนาไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่าเธอเป็นเจ้าหญิงชาวกรีกที่เป็นพรหมจารีมรณสักขีและเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 13 ปี
 
พระธาตุร่างกายของหญิงสาวผู้หนึ่งถูกค้นพบในเดือนพฤษภาคม 1802 ที่คาตาคอมบ์แห่งพริสซิลลา(Catacombs of Priscilla) บน Via Salaria Nova โดยมีแผ่นกระเบื้องสามแผ่นที่มีอักษรจารึกอ่านว่า”ขอให้เธอมีสันติสุข,ฟิโลมีนา ("Peace be to you, Philomena")
 
สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับชีวิตของนักบุญฟิโลมีนามาจากนิมิตของซิสเตอร์ชาวเนเปิลส์, ซิสเตอร์มาเรีย ลุยซา ดิ เจซู(Sister Maria Luisa di Gesu) เธอบอกว่านักบุญฟิโลมีนามาหาเธอและบอกเธอว่าเธอเป็นธิดาของกษัตริย์กรีกที่เปลี่ยนมานับถือคริสตศาสนา เมื่อฟิโลมีนาอายุได้ 13 ปี,เธอได้สาบานที่จะถือศีลพรหมจรรย์
 
หลังจากที่บิดาของฟิโลมีนาพาครอบครัวของเขาไปที่กรุงโรมเพื่อสร้างสันติภาพกับกรุงโรม, จักรพรรดิดิโอเคลเชี่ยน(Diocletian) ก็ตกหลุมรักฟิโลมีนา แต่เธอปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเขา จักรพรรดิจึงสั่งให้ทรมานฟิโลมีนา
 
นักบุญฟิโลมีนาถูกโบยตี ถูกนำไปถ่วงน้ำโดยมีสมอเรือติดอยู่ที่คอของเธอ และเธอถูกยิงด้วยลูกธนู ทุกครั้งที่เธอถูกทรมานจนถึงตาย,ทูตสวรรค์จะคอยอยู่เคียงข้างเธอและรักษาเธอด้วยการสวดภาวนาเพื่อเธอ
 
ในที่สุดจักรพรรดิก็ประหารชีวิตฟิโลเมนาด้วยการตัดศีรษะ ตามเรื่องราวนั้น,เธอถูกประหารในวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง,เวลาเดียวกับพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้วยเหตุนี้จึงมีสัญลักษณ์สมอสองอัน,ลูกศรสามอัน,และกิ่งปาล์มสัญญลักษณ์ของการเป็นมรณสักขีของเธอ และยังพบดอกไม้บนกระเบื้องในหลุมฝังศพของเธอ ซึ่งตีความว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นมรณสักขีของเธอ
 
ซิสเตอร์มาเรียระบุว่า ฟิโลมีนาเกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคมและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม
 
ความศรัทธาต่อนักบุญฟิโลมีนาเริ่มแผ่ขยายไปเมื่อมีการขุดกระดูกของเธอขึ้นมาจากหลุมฝังและอัศจรรย์ก็เริ่มเกิดขึ้น ท่านฟรังเชสโก เดอ ลูเซีย(Canon Francesco De Lucia) แห่ง Mugnano del Cardinale ได้รับพระธาตุของนักบุญฟิโลมีนาและนำไปวางไว้ในโบสถ์แม่พระแห่งพระหรรษทาน(Church of Our Lady of Grace) ในเมือง Mugnano ประเทศอิตาลี
 
ไม่นานหลังจากที่พระธาตุของเธอถูกประดิษฐานไว้ที่โบสถ์ก็มีอัศจรรย์การเยียวยารักษาโรคในผู้ที่มาแสวงบุญและวอนขอความช่วยเหลือจากเธอ มะเร็งก็หาย,บาดแผลก็หาย,และถูกเรียกว่าอัศจรรย์แห่ง Mugnano เมื่อผู้น่าเคารพเปาลีน จาริคอต(Venerable Pauline Jaricot)ได้รับอัศจรรย์การรักษาให้หายจากปัญหาหัวใจขั้นรุนแรงในเย็นวันหนึ่ง,เธอยืนยันว่าการรักษาทั้งหมดนี้มาจากนักบุญฟิโลมีนา
 
ในชั่วข้ามคืน,เธอก็กลายเป็นหนึ่งในนักบุญที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของพระศาสนจักรและได้รับฉายาว่า ผู้ทำงานอัศจรรย์("Wonder Worker") ความศรัทธาต่อนักบุญฟิโลมีนาแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวางเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้มีความเชื่อหลายคน รวมทั้งนักบุญ,บุญราศีและผู้น่าเคารพหลายท่าน ซึ่งชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่านเหล่านี้เจริญเติบโตเพราะนักบุญฟิโลมีนา
 
นักบุญหลายท่านมีความเคารพนักบุญฟิโลมีนาและวอนขออัศจรรย์โดยผ่านทางนักบุญมรณสักขีท่านนี้ อาทิเช่น นักบุญยอห์น มารี เวียนเนย์ และ นักบุญปีเตอร์ หลุยส์ มารี ชาเนล(St. Peter Louis Marie Chanel)
 
ถึงแม้ว่าบางครั้งจะยังไม่มีความชัดเจนมากนักเกี่ยวกับชีวิตและความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญฟิโลมีนา แต่ผู้มีความเชื่อจำนวนมากทั่วโลกยังคงเห็นว่าเธอเป็นนักบุญที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญในปี 1834
 
จิตรกรมักจะวาดภาพนักบุญฟิโลมีนาในวัยเด็กสวมมงกุฎดอกไม้ และถือกิ่งปาล์มแห่งมรณสักขีพร้อมด้วยลูกศรหรือสมอเรือ
 

นักบุญฟิโลมีนาโปรดภาวนาเพื่อเราด้วยเทอญ
 
--------------------------
 
ยังมีเกร็ดประวัติเกี่ยวกับนักบุญฟิโลมีนาอีก
 

นักบุญฟิโลมีนาประจักษ์แก่คุณแม่มาเรีย ลุยซ่า ดิ เจซู,ผู้ก่อตั้งคณะนักบวชหญิง Oblates of Our Lady of Sorrows
 
นักบุญยอห์น มารี เวียนเนย์,เจ้าอาวาสแห่งอารส์กล่าวถึงนักบุญฟิโลมีนาว่า “ลูกทั้งหลาย,นักบุญฟิโลมีนามีอำนาจอันยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า ความบริสุทธิ์แห่งพรหมจรรย์และความโอบอ้อมอารีของเธอในการโอบรับความทุกข์ทรมานอย่างกล้าหาญทำให้เธอเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า จนกระทั่งว่าพระองค์จะไม่มีวันปฏิเสธสิ่งใดก็ตามที่เธอวอนขอเพื่อพวกเราเลย”
 
เรื่องราวชีวิตของนักบุญฟิโลมีนาได้รับการเปิดเผยต่อคุณแม่มาเรีย
 
คนสามคนที่ไม่รู้จักกันและอาศัยอยู่ห่างไกลกัน ได้รับการเปิดเผยแก่พวกเขาเกี่ยวกับชีวิตของฟิโลมีนา และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันปรากฏว่าการเปิดเผยของคนทั้งสามนี้มีเนื้อหาเหมือนกัน
 
ผู้ได้รับการเปิดเผยที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คือ คุณแม่มาเรีย ลุยซ่า ดิ เจซู,ผู้ก่อตั้งคณะนักบวชหญิง Oblates of Our Lady of Sorrows, ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะโดมินิกัน
 
ในวันที่ 3 สิงหาคม 1833 คุณแม่กำลังสวดภาวนาหลังรับศีลมหาสนิท ต่อหน้ารูปปั้นนักบุญฟิโลมีนา เธอรู้สึกมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทราบวันที่แท้จริงที่นักบุญเสียชีวิตเป็นมรณสักขี เพราะวันที่ 10 สิงหาคมเป็นเพียงวันที่พระธาตุมาถึงเมือง Mugnano เท่านั้น,เป็นวันสำคัญสำหรับเมือง Mugnano แต่ไม่ค่อยมีความสำคัญสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ที่อื่นมากนัก คุณแม่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้บ่อยครั้ง แต่จู่ๆความปรารถนาก็แรงกล้ามากขึ้น จากนั้นคุณแม่ก็รู้สึกว่าเธอต้องหลับตาลง…และไม่สามารถลืมตาเพื่อดูรูปปั้นได้อีกต่อไป… ครั้นแล้วมีเสียงที่นุ่มนวลมาจากทิศทางของรูปปั้นเสียงนั้นพูดว่า
 
“ซิสเตอร์ที่รัก วันที่ 10 สิงหาคมเป็นวันแห่งการพักผ่อนในสันติสุขของฉัน,วันแห่งชัยชนะของฉัน,วันแห่งการเกิดของฉันในสวรรค์ วันแห่งการเข้าสู่การครอบครองสิ่งนิรันดรอย่างที่จิตใจมนุษย์ไม่สามารถจินตนาการได้ นั่นคือเหตุผลที่เจ้าบ่าวบนสวรรค์ของฉันทรงกำหนดให้พระธาตุของฉันเคลื่อนย้ายมาที่ Mugnano ตรงกับวันที่ที่ฉันได้มาสู่สวรรค์! พระองค์ทรงจัดเตรียมสถานการณ์มากมายซึ่งจะทำให้การมาถึง Mugnano ของฉันรุ่งโรจน์และมีชัย, ให้ความชื่นชมยินดีแก่ทุกคน แม้ว่าพระสงฆ์ที่พาฉันมาจะตัดสินใจโดยเด็ดขาดแล้วว่าการนำฉันมาเมืองนี้ควรจะจัดขึ้นในวันที่ 5 ของเดือนอย่างเงียบๆ ในบ้านของเขาเอง เจ้าบ่าวผู้ทรงฤทธานุภาพของฉันทรงขัดขวางเขาด้วยอุปสรรคมากมายที่ทำให้พระสงฆ์ไม่สามาถทำตามความตั้งใจของเขาได้,ถึงแม้ว่าเขาจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อทำตามแผนของเขา การเคลื่อนย้ายพระธาตุมาถึงที่นี่จึงตรงกับวันที่สิบซึ่งเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองของเราในสวรรค์”
 
เหตุการณ์นี้ส่งผลให้คุณแม่มาเรีย ลุยซารู้สึกเศร้าใจ,เพราะเธอคิดว่าเธอน่าจะตกเป็นเหยื่อของภาพลวงตา เธอจึงไปยังที่สารภาพบาป,เล่าทุกสิ่งให้คุณพ่ออธิการทราบ คุณพ่ออธิการยังไม่รีบร้อนในการกำจัดเรื่องนี้ ท่านทำการทดสอบ,ท่านเขียนจดหมายไปยัง Mugnano,สอบถาม Don Francesco ว่าจริงหรือไม่ที่ตอนแรกเขาตั้งใจจะเคลื่อนย้ายพระธาตุในวันที่ 5 และกระทำอย่างเงียบๆโดยให้ไปอยู่ในบ้านของเขาเอง และมีคำตอบมาว่า ในวันดังกล่าวนั้นไม่สามารถทำได้เนื่องจากมีอุปสรรคมากมายที่ขัดขวางความพยายามที่ไร้เดียงสาของเขาที่จะนำพระธาตุออกจากกรุงโรมอย่างรวดเร็วและอย่างเงียบๆให้มาอยู่ในโบสถ์ของเขาเอง!
 
ดังนั้น,คุณพ่ออธิการจึงสั่งคุณแม่มาเรีย ลุยซ่า ให้ขอให้นักบุญฟิโลมีนาบอกเธอเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตและการพลีชีพเป็นมรณสักขีของเธอ ดังนั้น คุณแม่ลุยซาจึงเข้าไปหานักบุญฟิโลมีนาที่รูปปั้นอีกครั้ง และกล่าวว่าอย่าได้มองดูความไร้ค่าของเธอเลย แต่ให้พิจารณาว่ามันเป็นเรื่องของความนบนอบเชื่อฟังอันศักดิ์สิทธิ์ และขอให้นักบุญเปิดเผยอีกเล็กน้อย และแล้ววันหนึ่ง,เมื่อคุณแม่อยู่ในห้องพักของเธอ เธอรู้สึกว่าตาของเธอถูกปิดและได้ยินเสียงที่ไพเราะอีกครั้ง ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของนักบุญฟิโลมีนาที่นำมาจากหนังสือรายงานอย่างเป็นทางการของ Fr. Relazione Istorici di Santa Filomena ของ Di Lucia และเรื่องราวที่ได้รับโดย Sr. Luisa di Gesu ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1833 การเปิดเผยที่ได้รับการอนุมัติจากทางสันตะสำนักแล้ว (ปัจจุบันคือCongregation for the Doctrine of the Faith) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1833
 
“ซิสเตอร์ที่รัก ฉันเป็นธิดาของเจ้าชายผู้ปกครองรัฐเล็กๆในกรีซ แม่ของฉันก็เป็นสายเลือดของราชวงศ์ด้วย พ่อแม่ของฉันไม่มีลูก พวกเขาเป็นผู้ที่นับถือรูปเคารพ พวกเขาถวายเครื่องบูชาและคำอธิษฐานต่อพระเท็จเทียมอย่างต่อเนื่อง
 
นายแพทย์ผู้หนึ่งจากกรุงโรมชื่อ Publius อาศัยอยู่ในวังเพื่อรับใช้พ่อของฉัน แพทย์ท่านนี้นับถือคริสตศาสนา เมื่อเห็นความทุกข์ใจของพ่อแม่ของฉัน โดยการดลใจของพระจิตเจ้า,ท่านได้บอกกับพวกเขาเกี่ยวกับคริสตศาสนา และสัญญาว่าจะสวดภาวนาเพื่อความประสงค์ของพวกเขาหากพวกเขายินยอมรับศีลล้างบาป พระหรรษทานที่มาพร้อมกับคำพูดของแพทย์นี้ทำให้ความเข้าใจของพวกเขากระจ่างและมีชัยเหนือจิตใจอิสระของพวกเขา พวกเขามาเป็นคริสตชนและได้รับความสุขที่ปรารถนามานานจากการที่ Publius รับรองกับพวกเขาว่าสิ่งนี้เป็นรางวัลแห่งการกลับใจของพวกเขา ในเวลาที่ฉันเกิดมา,พวกเขาตั้งชื่อให้ฉันว่า "ลูเมนา"( Lumena) ซึ่งหมายถึงแสงสว่างแห่งความเชื่อซึ่งทำให้ฉันเกิดมา ในวันรับศีลล้างบาปของฉันพวกเขาเรียกฉันว่า “ฟีลูมีนา”(Filumena) หรือ “ธิดาแห่งความสว่าง” เพราะในวันนั้นฉันเกิดมาในความเชื่อ ความรักที่พ่อแม่มอบให้ฉันนั้นยิ่งใหญ่มากจนพวกเขามีฉันอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา
 
ด้วยเหตุนี้เองที่พวกเขาพาฉันไปที่กรุงโรมด้วย,ในการเดินทางที่พ่อของฉันต้องทำในช่วงที่เกิดสงครามที่ไม่เป็นธรรมซึ่งเขาถูกคุกคามโดยจักรพรรดิดิโอเคลเชี่ยน(Diocletian) ผู้จองหอง ตอนนั้นฉันอายุสิบสามปี เมื่อมาถึงเมืองหลวงของโลก เราก็ไปที่วังของจักรพรรดิและเข้าเฝ้าจักรพรรดิ ทันทีที่ Diocletian เห็นฉัน,ตาของเขาก็จับจ้องมาที่ฉัน ดูเหมือนว่าเขาจะถูกครอบงำในลักษณะเช่นนี้ตลอดเวลาที่พ่อของฉันพูดด้วยอารมณ์อ่อนไหวเพื่อทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ในการปกป้องตัวของเขา
 
ทันทีที่พ่อหยุดพูด, จักรพรรดิก็ไม่ปรารถนาให้มีใครมารบกวนเขาอีกต่อไป โดยขจัดความกลัวทั้งหมดและนึกถึงการอยู่อย่างมีความสุขเท่านั้น นี่คือคำพูดของจักรพรรดิ "ข้าพเจ้าจะใช้อำนาจทั้งหมดของจักรวรรดิเพื่อท่าน ข้าพเจ้าขอเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือมือลูกสาวของท่าน” พ่อของฉันตื่นตากับเกียรติที่เขาได้รับซึ่งอยู่ไกลเกินคาดฝัน พ่อจึงเต็มใจยอมรับข้อเสนอของจักรพรรดิทันที
 
เมื่อเรากลับไปที่บ้านของเรา คุณพ่อและคุณแม่ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อชักชวนให้ฉันยอมทำตามความปรารถนาของดิโอเคลเชียนและของพวกเขา ฉันร้องไห้บอกพวกท่านว่า “ท่านประสงค์หรือว่าเพื่อความรักของผู้ชายคนหนึ่ง,ลูกจึงควรผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพระเยซูคริสต์ พรหมจรรย์ของลูกเป็นของพระองค์ ลูกไม่สามารถผิดคำสัญญาได้อีกต่อไป” “แต่ตอนนั้นลูกยังเด็ก, ยังเด็กเกินไป” พ่อของฉันตอบ “ที่จะทำสัญญาหมั้นหมายเช่นนี้” พ่อทำการข่มขู่ที่น่ากลัวที่สุดด้วยการออกคำสั่งต่อฉันให้ฉันยอมรับมือของ Diocletian พระหรรษทานของพระเจ้าทำให้ฉันยืนหยัดอยู่ได้, และพ่อของฉันไม่สามารถทำให้จักรพรรดิยอมจำนน เพื่อที่จะปลดเปลื้องตัวเองจากคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับ Diocletian ,พ่อจำเป็นต้องพาฉันไปที่วังของจักรพรรดิ
 
ฉันต้องทนต่อการโจมตีครั้งใหม่จากความโกรธของพ่อ แม่ของฉันก็รวมความพยายามของเธอเข้ากับเขา พยายามที่จะเอาชนะความตั้งใจของฉัน เธอกอดฉัน, ข่มขู่ฉัน, ทุกอย่างถูกกระทำเพื่อทำให้ฉันละทิ้งความตั้งใจ ในที่สุด,ฉันเห็นพ่อแม่ของฉันทั้งคู่คุกเข่าลงและพูดกับฉันทั้งน้ำตาว่า “ลูกเอ๋ย,สงสารพ่อของลูก,แม่ของลูกและประเทศของลูกเถิด สงสารประเทศของเรา สิ่งต่างๆของเรา” "ไม่! ไม่” ฉันตอบพวกเขา “พรหมจรรย์ของลูกซึ่งลูกได้ปฏิญาณไว้กับพระเจ้านั้นมาก่อนทุกสิ่ง ต่อหน้าท่าน, ต่อหน้าประเทศของลูก, อาณาจักรของลูกคือสวรรค์”
 
คำพูดของฉันทำให้พวกเขาหมดหวังและพวกเขาก็นำฉันมาอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจเพื่อเอาชนะฉัน แต่คำสัญญาต่างๆ,การยั่วยวนของเขา,การคุกคามของเขา,ก็ไร้ประโยชน์ไม่แพ้กัน จากนั้นจืตใจของเขาก็บังเกิดความโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดและโดยได้รับอิทธิพลจากปีศาจ, เขาจึงสั่งให้โยนฉันเข้าไปในเรือนจำแห่งหนึ่งในวัง ซึ่งเขามัดฉันไว้ด้วยโซ่ตรวน โดยคิดว่าความเจ็บปวดและความละอายจะทำให้ความกล้าหาญของฉันอ่อนแอลง เขามาหาฉันทุกวัน หลังจากผ่านไปหลายวัน จักรพรรดิก็ออกคำสั่งให้ปลดโซ่ตรวนของฉันเพื่อที่ฉันจะสามารถกินขนมปังกับน้ำสักเล็กน้อย แล้วเขาก็โจมตีใหม่อีกครั้ง ซึ่งบางกรณีอาจเป็นภัยอันตรายต่อความบริสุทธิ์หากไม่ใช่เพราะพระหรรษทานของพระเจ้าได้ช่วยฉันไว้
 
ความพ่ายแพ้ที่จักรพรรดิได้รับมาโดยตลอดเป็นจุดเริ่มต้นของการทรมานครั้งใหม่สำหรับฉัน การสวดภาวนาช่วยให้กำลังใจแก่ฉัน ฉันไม่หยุดที่จะถวายตนเองต่อพระเยซูและพระมารดาที่บริสุทธิ์ที่สุดของพระองค์ การถูกจองจำของฉันกินเวลาสามสิบเจ็ดวัน,ฉันจึงได้เห็นพระแม่มารีย์ทรงอุ้มพระบุตรของพระเจ้าในอ้อมแขนของพระนางอยู่ท่ามกลางแสงสวรรค์ “ลูกสาวของฉัน” แม่พระตรัสกับฉัน “อีกสามวันในคุกและหลังจากสี่สิบวัน,ลูกจะออกจากความเจ็บปวดนี้” ข่าวที่น่ายินดีเช่นนี้ทำให้ใจฉันเต้นแรงด้วยความปิติยินดี แต่ตามที่องค์ราชินีแห่งทูตสวรรค์ตรัสเสริมว่า ฉันจะออกจากคุก,เพื่อไปรับความทุกข์ทรมานอันน่าสะพรึงกลัว มันจะเป็นการทรมานอันเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งก่อนมาก จากความยินดีกลายเป็นความหวาดกลัวเจ็บปวดรวดร้าวในทันใด ; ฉันคิดว่ามันจะฆ่าฉัน “ลูกเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด” พระนางมารีย์ทรงบอกกับฉัน “ลูกยังไม่รู้ถึงความรักและความพอใจที่เรามีต่อลูกหรือ? ชื่อซึ่งลูกได้รับในการรับศีลล้างบาปนั้นเป็นคำมั่นสัญญาว่าลูกจะคล้ายคลึงกับพระบุตรของแม่และตัวแม่เอง ลูกถูกเรียกว่า Lumena(แสงสว่าง) ในขณะที่เจ้าบ่าวของลูกถูกเรียกว่า Light, Star, Sun(แสง,ดวงดาว,ดวงอาทิตย์) ในขณะที่แม่ถูกเรียกว่า Aurora, Star, (แสงรุ่งเรือง,ดวงดาว),ดวงจันทร์ในความบริบูรณ์ของความสว่างและดวงอาทิตย์ อย่ากลัวเลย,แม่จะช่วยลูก เวลานี้,ธรรมชาติซึ่งเป็นความอ่อนแอทำให้ลูกอ่อนน้อมถ่อมตน,ได้ยืนยันกฎของมัน ในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้,พระหรรษทานจะมาเพื่อให้พลังแก่ลูก และทูตสวรรค์ของลูกซึ่งเป็นของแม่ด้วย,คือกาเบรียล,อันเป็นชื่อที่แสดงถึงพละกำลังอันเข้มแข็ง,จะมาช่วยลูก แม่จะให้ท่านดูแลลูกเป็นพิเศษในฐานะลูกสุดที่รักในบรรดาลูกทั้งหลายของแม่” ถ้อยคำขององค์ราชินีแห่งหญิงพรหมจรรย์เหล่านี้ทำให้ฉันมีความกล้าหาญอีกครั้ง และนิมิตก็หายไป ทำให้คุกของฉันเต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากสวรรค์ ฉันได้สัมผัสกับความสุขที่อยู่เหนือโลกนี้, บางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
 
สิ่งที่องค์ราชินีแห่งทูตสวรรค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ฉัน,ในไม่ช้าก็เกิดขึ้น Diocletian,เมื่อสิ้นหวังที่จะโน้มน้าวใจของฉัน เขาตัดสินใจลงโทษฉันในที่สาธารณะเพื่อทำลายคุณธรรมของฉัน เขาสั่งให้เปลื้องผ้าของฉันและเฆี่ยนตีฉันเหมือนกับที่เจ้าบ่าวสวรรค์ของฉันได้รับ นี่คือคำพูดที่น่ากลัวของเขา “เนื่องจากเธอรู้สึกละอายใจที่จะชอบจักรพรรดิเช่นฉัน ผู้ร้ายที่ถูกประณามจึงควรได้รับความตายอันน่าอับอายจากประชาชนของเขา เธอสมควรได้รับความยุติธรรมของฉันสำหรับการไม่ปฏิบัติของเธอในสิ่งที่เขาควรได้รับการปฏิบัติ” เจ้าหน้าที่คุมขังลังเลที่จะถอดเสื้อผ้าของฉันออกทั้งหมด แต่พวกเขาผูกฉันไว้กับเสาต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ในศาล พวกเขาเฆี่ยนตีฉันอย่างรุนแรงจนเลือดของฉันอาบไปทั่วร่างกาย ฉันรู้สึกเหมือนแผลทั่วร่างถูกเปิดออก,แต่ฉันยังไม่สลบ
 
ทรราชลากฉันกลับไปที่คุกใต้ดิน หวังให้ฉันตาย ฉันเองก็หวังว่าจะได้เข้าร่วมกับเจ้าบ่าวสวรรค์ของฉัน ทูตสวรรค์สององค์เจิดจรัสด้วยแสงสว่างได้ปรากฏแก่ฉันในความมืด พวกท่านเทยาลงบนบาดแผลของฉัน ทำให้ฉันฟื้นขึ้นรู้สึกดีอย่างที่ฉันไม่เคยมีก่อนการทรมาน
 
เมื่อจักรพรรดิได้รับแจ้งถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับฉัน เขาก็สั่งให้นำตัวฉันมาอยู่ต่อหน้าเขา เขามองฉันด้วยความปรารถนาอันตะกละตะกลามและพยายามเกลี้ยกล่อมฉันว่า ต้องขอบคุณต่อเทพจูปีเตอร์ในการทำให้ฉันหายดีและพละกำลังฟื้นขึ้น ซึ่งเป็นเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งที่เขาส่งมาให้ฉัน เขาพยายามทำให้ฉันประทับใจด้วยความเชื่อที่ว่าเทพเจ้าจูปีเตอร์ต้องการให้ฉันเป็นจักรพรรดินีแห่งโรม ดิโอคลีเชียนพยายามเกลี้ยกล่อมฉันด้วยถ้อยคำที่เย้ายวนเหล่านี้ซึ่งให้เกียรติอย่างสูงส่ง รวมทั้งถ้อยคำที่ประจบประแจงที่สุด แต่มันเป็นความโหดเหี้ยม,เขาพยายามที่จะทำงานของนรกที่เขาเริ่มต้นให้เสร็จ พระจิตเจ้าทรงช่วยฉันให้มั่นคงในการรักษาความบริสุทธิ์ของฉัน พระองค์ทรงเติมเต็มฉันด้วยแสงสว่างและความรอบรู้ และข้อพิสูจน์ทุกประการที่ฉันบอกพวกเขาเกี่ยวกับความเข้มแข็งแห่งความเชื่อของเรา ทั้ง Diocletian หรือข้าราชบริพารของเขาไม่สามารถหาคำตอบได้
 
จากนั้น,จักรพรรดิผู้คลั่งไคล้ก็พุ่งมาที่ฉัน,โดยสั่งให้ทหารรักษาการณ์ผูกสมอเรือไว้รอบคอของฉันและถ่วงฉันลงไปในน้ำของแม่น้ำไทเบอร์ คำสั่งถูกดำเนินการ,ฉันถูกโยนลงไปในน้ำ แต่พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์สององค์มาปลดสมอเรือให้ฉัน มันตกลงไปในโคลนแม่น้ำและโดยไม่ต้องสงสัยเลย,มันคงอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบันนี้ ทูตสวรรค์นำฉันมาอย่างนุ่มนวลต่อหน้าสายตาของฝูงชนที่ริมฝั่งแม่น้ำ ฉันกลับมาโดยไม่ได้รับอันตราย,ไม่แม้แต่เปียกน้ำ,หลังจากถูกถ่วงลงไปในแม่น้ำด้วยสมอเรือที่หนัก
 
เมื่อมีเสียงโห่ร้องด้วยความปิติยินดีจากผู้คนที่ชายฝั่ง และหลายคนยอมรับคริสตศาสนาโดยประกาศความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าของฉัน Diocletian ถือว่าการที่ฉันรอดจากการจมน้ำนั้นเป็นเวทมนตร์ลึกลับ จากนั้นจักรพรรดิก็สั่งให้ลากฉันไปตามถนนในกรุงโรมและให้ยิงฉันด้วยลูกศร เลือดของฉันไหลออกมา, แต่ฉันก็ยังไม่สลบ Diocletian คิดว่าฉันกำลังจะตายและสั่งให้ทหารพาฉันกลับไปที่คุกใต้ดิน สวรรค์ให้เกียรติฉันด้วยความโปรดปรานอีกครั้งที่นั่น ฉันหลับไปอย่างเป็นสุข,พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาและหายเป็นปกติแล้ว
 
Diocletian รู้เรื่องนี้ “ถ้าอย่างนั้น” เขาร้องตะโกนด้วยความโกรธ “ปล่อยให้เธอถูกแทงด้วยลูกดอกที่แหลมคมเป็นครั้งที่สอง และปล่อยให้เธอตายในการทรมานนั้น” พวกเขารีบไปดำเนินการตามคำสั่ง อีกครั้งที่นักธนูโก่งคันธนูด้วยกำลังทั้งหมด แต่ลูกธนูก็ไม่ทำตามความตั้งใจ จักรพรรดิอยู่ในที่นั้นด้วย ด้วยความโกรธ,เขาเรียกฉันว่าเป็นนักมายากล และคิดว่าอำนาจของไฟจะสามารถทำลายเวทมนต์ได้ เขาสั่งให้เผาลูกดอกจนลุกร้อนแดงในเตาหลอมและยิงลูกดอกพุ่งตรงไปที่หัวใจของฉัน แต่ลูกดอกเหล่านี้หลังจากที่พุ่งผ่านอากาศเพื่อมาในทิศที่ตรงมาหาฉันแล้ว มันกลับหันทิศทางไปทางตรงกันข้ามและกลับมายิงถูกผู้ที่ยิงมันออกมา นักธนูหกคนถูกลูกดอกเหล่านี้ฆ่า หลายคนในพวกเขาละทิ้งลัทธินอกรีต และผู้คนก็เริ่มเป็นประจักษ์พยานต่อหน้าสาธารณะถึงอำนาจของพระเจ้าที่ปกป้องฉัน
 
เสียงพึมพำและเสียงโห่ร้องของประชาชนทำให้ทรราชโกรธเคือง เขาตั้งใจจะเร่งให้ฉันตายโดยสั่งให้ตัดศีรษะของฉันในทันที จิตวิญญาณของฉันโบยบินไปหาองค์เจ้าบ่าวของฉันบนสวรรค์,ผู้ทรงวางมงกุฎแห่งพรหมจรรย์ให้แก่ฉันและมอบกิ่งปาล์มแห่งมรณสักขีแก่ฉัน ให้ฉันอยู่โนตำแหน่งที่สูงส่งท่ามกลางผู้ที่ได้รับเลือกสรร วันนั้นเป็นวันที่ฉันมีความสุขที่สุดและฉันเข้าสู่ความรุ่งโรจน์ในวันศุกร์ เวลาบ่ายสามโมง ซึ่งเป็นชั่วโมงเดียวกับที่พระอาจารย์แห่งสวรรค์ของฉันทรงสิ้นพระชนม์
 
-----------------------
 
สิ่งที่น่าสังเกต – จากมุมมองทางประวัติศาสตร์,การเปิดเผยนี้ได้รับการยืนยันจากบุคคลอีกสองคนที่ไม่รู้จักกันและอยู่ในสถานที่แตกต่างกัน(คนหนึ่งเป็นพระสงฆ์,อีกคนหนึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์) ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันเรื่องเหล่านี้ ได้แก่: 1) จักรพรรดิโรมันแห่งศตวรรษที่ 3 เป็นที่รู้จักในเรื่องการประหารชีวิตคริสตชนด้วยการใช้ลูกศร ซึ่งมีตัวอย่างของนักบุญเซบาสเตียน 2) จักรพรรดิโรมันแห่งศตวรรษที่ 3 ยังเป็นที่รู้จักในการฆ่าคริสตชนด้วยการผูกสมอเรือไว้รอบคอแล้วโยนลงไปในน้ำ 3) การอ้างอิงถึง "Lumena" - ชื่อที่มอบให้กับเธอตั้งแต่แรกเกิดคือ "Light" - และจากนั้นในการรับศีลล้างบาปเธอได้ชื่อว่า "Fi Lumena", "Daughter of Light" อาจอธิบายถึงการจัดเรียงของกระเบื้องที่พบในหลุมฝังศพ (" Lumena” ซึ่งเป็นชื่อแรกของเธออยู่บนกระเบื้องแผ่นแรก)
 

ภาพวาดของนักบุญฟิโลมีนาซึ่งนักบุญยอห์น เวียนเนย์มอบหมายให้จิตรกรวาดขึ้น และตั้งอยู่ในสักการสถานแห่งอาร์ส ประเทศฝรั่งเศส นักบุญยอห์น เวียนเนย์บอกว่านี่เป็นภาพเหมือนของ Saint Philomena ที่ปรากฏตัวต่อท่าน ครังหนึ่งท่านเคยกล่าวไว้ว่า: "นักบุญฟิโลมีนาสวยที่สุดในบรรดานักบุญที่พ่อรู้จัก" Curé d'Ars เจ้าอาวาสแห่งอารส์เป็นผู้ร่วมอุปถัมภ์ของกลุ่ม Universal Archconfraternity of St. Philomena
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น