วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2565

การประสูติของพระเยซูเจ้า

 


การประสูติของพระเยซูตามนิมิตของอันนา คัทรีน เอมเมอริก
 
แสงสว่างที่ล้อมรอบพระแม่มารีย์ยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ มองไม่เห็นแสงตะเกียงที่โยเซฟจัดเตรียมไว้ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน,มารีย์ก็อยู่ในญาณแห่งความปิติยินดี ฉันเห็นเธอลอยสูงขึ้นจากพื้น เธอเอามือแตะที่หน้าอกของเธอ แสงยังคงเพิ่มขึ้นรอบตัวเธอ; ทุกอย่างดูเหมือนจะรู้สึกเบิกบาน แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิต หินซึ่งก่อตัวเป็นพื้นและผนังของถ้ำนั้นเหมือนมีชีวิตด้วยแสง แต่ในไม่ช้าฉันก็ไม่เห็นหลังคาอีกต่อไป แสงที่สว่างไสวซึ่งมีความสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆส่องสว่างจากมารีย์สู่สวรรค์สูงสุด จากนั้นมีการเคลื่อนไหวอันน่าพิศวงของความรุ่งโรจน์ซึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ,ค่อยๆปรากฏอย่างชัดเจนภายใต้รูปลักษณ์ของทูตสวรรค์คณะขับร้องประสานเสียง พระแม่มารีย์ทรงลุกขึ้นมาจากพื้นดินขณะยังอยู่ในญาณแห่งความปีติยินดี พระนางทรงสวดภาวนาและหันสายตาไปหาพระเจ้าของเธอ,พระผู้ซึ่งบัดนี้เธอได้กลายเป็นมารดาของพระองค์,ผู้ทรงเป็นทารกแรกเกิดที่อ่อนแอ,กำลังนอนอยู่บนพื้นต่อหน้าเธอ
 
ฉันเห็นองค์พระผู้ไถ่ของเราในสภาพของทารกน้อยที่ส่องแสงออกมาทำให้ทุกสิ่งโดยรอบสวยงามสดใส ทารกนอนอยู่บนพรมต่อหน้าพระนางพรหมจารีย์ที่กำลังคุกเข่าอยู่ สำหรับฉันพระองค์ดูตัวเล็กมาก,และตัวใหญ่ขึ้นต่อหน้าต่อตาฉัน แต่นี่เป็นเพียงแสงที่ส่องประกายระยิบระยับจนฉันแทบจะบอกไม่ได้ว่ามองเห็นอะไรได้อย่างแน่ชัด พระแม่มารีย์ยังคงอยู่ในญาณแห่งความปิติยินดี แล้วฉันก็เห็นพระนางเอาผ้าลินินคลุมทารกไว้ แต่พระนางไม่ได้แตะต้องพระองค์และยังไม่ได้อุ้มพระองค์ไว้ในอ้อมแขนของพระนาง หลังจากนั้นไม่นาน,ฉันก็เห็นพระกุมารเยซูเคลื่อนไหว และฉันได้ยินพระองค์ส่งเสียงร้องไห้ ในขณะนั้นเองที่พระแม่มารีย์ทรงคืนสติจากญาณแห่งความปิติยินดี พระนางจึงทรงอุ้มทารกที่ถูกห่อด้วยผ้าลินินซึ่งพระนางทรงคลุมไว้ แล้วพระนางเอาพระกุมารแนบกับอกของพระนาง ฉันเชื่อว่าเธอกำลังป้อนนม ฉันเห็นทูตสวรรค์รายล้อมพระกุมารในร่างมนุษย์ ทุกองค์กราบลงต่อหน้าพระกุมารแรกเกิดและนมัสการเทิดทูนพระองค์
 
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่พระกุมารทรงบังเกิด เมื่อมารีย์เรียกนักบุญโยแซฟซึ่งยังคงสวดภาวนาโดยก้มหน้าลงกับพื้น เมื่อพระนางทรงอุ้มพระกุมารเข้าไปใกล้โยเซฟ,เขาก็ก้มกราบนมัสการ,เต็มไปด้วยความสุข,ความอ่อนน้อมถ่อมตน,และความเร่าร้อน เมื่อมารีย์ชวนเชิญให้เขาอุ้มองค์ผู้สูงสุดไว้ในอุระของเขา,เขาจึงลุกขึ้น,รับพระกุมารเยซูไว้ในอ้อมแขนของเขา,และกล่าวขอบพระคุณพระเจ้าด้วยน้ำตาแห่งความปิติสุข 
 
จากนั้นพระนางพรหมจารีย์พันผ้าให้พระกุมารเยซู,มารีย์มีผ้าป่านเพียงสี่ผืนอยู่กับเธอ จากนั้นฉันเห็นมารีย์กับโยเซฟนั่งอยู่บนพื้นใกล้กัน,พวกเขาไม่ได้พูดกัน,แต่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดไตร่ตรอง พระกุมารถูกพันด้วยผ้าเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป,ถูกวางอยู่เบื้องหน้ามารีย์ พระเยซูผู้ทรงเป็นทารกที่บังเกิดใหม่ทรงงดงามและสว่างไสวดุจสายฟ้าอันเจิดจ้า "อา!" ฉันอุทาน "ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความรอดของคนทั้งโลก,และไม่มีใครสามารถสงสัยได้ในเรื่องนี้"
 
จากนั้นพวกเขาจึงวางทารกไว้ในเปล พวกเขาใส่พุ่มไม้และต้นไม้ที่สวยงามรองพื้นเปลและใช้ผ้าคลุมปูทับไว้ เปลวางอยู่เหนือรางน้ำซึ่งเป็นช่องหินอยู่ทางด้านขวาของทางเข้าถ้ำ,และมีขนาดใหญ่ขึ้นตรงทางทิศใต้ เมื่อพวกเขาวางทารกไว้ในเปล,ทั้งคู่ก็ยืนอยู่ข้างๆ,น้ำตาไหลด้วยความสุขและร้องเพลงสรรเสริญ จากนั้นโยเซฟจึงจัดเก้าอี้นอนและที่นั่งสำหรับพระแม่มารีย์ที่ข้างเปล ฉันเห็นเธอสวมอาภรณ์สีขาวซึ่งปกคลุมทั่วร่างเธอ,ทั้งก่อนและหลังการประสูติของพระเยซู ฉันเห็นเธอในวันแรก,นั่ง,คุกเข่า,ยืน,หรือแม้แต่นอนตะแคงและหลับ; แต่เธอไม่เคยป่วยและไม่เหน็ดเหนื่อย
 
เรื่องราวจากพระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจ
 
เรื่องราวต่อไปนี้มาจากหนังสือ "La Vergine Maria e il diavolo negli esorcismi" (The Virgin Mary and the Devil in the Exorcisms) โดย คุณพ่อฟรานเชสโก้ บามอนเต (Fr. Francesco Bamonte 2014) ท่านเล่าว่า
 
“สองสามวันก่อนคริสต์มาสปี 2006 และมีการอภิปรายกันมากมายเกี่ยวกับทัศนคติของนักเทวศาสตร์บางคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของพระศาสนจักรโดยปฏิเสธความบริสุทธิ์ของพระนางมารีย์ นอกจากนี้,แม้จะไม่ได้กำหนดไว้แต่พวกเขาก็ยืนยันว่า พระแม่มารีย์ทรงทนทุกข์ในระหว่างการคลอดบุตร
 
ราวๆวันนั้นเมื่อ [ในระหว่างพิธีการขับไล่ปีศาจ] เรากำลังสวดภาวนาและรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งความชื่นชมยินดีของสายประคำ และใคร่ครวญถึงความลึกลับของการประสูติของพระเยซู,ปีศาจก็พูดขึ้นมา(ผ่านทางคนที่มันครอบงำ)ทันทีว่า
 
“เมื่อผู้นั้น (พระเยซู) ประสูติจากเธอ(พระนางพรหมจารีย์) มีแสงสว่างเจิดจ้าเหมือนตอนที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์”
 
ไม่กี่วันต่อมา ในช่วงแปดวันก่อนวันคริสต์มาส(ปีศาจพูดต่อ)
 
“เพื่อเป็นความอัศจรรย์ของการเนรมิตสร้างทั้งหมด,ในแสงที่ส่องสว่างภายในถ้ำนั้น,เด็กคนหนึ่งเกิดมาโดยไม่ได้ทำลายร่างกายศักดิ์สิทธิ์ของมารดาของเขา เป็นการกำเนิดที่ไม่เหมือนใครในโลกและจะไม่มีวันเกิดขึ้นแบบนี้อีก และมารดาผู้นั้นด้วยการเพ่งมองและน้ำตาแห่งความปิติยินดีได้ต้อนรับเขาด้วยความรักที่ไม่อาจอธิบายได้”
 
(สองสามวันก่อนวันคริสต์มาส 2007)
 
“เจ้าไม่สามารถจินตนาการถึงความอัศจรรย์ใจในดวงตาเหล่านั้น,ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาของพวกเขา เพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงมีพระกุมารอยู่ในอ้อมแขนของเธอ เธอทำได้อย่างไร ช่างน่าประหลาดใจเสียนี่กระไร!…ความรักอะไรอย่างนี้!…(ปีศาจร้ายเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะว่าความทรงจำถึงการเสด็จมาของพระเจ้าบนโลกทำให้มันเสียหายมาก) และเธอก็พันผ้าเขาไว้เพราะอากาศหนาว,และเธอก็จูบเขา ”
 
จากนั้นปีศาจได้เพิ่มความประหลาดใจอย่างยิ่งให้แก่เรา ด้วยการประกาศเป็นพิเศษเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราโดยการมารับเป็นมนุษย์ และเลือกที่จะทนทุกข์และตายเพื่อเรา:
 
“ถ้าเพียงแต่เจ้าจะเข้าใจว่าความรักได้เคลื่อนไหวทุกอย่างได้มากเพียงใด ถ้าเจ้าเพียงแต่เข้าใจ ข้าคงถูกทำลายไปแล้ว! ถ้าหากมีมนุษย์เพียงคนเดียว,มนุษย์ที่เข้าใจสิ่งนี้เพียง 1% ของความรักที่กระตุ้นให้พระองค์เสด็จมาบนโลก ข้าคงถูกทำลาย,เพราะมันยิ่งใหญ่มาก,ยิ่งใหญ่จนเจ้าไม่อาจจิตนาการได้”
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น